จากชาวเขาชนเผ่าลาหู่ปลูกฝิ่นขาย “ริชชี่” ภาคภูมิใจครอบครัวมีบุญได้ถวายงานรับใช้ใกล้ชิด ในหลวง ร.๙ ภาพครอบครัวถูกคัดเลือกไปพิมพ์ไว้หลังธนบัตรที่ระลึกฉลองครบรอบ 84 พรรษา พร้อมเผยประโยคที่เป็นมงคลชีวิต ในหลวง ทรงตรัสชมคุณตาของตนว่าเป็นคนดี และรับสั่ง “อย่าทิ้งชาวบ้าน” ตั้งปณิธานจะบอกต่อให้คนรุ่นหลังได้ตระหนักว่า พระองค์มีบุญคุณกับคนไทยมากแค่ไหน อยากให้พ่อพักผ่อนให้สบาย เชื่อประเทศไทยจะดีขึ้นด้วยความรักที่คนไทยมีต่อพระองค์
… “ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทรงมอบชีวิตให้ครอบครัวหนูค่ะ” เสียงจากหัวใจของ “ริชชี่ อรเณศ ดีคาบาเลส” นางเอก ช่อง 3 และอดีตนักกีฬาแบดมินตันเยาวชน ผู้มีเชื้อสายชาวเขา ชนเผ่าลาหู่ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นหาที่สุดมิได้ ของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงมอบชีวิตใหม่ให้กับครอบครัวของเธอ รวมถึงเปลี่ยนชีวิตของชาวเขาบนดอย จากที่เคยมีอาชีพปลูกฝิ่นขายซึ่งผิดกฎหมายมาปลูกชา จนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เหมือนได้ชีวิตใหม่ พร้อมเผยถึงเรื่องราวที่เป็นที่สุดของชีวิต ที่ครอบครัวได้มีโอกาสถวายงานรับใช้ใกล้ชิด กับความประทับใจที่ไม่มีวันลืม ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทรงตรัสชมคุณตาของเธอเป็นคนดี รับสั่งด้วยพระเมตตา “อย่าทิ้งชาวบ้าน”
ริชชี่เป็นลูกเสี้ยวที่มีหลายเชื้อชาติ คุณย่าเป็นลูกครึ่งอังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ ไทย ส่วนคุณปู่เป็นคนฟิลิปปินส์ สเปน โดยคุณตาเป็นคนจีน และมีคุณยายเป็นคนไทยเชื้อสายเผ่าลาหู่ บรรพบุรุษตั้งรกรากและอาศัยอยู่บนดอยปู่หมื่น อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งชื่อ “ดอยปู่หมื่น” ก็มาจากชื่อคุณทวดของตน
“คุณยายเป็นลูกสาวคนโตของปู่หมื่น ซึ่งปู่หมื่นเป็นคุณทวดของริชชี่ พื้นเพบ้านเกิดของคุณยายอยู่บนดอย ที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ แต่มีบ้านอยู่ในตัวเมืองอำเภอฝางด้วย ปู่หมื่นเป็นผู้นำชุมชน ดูแลชาวบ้าน สมัยก่อนปู่หมื่นทำงานเหมือนเป็นรัฐกันชนปกป้องชายแดนตรงนั้น เพราะสมัยนั้นตรงนั้นไม่ให้มีทหาร เขาก็เลยใช้ชาวบ้านเป็นคนดูแลปกป้องตะเข็บชายแดนเพราะสมัยนั้นคอมมิวนิสต์ทะลักเข้ามา พอปู่หมื่นทำงานรักษาตรงนี้ทางการรัฐบาลก็เลยมอบยศให้ ซึ่งเมื่อก่อนจะเป็น พัน หมื่น แสน ปู่ริชชี่ก็เลยได้ยศหมื่น ชาวบ้านก็เลยเรียกปู่หมื่นมาตลอด และเรียกที่ดอยตรงนั้นทั้งหมดตามชื่อของผู้นำ ก็เลยเป็นดอยปู่หมื่น ต่อมาคุณตาจะฟะ (นายจะฟะ ไชยกอ) ซึ่งเป็นคุณตาของริชชี่ ได้เข้ามาอยู่ในไทยช่วงคอมมิวนิสต์ แล้วคุณตาก็มาแต่งงานกับคุณยายซึ่งเป็นลูกสาวคนโตของปู่หมื่น คุณตาก็เลยได้รับหน้าที่ต่อจากปู่หมื่นในการดูแลชาวบ้านบนดอยปู่หมื่นทั้งหมด ก็เลยเป็นเจเนอเรชั่นต่อๆ มาที่ครอบครัวพวกเราได้ดูแลชาวบ้านต่อๆ มาเรื่อยๆ ค่ะ”
ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทรงมอบชีวิตใหม่ให้กับชาวบ้านบนดอยปู่หมื่น ทรงให้ชาวบ้านเลิกปลูกฝิ่นเปลี่ยนมาปลูกชา และยังพระราชทานต้นชาให้กับคุณตาจะฟะ เป็นความภาคภูมิใจสูงสุดที่ครอบครัวได้ถวายงานรับใช้ใกล้ชิดพระองค์ท่าน
“ในหลวง เสด็จฯมาที่ดอยปู่หมื่นครั้งแรก ปี 2513 พระองค์ท่านทรงมอบความเป็นไทให้กับชาวบ้านที่นั่นและทรงมอบแพะ แกะ ไก่ รวมถึงพืชผลไม้เมืองหนาวต่างๆ ให้กับคุณตาของริชชี่เพื่อนำไปให้ชาวบ้าน ทรงสอนให้รู้จักเลี้ยงสัตว์ ซึ่งในตอนนั้นชาวบ้านที่ดอยปู่หมื่นปลูกฝิ่นกันทั้งดอย ซึ่งผิดกฎหมาย แล้วปี 2515 พระองค์ได้เสด็จฯ มาที่ดอยปู่หมื่นอีกครั้ง และทรงมอบต้นกล้าชา พันธุ์อัสสัม ต้นแรกให้คุณตาของริชชี่ แล้วพระองค์ท่านก็ตรัสกับคุณตาว่า อยากให้ชาวบ้านที่นี่เลิกปลูกฝิ่นมาปลูกชา ซึ่งพระองค์ท่านก็รู้ว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะเปลี่ยนความคิดชาวบ้าน แต่คุณตาก็น้อมรับพระราชดำรัสมา และเดินทางไปศึกษาดูงานเรื่องชาที่เมืองนอก ไปหลายที่เพื่อหาความรู้ว่าชาเป็นยังไงปลูกยังไง หลังจากนั้นคุณตาก็กลับมากระจายความรู้ให้ชาวบ้าน คุณตาใช้เวลาหลายปีมาก กว่าจะเปลี่ยนจากดอยฝิ่นมาเป็นเกษตรกรรมชา”
“พระองค์ท่านเป็นห่วงกลัวว่าชาวบ้านปลูกชาแล้วจะไม่มีที่ขาย ท่านได้พระราชทานเงินส่วนพระองค์ให้คุณตามาเปิดร้าน ชื่อ “ร้านค้าชาวเขาในพระบรมราชานุเคราะห์” ทรงบอกว่าชาวบ้านต้องมีรายได้ถึงจะอยู่ได้ ซึ่งร้านค้าชาวเขาฯได้รับซื้อของทุกอย่างของชาวบ้านมาขายด้วย อย่าง ผ้าทอชุดชาวเขา ก็มีค่ะ คุณตาได้รับเสด็จฯในหลวงอยู่หลายครั้ง อย่างเวลาพระองค์เสด็จมาหมู่บ้านใกล้เคียง คุณตาก็จะไปถวายรายงานว่ารายได้เป็นยังไง ความเป็นอยู่ของชาวบ้านเป็นยังไง”
“คุณตาจะฟะ” รัก ในหลวง มาก มอบหัวใจถวายงานจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต
“คุณแม่ของริชชี่เล่าให้ฟังว่า คุณตาไปขัดผลประโยชน์กับคนที่รับซื้อฝิ่น เขาเลยส่งคนมาลอบยิงคุณตาเสียชีวิต สมัยก่อนมีคนมารับซื้อฝิ่นจากชาวบ้านตลอด แล้วพอคุณตาไปเปลี่ยนความคิดชาวบ้านให้เลิกปลูกฝิ่น ก็เลยทำให้เขาไม่พอใจเพราะคุณตาไปทำให้เขาเสียผลประโยชน์มหาศาล โชคดีที่คุณลุงซึ่งเป็นลูกชายคนโตของคุณตาได้เรียนรู้งานมาบ้างแล้ว เพราะคุณตาส่งไปเรียนที่ไต้หวัน ได้เรียนรู้เรื่องชา เรื่องภาษา เพราะคุณตาเคยพูดว่าอยากให้ลูกๆ ทุกคนมีความรู้เพื่อที่จะกลับมาสานงานต่อ”
