“สายสวรรค์ ขยันยิ่ง” ย้อนนาทีบรรยายเรื่องที่ทำให้คนไทยหัวใจแตกสลาย “ในหลวง ร.๙” เสด็จสวรรคต บอกกลั้นเสียงสะอื้น ขอพระบารมีพระองค์เพื่อให้การบรรยายนั้นจบลงด้วยดี เจ็บปวดที่สุดในชีวิต แต่ต้องทำหน้าที่ถ่ายทอดเพื่อให้สมพระเกียรติ เผยที่สุดแห่งความภูมิใจในฐานะผู้บรรยายและผู้ประกาศข่าว คือการสื่อสารเรื่องราวที่เป็นมงคลแก่คนไทย ซาบซึ้งสายพระเนตรในหลวงผู้ทรงเมตตา
วันที่ 13 ต.ค. 59 วันที่คนไทยช็อกกับข่าวร้ายที่สุด หลังจากที่สำนักพระราชวังประกาศ “ในหลวง รัชกาลที่ ๙” เสด็จสวรรคต แต่หนึ่งในนั้นที่ใจแตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่ต่างกัน คือ “สายสวรรค์ ขยันยิ่ง” ซึ่งต้องทำหน้าที่บรรยาย “โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย” หรือ “ทรท.” กับทุกเรื่องราวของพระองค์ สายสวรรค์เล่าว่าในฐานะผู้บรรยายและผู้ประกาศข่าว จะทำหน้าที่ให้สมพระเกียรติแม้จะนั่งน้ำตาไหลรินหลังไมค์อยู่ก็ตาม
“บรรยายมาร่วมจะ 10 ปีแล้ว คือจำได้ว่าบรรยายพระราชพิธีที่ใหญ่แล้วก็จำได้ว่าเป็นครั้งแรกๆ แต่ไม่ใช่ครั้งที่หนึ่ง แต่ว่าเป็นครั้งแรกๆ อาจจะเป็นพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติก็คืองานครั้งนั้น ทำให้มีโอกาสได้ถวายงานในลักษณะของการเป็นผู้บรรยายมาเรื่อยๆ คือการเป็นผู้บรรยายนั้นโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยคือทีวีพูลหรือเรียกว่า ทรท. จะเป็นการรวมกันของทุกช่อง เพราะเวลาที่มีงานและเป็นงานใหญ่ก็จะใช้บุคลากรเยอะ กล้องเยอะ รวมไปถึงผู้บรรยายด้วย และทุกช่องก็ไปรวมกันเป็นการทำงานสลับกันไป การทำงานของโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยจะเป็นแบบนี้ ก็จะเห็นทุกคนเห็นทุกช่อง”
แม้จะทำหน้าที่เป็นผู้บรรยายมาเกือบ 10 กว่าปี แต่ข่าวร้าย “ในหลวง รัชกาลที่ ๙” เสด็จสวรรคต ก็ทำให้ผู้บรรยายอย่าง “สายสวรรค์” ช็อกไปอยู่ไม่น้อย ซึ่งเธอทำหน้าที่ผู้บรรยายไปด้วยน้ำตา เป็นสถานการณ์ที่บีบหัวใจไม่น้อยเลยทีเดียว
“ความรู้สึกมันจุกอก เพราะว่าหนึ่ง คือถึงแม้ว่าเราจะเตรียมการไว้แล้วว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ ความสูญเสียเป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่พอถึงวันที่พระองค์สวรรคตจริงๆ ทุกคนก็ช็อก ทำอะไรไม่ถูก คือวันนั้นก็ได้รับคำสั่งว่าต้องแสตนบายนะ เผื่อว่าต้องมีอะไรที่ต้องถวายงาน คือว่าวันนั้นเราก็ไม่รู้ว่าจะรวมตัวกันยังไง จะมีการถ่ายทอดยังไง