xs
xsm
sm
md
lg

เป็นบุญของหนูมาก! “วาวา” น้ำตาคลอ ได้จดหมายตอบกลับจาก “ในหลวง รัชกาลที่ ๙” พร้อมข้อความ “ทรงขอบใจ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เป็นบุญของหนูมาก “วาวา มริภา” ได้รับจดหมายตอบกลับจาก “ในหลวง รัชกาลที่ ๙” พร้อมข้อความ “ทรงขอบใจ” ที่ทำให้ชีวิตเธอได้เปลี่ยนไปตลอดกาล เผยตนยังให้คำสัญญาว่าจะทำดีเพื่อประเทศชาติและสานต่อสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างเพื่อคนไทย เปรียบตนเองเป็นน้ำสะอาดที่จะมาชำระล้างดินเปรี้ยวตามโครงการพระราชดำริ

เป็นความภาคภูมิใจที่สุดและเปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล สำหรับ “วาวา มริภา ศิริพูล” ดาราวัยรุ่นจากซีรี่ส์ “โซตัส เดอะซีรี่ส์ พี่ว้ากตัวร้ายกับนายปีหนึ่ง” จากเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่เขียนจดหมายหา “ในหลวง รัชกาลที่ ๙” เป็นจุดเริ่มต้นที่จะบอกพระองค์ว่าคนอย่างตนจะสานต่อสิ่งที่พ่อทรงสร้างเอาไว้ให้กับคนรุ่นหลัง ซึ่ง 3 เดือนหลังจากนั้น ก็มีจดหมายตอบกลับมาพร้อมข้อความ “ทรงขอบใจ” ซึ่งเจ้าตัวเผยว่าเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงแม้จะรอคอยทุกวัน

หนูเขียนจดหมายถึงพระองค์ ในช่วงประมาณเดือนธันวาคม 2556 หลังจากวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวา ซึ่งในตอนนั้นพระองค์เพิ่งเสด็จฯ ออกจากศิริราช เพื่อกลับไปประทับรักษาพระองค์ที่วังไกลกังวล ในตัวจดหมายที่หนูเขียนถึงพระองค์ท่านในวันนั้น หลักๆ จะเป็นเหมือนคำสัญญาใจที่เราได้บอกกับตัวเองว่า เราจะสานต่อสิ่งที่พระองค์ทำไว้ ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไร แต่หนูจะมีพระองค์เป็นกำลังใจที่จะเดินต่อไปในอนาคต คำสัญญาในจดหมายคือ หนูให้สัญญากับท่านว่า หนูจะทำอะไรเพื่อประเทศชาติ และสานต่อในสิ่งที่พระองค์ได้ทำไว้ให้กับประชาชนคนไทย"

"คือในตอนนั้นได้อ่านหนังสือของ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เรื่องเกี่ยวกับการทรงงาน พระราชกรณียกิจ รวมถึงโครงการพระราชดำริของในหลวง พอได้อ่านแล้วทำให้เรารู้สึกว่าพระองค์เป็นถึงพระราชา ทำไมถึงต้องทำงานหนักขนาดนี้ ทั้งที่ไม่ต้องทำก็ได้ แล้วเราที่เป็นประชาชนกลับไม่เคยทำอะไรให้แก่ประเทศชาติเลย แล้วตอนนั้นเราเห็นพระองค์ทรงป่วย แต่ก็ยังทรงงาน ทำให้เราคิดว่าเราอยากจะเป็นคนคนหนึ่งที่สานต่อในสิ่งที่พระองค์ทรงทำไว้ อยากจะเป็นเด็กรุ่นใหม่คนหนึ่งที่สร้างประโยชน์ให้แก่สังคม และสานต่อสิ่งที่พระองค์ทรงคิดค้นเพื่อเรา จึงเขียนจดหมายหาพระองค์ เพราะวาคิดว่าวันหนึ่งในอนาคต เราจะต้องเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องท้อ การเขียนจดหมายฉบับนั้น เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นว่าเราได้บอกให้ในหลวงรู้แล้วว่าเด็กรุ่นใหม่อย่างหนูจะสานต่อสิ่งที่พระองค์ทรงทำไว้ ไม่อยากให้พระองค์ต้องกังวล อยากให้พระองค์สบายใจ มันกลายเป็นคำสัญญาที่เราให้ไว้กับพระองค์ ในตอนนั้นที่เขียนจดหมาย ความรู้สึกคือ หนูจะรู้สึกผิดมากถ้าไม่ได้ทำ”