“สำหรับครอบครัวเรา มันเป็นความรู้สึกสูญเสียแต่ภูมิใจที่สุดในชีวิตค่ะ คุณแม่บอกว่าคุณตารักในหลวงมากเลย ตลอดทั้งชีวิตของคุณตาดีใจที่ได้รับใช้ในหลวง เพราะฉะนั้นคุณตาจะไม่ห่วงอะไรเลย เพราะในหลวงท่านทรงให้ชีวิตกับคุณตา เพราะฉะนั้นคุณตาก็พร้อมจะมอบชีวิตจนถึงวินาทีสุดท้ายเพื่อทำงานรับใช้พระองค์ท่าน ริชชี่เองก็รู้สึกเป็นเกียรติมาก การที่คุณตาทำงานเพื่อพระองค์ท่านจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต ยิ่งทำให้พวกเรารู้สึกว่าจะทิ้งตรงนี้ไม่ได้ อย่างลูกคนเล็กของคุณตาตอนนี้ก็ทำงานทุกอย่างที่ช่วยส่งเสริมชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโฮมสเตย์ หรือการท่องเที่ยว ทุกคนก็ทำด้วยใจ ลุงและน้าทุกคนก็รักในหลวงมากๆ ค่ะ”
พร้อมเผยประโยคที่เป็นมงคลแก่ครอบครัว ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทรงตรัสชม “จะฟะเป็นคนดี อยากให้ลูกหลานทุกคนของจะฟะเป็นคนดีเหมือนจะฟะ อย่าทิ้งชาวบ้านนะ ให้ดูแลชาวบ้านต่อไป”
“หลังจากคุณตาเสีย คุณแม่พร้อมพี่น้องทั้ง 11 คนได้รับเสด็จฯในหลวง ที่หมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อไปถวายรายงานว่าตอนนี้คุณตาเสียชีวิตแล้ว ในหลวงท่านก็ทรงแสดงความเสียใจ ท่านทรงตรัสว่า “ขอแสดงความเสียใจด้วยนะ จะฟะเป็นคนดี อยากให้ลูกหลานทุกคนของจะฟะเป็นคนดีเหมือนจะฟะ อย่าทิ้งชาวบ้านนะ ให้ดูแลชาวบ้านต่อไป” คำนี้ทำให้ลูกๆ ของคุณตาบอกกับตัวเองว่าเราต้องประสบความสำเร็จให้ได้ เพื่อที่เราจะได้กลับไปดูแลชาวบ้านได้ เพราะที่นั่นครอบครัวริชชี่เป็นคนดูแลทั้งหมด ทั้งกำหนดราคาชาที่เขาจะขาย หรือรับซื้อชาทุกอย่างเลย ถ้าเราไม่เข้มแข็งหรือล้มไปทุกคนที่นั่นก็จะเหมือนขาดที่พึ่งไปด้วย”
“ในหลวงเป็นคนให้ชีวิตกับคุณตา ท่านให้ชีวิตคนที่อยู่บนดอยนั่น รวมถึงท่านเป็นคนมอบชีวิตให้กับคนไทยทุกคนเลย คุณย่าของริชชี่ก็รักในหลวงมาก จะสอนตลอดว่าให้เรารักในหลวง ไม่ว่าเราจะมีเชื้อสายอะไร แต่เราอาศัยอยู่ในประเทศไทย เราต้องสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ หนูโชคดีที่คุณพ่อคุณแม่ คุณยาย คุณย่า สอนเราตั้งแต่เด็กๆ จนมันซึมเข้าไปในสำนึกของเราในการที่เราเติบโตขึ้นมาแล้วเรารักท่าน เด็กๆ คนอื่นอาจจะชอบฟังนิทาน แต่นิทานของหนูคือการฟังเรื่องในหลวง ว่าท่านทำอะไรเพื่อพวกเราบ้าง พระองค์เป็นวีรบุรุษในทุกเรื่อง ท่านเป็นเหมือนไอดอลในทุกด้าน เด็กรุ่นใหม่ควรได้รู้ตรงนี้ค่ะ แล้วทุกวันนี้ที่เราได้อยู่ในบ้านเมืองที่ร่มเย็นเป็นสุข มีทุกอย่างเพียบพร้อมเพราะท่าน ถึงแม้ท่านจะไม่อยู่แล้วแต่หนูไม่อยากให้ทุกอย่างสูญหายไป อยากให้ทุกคนช่วยกันบอกเล่าเรื่องนี้ต่อให้ลูกหลานฟัง”
นับเป็นความปลาบปลื้มอย่างหาที่สุดมิได้ หลังภาพครอบครัวขณะเฝ้ารับเสด็จฯ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ถูกคัดเลือกไปพิมพ์ไว้ด้านหลังธนบัตรที่ระลึกฉลองครบรอบ 84 พรรษา เมื่อปี 2554
