ศิลปิน-ดาราร่วมใจถวายความจงรักภักดี ยืนสงบนิ่ง 89 วินาทีในเวลา 15.52 น. น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับในหลวง ร.๙ เสด็จสวรรคต “แพนเค้ก” หลั่งน้ำตาสุดกลั้น ด้าน “ตุ๊กกี้” น้ำตาซึม แม้ไม่มีบุญได้เห็นแต่ยกพ่อหลวงเป็นเทพที่บูชา บ่อยครั้งไปสนามหลวงเพราะอยากอยู่ใกล้พ่อ
วันที่ 13 ต.ค. 60 เป็นอีกหนึ่งวันที่ประชาชนชาวไทยทุกคนมีแต่ความโศกเศร้าในหัวใจ เพราะเป็นวันครบรอบ 1 ปีเต็ม พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 โดยในวันนี้ทางบริษัท อสทม จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เจ้าของสยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ และสยามพารากอน จึงได้จัดกิจกรรมพิเศษ ใต้แสงแห่งพระบารมี เชิญชวนพสกนิกรชาวไทยร่วมยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 89 วินาที ในเวลา 15.52 น. ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จสวรรคต พร้อมกับร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีร่วมกัน ณ พาร์คพารากอน ชั้น M สยามพารากอน
ซึ่งในครั้งนี้มีเหล่าศิลปิน - ดารา มาร่วมงานมากมาย อาทิ แพนเค้ก เขมนิจ จามิกรณ์, ตุ๊กกี้ สุดารัตน์ บุตรพรม, จ๊ะจ๋า พริมรตา เดชอุดม, จิ๊บ วสุ แสงสิงแก้ว ฯลฯ โดยขณะร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี นางเอกสาวแพนเค้กถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
ทั้งนี้ “ตุ๊กกี้” เผยถึงความรู้สึกที่มาร่วมงานในครั้งนี้ว่าถึงแม้จะไม่เคยได้เข้าเฝ้าสักครั้งในชีวิต แต่เมื่อมีโอกาสก็จะเข้าไปอยู่ใกล้สนามหลวงให้มากที่สุด
“ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาถามว่ารวดเร็วมั้ย รวดเร็วค่ะ 13 ต.ค. 59 จนถึง 13 ต.ค. 60 รวดเร็วมากสำหรับคนที่ตั้งมั่นกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตค่ะ ตั้งแต่พระองค์ท่านสวรรคตไปสิ่งเดียวที่ตุ๊กกี้ทำได้ก็คือใช้ความเป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่งในการดำเนินรอยตามพระราชกรณียกิจของในหลวง สิ่งที่บอกทุกคนว่าให้พอเพียง เพราะเรารู้ๆ กันอยู่ว่าเศรษฐกิจไทยไม่ว่าจะเป็นบวกหรือลบ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราอยู่รอดได้ในยุคปัจจุบันนี้คือความพอเพียง ตุ๊กกี้ก็ยึดในหลวงเป็นที่พึ่งทั้งเทพทางใจที่บูชาและทั้งหลักธรรมที่ทำให้ดำเนินชีวิตมาจนวันนี้ได้อย่างสงบค่ะ”
“ตุ๊กกี้เป็นคนหนึ่งที่พูดกับหลายๆ คนว่าไม่มีบุญที่ได้จะพบพระองค์ท่าน ไม่เคยเลย ไม่มีโอกาส (น้ำตาซึม) และเมื่อมีโอกาสได้เข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ พระองค์ท่านก็เริ่มประชวรก็เลยไม่มีโอกาสที่จะเจอพระองค์ท่าน พอได้มีสิ่งที่รู้สึกว่าจะต้องทำหนูเป็นคนที่ชอบทำให้ทุกคนเห็นว่าหนูทำเพราะอยากให้ทุกคนทำเหมือนหนู หลังจากที่พระองค์ท่านสวรรคต บ้านหนูอยู่ใกล้สนามหลวงมาก หนูไปสนามหลวงบ่อยครั้ง หนูไปในลักษณะคนปกติ บางครั้งก็คลุมทุกอย่างไป เพราะว่าหน้าหนูคนเห็นแล้วหัวเราะ หนูไม่อยากให้บรรยากาศเสีย หนูก็พยายามคลุมทุกอย่างไป พยายามทำ พยายามไปเพื่อให้อยู่ใกล้”
“หนูจะได้เปรียบหลายๆ คนที่หนูอยู่ใกล้ นึกถึงเมื่อไหร่ 24 ชม. หนูก็ไป เพื่อที่จะได้แสดงความเป็นประชาชนคนหนึ่งที่หนูจงรักภักดีต่อพระองค์ท่านเหมือนประชาชนทุกๆ คน และสิ่งหนึ่งที่หนูอยากบอกกับทุกๆ คนว่าเราเป็นคนไทยที่มีหน้าที่และมีโอกาสทำเหมือนกันทุกคนนั่นคือการเป็นลูกของพ่อที่ดีค่ะ เป็นคนดีแม้กระทั่งความคิด เป็นคนดีแม้กระทั่งการกระทำ และประเทศชาติของเราจะน่าอยู่เหมือนกับที่พ่อของเราเคยสร้างไว้ค่ะ”