แถลงการณ์ยังไง เท่ากับว่าวันที่ 13 ตุลาคม 2559 เป็นต้นมา พวกเราแสตนบายทุกวัน เตรียมพร้อมที่ ทรท. จะเรียก แต่ว่างานแบบนี้เป็นงานเหนือความคาดหมาย โดยเฉพาะช่วงแรกๆ ทุกคนจะยังสับสน ยังช็อก ใจก็ยังไม่มา ยังไม่รู้ว่าจะเดินไปยังไง เพราะสัปดาห์แรกยังเป็นสัปดาห์ที่ทุกคนยังไม่เห็นภาพว่าเราจะทำงานกันยังไงเลย แต่ว่ามีการแสตนบายทุกคน แต่พอตอนหลังอาทิตย์แรกผ่านไป เริ่มมีหมายกำหนดการจากสำนักพระราชวัง เริ่มมีอะไรต่างๆ ซึ่งมีเค้าโครงให้เราเห็นว่าทุกสิ่งต้องดำเนินเป็นพระราชพิธีเป็นแบบนี้ การบำเพ็ญพระราชกุศล 100 วันเป็นแบบนี้ เราก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง เริ่มปะติดต่อปะต่อได้ ทุกคนก็เริ่มมีภาพในหัว ทุกคนมีข้อมูลในหัวบ้าง มีภาพกำหนดการ แล้วก็จัดเวรกัน 100 วันมันเยอะมาก ก็ผลัดเวรกัน ทีนี้ก็เริ่มทำงานกันเป็นระบบมากขึ้น แต่ใจเนี่ยกว่าจะทำใจได้ ณ วันนี้ก็ยังทำใจไม่ได้ แต่การอดกลั้นอารมณ์ความรู้สึกในเวลาแบบนี้ เวลาบรรยายแล้วไม่ให้ร้องไห้เพิ่งทำได้ไม่นานนี้เอง”
“คือพวกเรามีเสียงสั่น ซึ่งจับได้ทุกคนมีเสียงเครืออยู่ในคอ จะร้องไห้ตลอด โดยเฉพาะเดือนแรก เพราะเดือนแรกคือทุกคนทำใจไม่ได้ และผู้บรรยายนั่งกันคืออย่าหันมามองหน้ากัน ทุกคนมองจอมอนิเตอร์หันหน้าเข้าไมโครโฟน เพราะว่าต้องบรรยายตามภาพว่าเกิดอะไรขึ้น อย่าหันมามองกัน แต่ถ้าใครเริ่มก่อน เป็นอันต้องร้องเลยจริงๆ เดือนกว่าๆ ที่พวกเรากว่าจะตั้งหลักได้ว่าอย่าร้องนะ เพราะการบรรยายในพระราชพิธีต้องใช้สมาธิสูงมาก ต้องใช้พลังมากกว่าปกติ เพราะปกติคนทำงานเป็นพิธีกร เป็นคนสัมภาษณ์ เราต้องใช้สมาธิกับการสนทนาหรือระหว่างการพูดการบรรยายแล้ว แต่พอเป็นเรื่องของในหลวงทุกคนแบบจะหลุดไม่ได้ และถ้าไม่ไหวก็จริงๆ ก็จะหันหน้าจากไมโครโฟนตั้งสติกัน แล้วก็หันกลับมาใหม่ ตั้งหลักสูดหายใจเข้าลึกๆ มองภาพต่อไป เพราะนี่คืองานของเรา ทุกคนกำลังฟังเราอยู่ ทุกคนกำลังฟังเรื่องราวของในหลวงอยู่ แล้วก็ตั้งสติให้ได้คือต้องใช้สมาธิที่แกร่งกล้า มากกว่าเวลาทำงานปกติเป็น 10 เท่าจริงๆ”
“และบางทีเราก็มีกลั้นไม่อยู่ คือเราเคยร้อง แต่ว่าต้องอยู่แบบห่างไมค์ ไม่ให้ได้ยินเสียงสะอึก แล้วก็หันตัวออกให้ปากไกลจากไมโครโฟนแป๊ปหนึ่งก่อนที่จะหันมาทำอะไรต่อได้ เพราะว่าเวลาที่เราอยู่หน้าโต๊ะบรรยาย แล้วห้องคอนโทรลมันไม่ได้ที่สามารถจะเปิดหรือปิดไมค์ได้เอง เพราะฉะนั้นผู้บรรยายทุกคนต้องระวังเลย แล้วก็ต้องมีสมาธิที่สูงมาก จะสะอื้นจะอะไรหรือแม้ว้าจะเป็นการกระแอมกระไอ จะนัดคิวกันหรือซุบซิบก็ต้องห่างไมค์ไว้ตลอดเวลา แล้วก็ต้องแบบนึกถึงขอพระบารมีปกเกล้าให้ลูกได้ทำงานต่อได้ ขอให้ลูกพูดต่อไปได้”