“อีกเหตุการณ์นึงที่ทำให้ครอบครัวเรารู้สึกเป็นเกียรติสูงสุด คือภาพที่ครอบครัวเราเฝ้ารับเสด็จฯ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ถูกนำไปพิมพ์ไว้ด้านหลังธนบัตรที่ระลึกฉลองครบรอบ 84 พรรษา ในภาพนั้นมีคุณแม่ คุณลุง คุณน้า ตอนแรกครอบครัวเราไม่ทราบว่ามีภาพอยู่บนธนบัตร จนมีเจ้าหน้าที่มาบอก ซึ่งเป็นภาพที่ถ่ายนานแล้ว ริชชี่พยายามจะหาซื้อธนบัตรรุ่นนี้ไว้เยอะเหมือนกันค่ะ เพราะเป็นความภาคภูมิใจ เป็นเกียรติประวัติของครอบครัวเรามากค่ะ”
ตั้งปณิธานจะถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังได้ตระหนัก ว่าประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ที่ประเสริฐมากแค่ไหน
“หนูรู้สึกว่าตัวเองโชคดีเพราะว่ามีหน้าที่การงานอยู่ในสื่อและสามารถถ่ายทอดออกไปยังคนอื่นๆ ได้ ยิ่งครอบครัวหนูได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากท่านโดยตรง มันยิ่งทำให้สิ่งที่เราเล่าต่อหรือบอกต่อเป็นสิ่งที่ออกมาจากใจเรา ความรู้สึกไม่เหมือนตอนเด็กๆ ที่เราเขียนว่าเราจะทำความดีเพื่อพ่อ แต่ด้วยวัยทำให้เรายังไม่ได้เข้าใจอะไรมาก แต่ตอนนี้เราอยากทำความดีเพื่อท่านจริงๆ ทุกวันเรานึกถึงแต่ท่าน เราอยากทำสิ่งดีๆ ให้ท่าน และหนูคิดว่าตัวเองสามารถส่งต่อพลังความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่นี้ให้คนอื่นได้ ตอนหนูไปที่สนามหลวง มีเจ้าหน้าที่ดูแลความสะอาดเดินมากอดเราแล้วน้ำตาไหล แล้วพี่เขาก็พูดว่าขอบคุณมากเลยนะที่บอกให้ทุกคนรู้ว่าในหลวงท่านรักเราขนาดไหน ความรู้สึกตรงนั้นมีค่ามาก จากที่เราเป็นเด็กนักกีฬาคนนึง เป็นเด็กธรรมดา แต่คำพูดของเราทำให้คนที่รักในหลวงเหมือนที่เรารัก มีกำลังใจและนึกถึงในหลวง หนูตั้งใจไว้ว่าจะไม่หยุดทำสิ่งนี้และจะบอกต่อไปเรื่อยๆ และอยากให้ทุกคนที่รับรู้ช่วยบอกต่อไปอีกค่ะ”
ทึ่งในพระปรีชาสามารถของในหลวง รัชกาลที่ ๙ ที่ทรงมองการณ์ไกลเพื่อปากท้องและความเป็นอยู่ของพสกนิกรทั่วแผ่นดิน
“หนูได้มองเห็นหลายอย่าง พระองค์ท่านทรงมีพระปรีชาสามารถมาก ท่านมอบชาให้เรา แต่ไม่ใช่แค่พระองค์อยากให้ชาแล้วบอกเอาชาไปนะ แต่พระองค์ทรงมองการณ์ไกลมาก ว่าที่ตรงนี้เหมาะกับการปลูกชามาก แล้วชาที่ท่านให้เป็นชาที่ดีมากๆ เลยค่ะ เราอยู่ต้นน้ำ แล้วการอยู่ตรงต้นน้ำเราต้องดูแลระบบนิเวศน์ทั้งหมด แล้วการปลูกชานี้เราไม่ต้องใส่ปุ๋ยเลย ไม่ว่าจะหน้าแล้งหรือหน้าฝนมันแข็งแรงมาก มันสามารถอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง มันรักษาระบบนิเวศน์ทั้งหมด มันดูแลหน้าดินด้วย ทำให้ธรรมชาติที่นั่นยังคงความบริสุทธิ์สมบูรณ์ ทำให้ต้นน้ำบริสุทธิ์มาก แล้วถ้าต้นน้ำสะอาด ปลายน้ำก็จะได้รับน้ำดีด้วยค่ะ ที่สำคัญคือคนค่ะ พวกเรายังได้ปลูกชาไปขายกลายเป็นอาชีพหลัก พระองค์ทรงมองการณ์ไกลที่มอบสิ่งนี้ให้เรา แล้วทำให้เราภาคภูมิใจมากที่ได้สิ่งนี้มาค่ะ หนูอยากให้ทุกคนได้รับรู้ ไม่ใช่แค่คนไทย แต่อยากให้ชาวต่างชาติได้รับรู้เลยว่าสิ่งที่พระองค์ท่านสร้างให้เป็นสิ่งที่ดีมาก หนูอยากให้ทุกคนได้รู้จักชาของพ่อ ชาที่วิเศษที่สุดค่ะ”