"โดยในเนื้อความของจดหมาย หนูได้เริ่มเกริ่นไปว่า ในทุกๆ ปี หนูและแม่เกิดในวันที่ 5 ธค. ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาของในหลวง และโดยตลอดช่วงเวลาตั้งแต่เกิดมา ซึ่งในวันที่ 5 ธันวาคม ที่เสด็จออกมาให้พระราชดำรัส ก็เหมือนว่าเราได้รับพระราชทานพร เป็นเหมือนของขวัญในทุกๆ ปีของวา เป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่มากในทุกๆ ปี และในจดหมายยังพูดถึงอีกว่าในอนาคตประเทศชาติของเราจะต้องเดินหน้าต่อไป ซึ่งสิ่งที่ในหลวงทรงคิดไว้มันเป็นการพัฒนาอย่างยั้งยืน เป็นการพัฒนาที่ลงรากลึกจากภายในของตัวบุคคลเพื่อจะให้เขาได้ยืนด้วยตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่หนูสนใจมาก มันเป็นการพัฒนาที่ครอบคลุม และด้วยความเราเป็นเด็กรุ่นใหม่ หนูก็จะสานต่อกับสิ่งที่พระองค์ทรงคิดมา และการเขียนจดหมายครั้งนี้ไม่ได้บอกใครเลย เพราะเราจะให้คำสัญญากับพระองค์ไว้ว่าเราจะทำ เพราะถ้าเราไม่ทำ เราจะรู้สึกผิด เราเห็นในหลวงเหนื่อยมาก มันไม่ใช่สิ่งง่ายๆ ที่ใครคนนึงจะต้องเหนื่อยขนาดนี้เพื่อคนจำนวน 70 ล้านคน และในเมื่อเราตกลงจะทำแล้ว เราก็ได้ให้สัญญากับพระองค์ เพื่อวันนึงเราจะไม่หันหลังกลับ และเดินหน้าทำต่อไป"

"จริงๆ ก็ร่างไว้หลายฉบับ แต่ที่ส่งไปก็เลือกฉบับที่มาจากใจจริงๆ และมันทีประโยคนึงที่หนูจำได้คือจากพระราชดำรัสที่เคยบอกว่า "มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ถ้าคนดีไม่ลุกขึ้นมาทำอะไร" และทฤษฎีดินเปรี้ยว ที่ว่าดินเปรี้ยวทำอะไรไม่ได้เลย แต่พระองค์ทรงใช้น้ำสะอาดจำนวนมากเพื่อมาล้างดินเปรี้ยว ในจดหมายหนูเขียนไปว่า หนูจะเป็นส่วนหนึ่งในน้ำสะอาดนั้นที่จะมาล้างดินเปรี้ยว"

"แม้ว่าการเขียนจดหมายถึงในหลวง หลายคนอาจจะมองว่ามันเป็นสิ่งที่ไกลตัวมาก และถามว่าในตอนนั้นที่เขียนไม่ได้หวังเลยว่าจะได้รับจดหมายตอบกลับมา ถึงหนูจะเคยได้ยินว่ามีคุณยาย หรือมีเด็กเคยส่งจดหมายถึงพระองค์แล้วได้ตอบกลับมา แต่ด้วยยุคสมัยในตอนนั้น กับการเขียนของหนูเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ทำให้ไม่เคยคาดหวังจะได้จดหมายตอบกลับมา หรือแม้กระทั่งว่า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทรงได้อ่านมั้ย ในใจตอนนั้นคิดแค่ว่า จดหมายนั้นคือสัญญาใจที่หนูให้กับในหลวง และหนูยังไม่รู้เลยว่าน้องส่งไปที่ไหน สำนักพระราชวังหรือวังไกลกังวล ซึ่งหนูก็ส่งไปที่สำนักพระราชวัง"