“ยิ่งในช่วงเดือนแรกๆ ที่พระองค์ท่านสวรรคต พวกเราโศกเศร้าใจมาก คือกว่าจะตั้งหลักได้ เข้มแข็งได้แล้ว ก็ร้องไห้กันน้อยลง และจะบอกว่าไม่ร้องเลยก็ไม่ได้ เพราะทุกวันนี้เราทำรายการ เป็นพิธีกร แต่พิธีกรรายการของเราเป็นรายการสัมภาษณ์สร้างแรงบันดาลใจหลังจากการสวรรคต และทุกคนก็จะมาเล่าเรื่องในหลวง บางคนร้องไห้กลางรายการวิทยุ เพราะฉะนั้นคือเรื่องที่เราได้รำลึกถึงท่านอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นการบรรยายในพระราชพิธี หรือว่าจะเป็นงานประจำที่ทำอยู่ทุกวันก็ตาม มันก็เลยซึมซับ แบบอิ่มเอม และผูกพันมาก”
และในความรู้สึกของคนๆ หนึ่งที่ได้บรรยายตั้งแต่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินไปยังสถานที่ต่างๆ เสด็จประทับอยู่รพ.ศิริราช และเหตุการณ์ในวันสวรรคต สายสวรรค์ได้เล่าให้ฟังถึงการบรรยายในมุมของเธอว่าจะพูดแต่เรื่องที่พระองค์มีจริยวัตรที่สง่างาม จะไม่พูดถึงเรื่องที่ทำให้คนรู้สึกเจ็บปวด
ไคือเราจะไม่พูดถึงเรื่องที่ไม่งดงาม มันคือจิตวิทยาของผู้บรรยาย เราจะพูดในสิ่งที่ท่านสง่างามเท่านั้น เราจะไม่พูดถึงเรื่องที่ท่านทรงพระประชวร เราจะข้ามไป คือเราจะไม่พูดถึงเรื่องที่จะทำให้คนเจ็บปวด แล้วเราจะพูดเฉลิมพระเกียรติพระองค์ท่าน บอกให้คนรำลึกถึงว่าพระองค์ท่าน ทำอะไรให้เราบ้าง แล้วก็ให้คนไทยทุกคนจงรักภักดีและก็รักในหลวง รักสถาบัน พูดถึงแต่สิ่งแบบนี้ เพราะฉะนั้นจะให้เราเห็นอะไรมาก็ตาม เราก็จะเลือกเรื่องที่จะสื่อสารที่จะเกี่ยวกับการจงรักภักดีแล้วก็ความงดงาม และการบรรยายของเราจะมีการเพิ่มเติม จากการที่เราได้อ่านหนังสือต่างๆ เพราะบางทีในกูเกิลก็ไม่มีเรื่องพวกนี้ เราเองอาจจะไม่ถึงขั้นเป็นผู้รู้อะไรมากมาย แต่เราก็สามารถศึกษาเกร็ดความรู้ของประวัติศาสตร์ได้ และสิ่งที่ไม่เคยลืมเลย คือในการเติมเรื่องให้ทุกคนได้รักท่าน เติมเรื่องให้ทุกคนได้ระลึกถึงพระองค์ท่านในความสง่างามแล้ว ก็จะเติมให้คนไทยรักกัน ให้ยึดถึงพระองค์ท่านเป็นศูนย์รวมจิตใจของพวกเรา นี่คือสิ่งที่นอกบทตลอด มันเป็นสิ่งที่เราสามารถเติมเข้าไปได้ เพราะเราได้ถ่ายทอดแล้ว เราควรจะเติมเนื้อเรื่อง ความสามัคคีอะไรแบบนี้ พอพูดแล้วมันอิน”