เรียบจบแล้ว เพิ่งรับปริญญาตรี จากคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เจ้าตัวเตรียมกลับบ้านเกิดสืบสานงานชาให้ครอบครัว
“ตอนนี้หนูกับพี่สาวกำลังพัฒนาเรื่องชาอยู่ จากที่เมื่อก่อนมีแต่ชาดั้งเดิม แล้วตอนนี้ก็มีโครงการที่ทำงานร่วมกับสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ด้วยค่ะ เขาเรียกชาพลังงานสะอาด ลดการตัดไม้ทำลายป่า ใช้พลังงานน้ำในการอบชา ก็พยายามพัฒนาหลายอย่างเพื่อเพิ่มคุณภาพของตัวชา หนูคิดว่าตอนนี้ชาแบบเดิมๆ ขายยากขึ้นเพราะวัยรุ่นชอบชาที่มีรสอ่อน ตอนนี้ก็เลยคิดกับพี่สาวทำชารสลิ้นจี่ แล้วยังไม่มีที่ไหนทำ ทำออกมาแล้วคนก็ชอบด้วยค่ะ เราได้รับต้นลิ้นจี่พระราชทานมาด้วย อายุ 50 ปีแล้วค่ะ และต้นนี้ก็ยังอยู่ อยู่ใกล้ๆ กับต้นชาต้นแรกที่ในหลวง พระราชทานให้เลยค่ะ ชาวบ้านก็ดูแลอย่างดี ตอนนี้บนดอยปู่หมื่นนอกจากเรื่องชาแล้วยังมีท่องเที่ยวชุมชนเป็นโฮมสเตย์ เป็นรายได้ของชาวบ้าน และจะมีทริปพานักท่องเที่ยวไปตามรอยไปดูชาต้นแรกที่ ในหลวง ทรงพระราชทานให้ด้วยค่ะ”
“ริชชี่” ลั่นตั้งแต่เล็กจนโต มี ในหลวง รัชกาลที่ ๙ เป็นสิ่งนำทางชีวิต อยากขอบคุณที่พระองค์ทรงทุ่มเทพระวรกายดูแลคนไทยโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ถึงเวลาที่พ่อได้พักผ่อนแล้ว
“ตั้งแต่วันที่เราทราบข่าวการสวรรคต ทุกคนไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ทุกครั้งที่กลับไปดูวีดีโอพระราชกรณียกิจหรือร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เราก็จะรู้สึกว่าท่านยังอยู่กับเรา เพราะที่ผ่านมาแม้บางคนจะไม่เคยเจอท่านแต่ทุกคนก็รักท่านด้วยชีวิตด้วยจิตใจตลอดมา หนูอยากบอกว่าท่านยังอยู่กับเรานะ ท่านไม่ได้ไปไหน ถึงแม้ว่าวันนี้ร่างกายของท่านไม่ได้อยู่แล้ว ท่านทรงทำงานหนักเพื่อพวกเรามามากแล้ว ตอนนี้ให้ท่านมาอยู่ในใจเรา แล้วให้ท่านได้พักผ่อน เราเป็นลูก แม้วันเวลาจะผ่านไปแต่พวกเราอย่าลืมสิ่งที่พระองค์สร้างไว้”
“หนูอยากบอกว่า ตั้งแต่เล็กจนโตพระองค์เป็นสิ่งนำทางชีวิตของหนูตลอดมา ตั้งแต่จำความได้ หนูตั้งใจเรียน และเขียนบันทึกความดีถึงพระองค์ท่านทุกวัน หนูอยากบอกพระองค์ว่า ขอบคุณที่ท่านทรงดูแลพวกเราชาวไทย ดูแลครอบครัวทุกๆ ครัวเรือนในประเทศไทย อยากให้ท่านพักผ่อนให้สบายแล้วมองดูพวกเราลูกๆ อยากให้พระองค์เห็นว่า พวกเราจะร่วมมือกัน สามัคคีกันสานต่อสิ่งที่ท่านสร้างไว้ อยากให้พระองค์เห็นว่าประเทศไทยจะดีขึ้นด้วยความรักที่พวกเรามีต่อพระองค์ค่ะ”