"พอส่งไปแล้ว ตอนแรกก็รอคอยนะ ดูกล่องจดหมายทุกวันว่าจะมีจดหมายตอบกลับมามั้ย และพอผ่านไป 3 เดือนกว่าจะได้จดหมายตอบกลับ เพราะตอนแรกที่คิดว่าไม่น่าจะได้จดหมายตอบเพราะเนื้อความอาจจะไม่ผ่าน แต่พอวันที่ได้รับจดหมายเป็นตราครุฑ ตอนนั้นก็ยังไม่คิดว่าเป็นจดหมายจากสำนักพระราชวัง แต่พอเห็นว่าเป็นจดหมายจากสำนักพระราชวัง ตอนนั้นดีใจมาก ดีใจจนแกะซองไม่สวย (ยิ้ม) ตอนนั้นคิดว่าเราเขียนอะไรผิดไปหรือเปล่า แล้วมาตอนหลังหนูได้รู้ว่า จดหมายที่ได้รับการตอบกลับมา เป็นจดหมายที่ในหลวงทรงอ่าน มันมีค่ากับหนูมาก กับคำสัญญาที่หนูให้ไปแล้วพระองค์ทรงรับรู้ มันไม่ได้เป็นแค่คำสัญญาแล้ว จากจดหมายตอบกลับทำให้หนูวางแผนชีวิตใหม่หมดเลย หนูตัดสินใจที่จะเข้าเรียน พัฒนานโยบายเเละสังคม หรือ Social and Policy Development และอยากจะเป็นอาจารย์ เพื่อสอนคนรุ่นหลังให้ได้รับรู้การพัฒนาแบบยั่งยืนที่ในหลวงทรงทำไว้"

"และในข้อความตอบกลับนั้น มีข้อความว่าทรงขอบใจนั้นมีความหมายกับหนูมาก เพราะตอนที่หนูอ่านคำว่าทรงขอบใจ (น้ำตาคลอ) ถ้าอ่านผิวเผินคนอาจจะรู้สึกว่าพระองค์ท่านทรงขอบใจที่หนูถวายพระพร แต่หนูรู้ว่าหนูเขียนอะไรลงไป คำว่าทรงขอบใจของพระองค์ท่าน หมายถึงว่า ขอบใจที่หนูจะทำต่อ คำสัญญาในวันนั้น จนมาถึงวันนี้ วันที่ท่านไม่อยู่ ในวันที่เราให้สัญญาวันนั้นคือท่านยังอยู่ ความรู้สึกคือผู้ริเริ่มยังอยู่ สิ่งที่เราจะสานต่อมันเป็นไปได้ง่ายกว่าที่จะเห็นผลของความสำเร็จ ในวันนี้ที่ท่านไม่อยู่แล้ว การจะทำต่อของเราจะต้องใส่ความพยายามมากขึ้นไปกว่าเดิม กระตือรือร้นมากกว่าเดิม เพราะในวันนี้คำสัญญานั้นเป็นยิ่งกว่าคำสัญญา”

"ย้อนกลับตอนเด็กคือที่บ้านของวา จะไม่ได้สอนให้รักเฉยๆ เพราะทุกคนก็รักในหลวง แต่ทุกคนได้สิ่งที่พระองค์สอนมา แต่วางไว้บนหิ้งไม่ได้นำมาใช้ แต่สิ่งที่พระองค์ทำคือต้องการให้เกิดผลกับพวกเรา ไม่งั้นไม่ทรงเหนื่อยแบบนี้ และแม่จะพูดอยู่บ่อยๆ ว่าในหลวงทรงเหนื่อยมาก เป็นถึงพระราชา ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ และเราเป็นคนไทยคนหนึ่ง เราได้ตอบแทนอะไรให้กับคนอื่นได้หรือเปล่า และที่วาจำได้กับสิ่งที่พ่อแม่คือไม่สอนให้เราเห็นแก่ตัว พอเราไม่เห็นแก่ตัว เราจะมองสังคมในภาพกว้าง และถ้าเราตายไป เราจะเหลืออะไรไว้ให้กับเด็กรุ่นหลังไว้บ้าง"




กำลังโหลดความคิดเห็น