“และในมุมของผู้บรรยาย ในเวลาที่เรามองในหลวง เราควรจะมองทะลุเกินกว่าที่เป็นพระวรกาย เราควรจะมองในแง่ของนามธรรม เราเห็นบุคคลคนหนึ่งที่ทำอะไรมากมายเหลือเกิน เราเห็นสะพานพระราม 8 เราเห็นน้ำเราเห็นป่า เราเห็นอะไรต่างๆ นั่นคือเป็นสัญลักษณ์ของพระองค์ท่านทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นเนี่ยพระองค์ท่านจะอยู่หรือจะไม่อยู่ แต่พระองค์ท่านยังคงอยู่ในความทรงจำของพวกเราตลอดเวลา เหมือนที่เขาชอบพูดว่า ธ สถิตกลางใจ มันก็คือแบบนั้น เพราะว่าท่านอยู่ตรงนี้ (ชี้ไปที่หัวใจ) ท่านไม่ได้ไปไหนเลย เพราะฉะนั้นอยากจะเชิญชวนด้วย ก็คือเรามองทะลุมิติ เราไม่เห็นพระวรกาย แต่เราเห็นสิ่งที่พระองค์ท่านทรงทำให้ไว้แล้ว ซึ่งพระองค์ท่านกลายเป็นเทพ เป็นสิ่งที่อยู่ในใจเรา เป็นสิ่งที่เราเคารพนับถือ พระองค์ท่านอยู่ในจุดๆ นั้น มันก็เลยทำให้ท่านไม่ไปไหน”
เจ้าตัวยังเผยอีกว่าภาพแรกก่อนที่ทุกคนจะได้เห็นที่หน้าจอทางทีวี คือภาพของในหลวง รัชกาลที่ ๙ กับสายพระเนตรที่อ่อนโยนและเมตตาต่อผู้รับใช้ รวมไปถึงประชาชนที่มาเข้าเฝ้า แม้ตนเองจะไม่เคยได้รับเสด็จใกล้ๆ แต่ก็ซึมซับความรู้สึกนั้นได้ รวมไปถึงความภาคภูมิใจสูงสุดในชีวิตคือการได้บรรยายเรื่องราวที่เกี่ยวกับ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙”
“ถ้าเกิดว่าให้ถ่ายทอดเรื่องนี้จริงๆ แล้ว คนที่เป็นผู้บรรยายจะมองเห็นในจอมอนิเตอร์ก่อนที่จะเห็นในจอก่อนที่จะออกอากาศให้คนอื่นเห็น แต่ว่ามันคือความสง่างาม มันคือพระบารมี คือบางครั้งที่เราบอกว่าชื่นชมพระบารมี มันคือคำนั้นจริงๆ ที่มันหาคำไหนมาแทนไม่ได้ คือพระองค์ท่านเสด็จออกมาถึงที่ประทับในโรงพยาบาลศิริราช ยามที่พระองค์ท่านเสด็จออกมา คือแบบโล่งอกมาก คือพระองค์ท่านสว่างไสว เป็นพระบารมีที่แทนหาคำอื่นไม่ได้จริงๆ แล้วคือกล้องก็หันไปเห็นสายพระเนตรคือทรงพระเมตตามาก และขนาดเรายังไม่ได้เคยไปรับใช้ใกล้ชิดแบบนั้น แต่เราก็สามารถซึมซับสิ่งเหล่านี้ได้เท่าๆ กันเพราะโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจก็เป็นกลไกลหนึ่งที่ทำหน้าที่ตรงนี้ให้เราได้เห็น”
“ความภูมิใจของการเป็นผู้ประกาศก็คือการเป็นผู้ประกาศที่สื่อสารเรื่องราวที่เป็นมงคลแก่คนไทย คือข่าวมีหลายประเภท และถ้าเราได้อ่านแต่ข่าวที่มันสร้างความสุขในหมู่ผู้ชนคนฟัง แล้วก็เกิดพลังให้กับตัวเอง ให้กับผู้ฟังด้วยแล้ว หนึ่งในนั้นคือเรื่องที่เกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ นั่นก็คือที่สุดของความเป็นผู้ประกาศข่าวและผู้บรรยายแล้ว”