“หนูได้มีโอกาสร่วมกับ อสมท ในการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณโดยการที่หนูไปร่วมรำที่สนามหลวง ที่กรมศิลปากร ภาคภูมิใจมากเรื่องของความที่หนูถนัดและถ่ายทอดได้ดีมากๆ ในความเป็นตุ๊กกี้นะคะ หนูอยากจะอนุรักษ์ความเป็นวัฒนธรรมไทย สานต่อในความเป็นไทย ไม่ว่าจะเป็นใช้ชีวิตแบบไทยๆ หนูเป็นคนหนึ่งที่ถ้ามีโอกาสได้ทำในส่วนที่ตัวเองถนัดใจหนูมีเท่าไหร่หนูมอบให้พระองค์ท่านทั้งใจค่ะ”
ทางด้านนักร้องรุ่นใหญ่ “จิ๊บ วสุ แสงสิงแก้ว” ก็เผยว่า
“ช่วงระยะเวลา 89 วินาทีนั้น ผมตั้งจิตเป็นสมาธินะครับ พยายามตั้งจิตให้แข็งแรง นึกสภาพว่าตัวเรากำลังหมอบกราบแทบพระบาทและส่งเสด็จพระองค์ที่ทรงเป็นที่รักยิ่งของคนไทยทุกคนสู่สวรรคาลัย สู่ภพภูมิที่ดีงาม และหลังจากนั้น สิ่งที่ตั้งใจไว้ก็คือคิดว่าทำอย่างไรเราถึงจะสืบสานราชปณิธานในความตั้งพระทัยของพระองค์ท่านให้ดีที่สุดจากส่วนของเรา ทั้งในฐานะปัจเจกบุคคลก็คืออยากจะเห็นคนไทยของเรารักกันให้มากๆ ก้าวข้ามความขัดแย้งทางความคิดต่างๆ ให้ได้เร็วที่สุดนะครับ”
“ถ้าเป็นไปได้มันจะเป็นการตั้งต้นที่ดีในการให้สังคมประเทศชาติของเรามันก้าวไปสู่ความมั่นคงได้ในทุกวิธี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ซึ่งมันจะทำให้ประเทศไทยเราแข็งแรงขึ้นในสังคมนานาชาติ สิ่งหนึ่งที่อยากจะเห็นเกิดขึ้นก็คือมีจิตสำนึกในสาธารณะเพื่อสังคมมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัว อยากเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดเป็นรูปธรรมในประเทศที่เจริญแล้วมากๆ สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เขาถูกฝึกขึ้นมาแต่เด็ก เมื่อหยดน้ำหลายๆ หยดรวมกันพลังของกระแสน้ำใหญ่มันมีพลัง ผมเชื่อว่าเป็นความตั้งพระทัยของพระองค์ท่านด้วยครับ”
“ตอนที่ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีก็เช่นเดียวกันเลยครับ เป็นความคิดที่ต่อเนื่องกันมา แต่ในฐานะของคนไทยคนนึงที่มีโอกาสร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ร้องเพลงชาติตั้งแต่จำความได้ ยิ่งเราโตขึ้น เห็นประสบการณ์ต่างๆ ในชีวิตมามันยิ่งซาบซึ้งถึงคุณค่าของความหมายเนื้อเพลงแต่ละถ้อยคำที่กว่าจะกลั่นกรองออกมาได้ ถ้าเกิดเราคิดตามทุกถ้อยคำเราจะรู้สึกได้เลยว่ามันมีความหมายที่ยิ่งใหญ่ คนเราเกิดเป็นคนไทยมีแผ่นดินให้อยู่ เรามีพระมหากษัตริย์ มีผู้นำที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลกเราจะหาเรื่องอะไรที่มันโชคดีไปกว่านี้ในฐานะประชากรโลกมันไม่มีอีกแล้ว เราต้องตระหนักในสิ่งนี้ให้มากที่สุด อย่ามองข้ามมัน อย่าดูถูกมัน อย่าไปรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดมาก็เห็นแล้วมันไม่มีค่า ไม่ใช่”
“พระองค์ท่านก็ยังเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเราอยู่ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงนะครับ ไม่มีเสื่อมคลาย คนเราถึงแม้ร่างกายจะจากไป แต่ถ้ามีสิ่งดีที่ได้กระทำเอาไว้นั่นจะคงที่จะคงอยู่ต่อในโลก และเราสามารถสิ่งเหล่านั้นคือพระราชปณิธานหรือความตั้งพระทัยก็ตามยังสามารถนำมาเป็นหลักชัย นำมาเป็นเป้าหมายให้กับสังคมกับประเทศชาติได้เป็นอย่างดี ผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มันตกผลึกแล้ว และได้เห็นแล้วว่าเมื่อนำมาปฏิบัติใช้มันเป็นสิ่งที่ดีไม่ว่าจะในระดับบุคคล ปัจเจก หรือในระดับของมหภาคนะครับ”
“ในส่วนหนึ่งผมมีงานที่จะสอนบรรยายทั้งในฐานะอาจารย์พิเศษ ทั้งในฐานะวิทยากรอยู่แล้ว และทุกครั้งที่มีโอกาสไปคุยกับน้องๆ เยาวชนไม่ว่าจะเป็นระดับเตรียมอุดมหรือระดับอุดมศึกษาเรามีโอกาสก็จะสอดแทรกไปเสมอครับ แต่ผมเชื่อว่าอีกสิ่งหนึ่งที่ดีมากก็คือการปฏิบัติด้วยตัวเองให้คนอื่นได้เห็นด้วย ไม่ใช่ว่าพูดแต่วาจาอย่างเดียวและนี่ก็เป็นสิ่งที่พระองค์ท่านได้ทรงปฏิบัติมาตลอดเข่นเดียวกัน พระราชจริยวัตรทุกอย่างเราเห็นได้ จากความเป็นจริง ไม่ใช่เป็นคำสอนที่มาแต่ในหนังสือหรือว่าในวิดีทัศน์ต่างๆ เท่านั้น อันนี้เราน้อมนำไปใช้ได้หมดครับ"