“โดม เดอะสตาร์” ย้อนความทรงจำ 13 ต.ค. 59 นั่งเรือข้ามฟากไป รพ.ศิริราช แต่ไม่มีแม้โอกาสเข้าไปถึง สุดช็อกเสียงประกาศ “ในหลวง ร.๙” สวรรคต เผยโลกหยุดหมุน ทุกอย่างเชื่องช้า เป็นช่วงเวลาที่เลวร้าย
เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน วันที่ 13 ต.ค. 60 ครบ 1 ปี วันสวรรคต “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” เชื่อว่า ในหัวใจคนไทยยังคงจำความรู้สึกสูญเสียในวันที่ 13 ต.ค. 59 ได้ไม่มีวันลืม หัวใจทุกดวงแตกสลาย เสียงสะอื้นร่ำไห้ดังระงมทั่วหล้า หยาดน้ำตาคนไทยไหลหลั่งรินทั่วแผ่นดิน และหนึ่งในนั้นคือ “โดม จารุวัฒน์ เชียวอร่าม" เขาตั้งใจนั่งเรือข้ามฟากเพื่อไปโรงพยาบาลศิริราชด้วยหัวใจดวงเดียวกันกับคนไทยที่หวังอยากให้เกิดปาฏิหาริย์ แต่โดมยังไม่ทันก้าวลงจากเรือ เสียงร่ำไห้ดังระงมมาจากฝั่ง รพ.ศิริราช พร้อมประกาศจากสำนักพระราชวังที่ทำให้โลกเขาหยุดหมุน
“วันนั้นเป็นวันที่จะมีงานกาล่าละครเวที และพอเราเสร็จจากอีกงานหนึ่ง กำลังจะขับรถไปเอสพลานาด แต่ทางบริษัทโทร.มาบอกว่างานกาล่ายกเลิกแล้วนะ เราเองก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าเพราะอะไร แต่เริ่มเดาออกแล้วว่าเหตุการณ์มันเป็นยังไง และเพื่อความมั่นใจ เราจึงโทร.หาน้องชายตัวเอง เพื่อจะไปรับและบอกว่าเราไปศิริราชกัน โดย ตั้ม (วราวุธ โพธิ์ยิ้ม) ได้ไปถึงที่ศิริราชก่อนแล้ว ส่วน พี่แก้ม (วิชญาณี เปียกลิ่น) และ กัน (นภัทร อินทร์ใจเอื้อ) ก็กำลังตามมา เราก็เอารถจอดที่ท่ามหาราช”
“ผมไปถึงที่นั่นเวลา 6 โมง กำลังจะข้ามเรืออยู่กลางแม่น้ำ ซึ่งเวลานั้นจะใกล้หนึ่งทุ่มแล้ว ทุกคนก็ดูที่มือถือ จังหวะนั้นทุกอย่างเงียบท่ามกลางความมืด และได้ยินเสียงจากประกาศของวิทยุเรือข้ามฟาก ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและอีกฟากหนึ่งคือฝั่งศิริราช ก็มีเสียงร้องไห้ระงม จังหวะนั้นหันไปทางพี่แก้มก็ได้ร้องไห้ไปแล้ว เราก็ช็อกกับสิ่งที่ได้ยินและได้เห็น พอเราถึงท่าเรือศิริราช ภาพที่เห็นคือคนที่เดินอกมาจากโรงพยาบาล เดินร้องไห้ ซึ่งเราไม่ได้มีโอกาสได้เข้าไปเขตโรงพยาบาลแล้ว และในช่วงเวลา 4 ทุ่มก็มีขบวนเสด็จของเหล่าเชื้อพระวงศ์ เสด็จเป็นการส่วนพระองค์มาที่โรงพยาบาล เราก็เลยมายืนรอรับและส่งเสด็จร่วมกับคนอื่นๆ ที่อยู่ในช่วงช็อกเหมือนกัน”
เผยโลกหยุดหมุน ทุกอย่างเชื่องช้า เป็นเวลาสุดเลวร้าย
“ณ เวลานั้นเรารู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายและมันบ้ามาก มันเป็นช่วงเวลาที่ทุกอย่างดำเนินไปอย่างช้ามาก เหมือนโลกหยุดหมุน หดหู่ ไม่เพียงเสียงร้องที่เราได้ยินแต่รอบตัวเราก็ได้ยินเสียงสะอื้นเป็นทอดๆ ทุกคนโศกเศร้าหมดและเดินก้มหน้ากันหมด และพอเรากลับมาถึงบ้าน นอนไม่หลับ เปิดทีวีก็มีแต่ภาพพระราชกรณียกิจต่างๆ ทั้งคืน เราก็ดูไปน้ำตาไหล เรื่อยๆ เราคิดว่าสักวันหนึ่งวันนี้มันต้องมาถึง เพียงแค่ว่าเราไม่ได้ตั้งรับ เพราะเราก็ไม่อยากให้วันนั้นมันเกิดขึ้น”
นักร้องหนุ่มยังเผยถึงความรู้สึกถึงการร้องเพลง “ในหลวงของแผ่นดิน” ว่าเป็นการยากที่สุดหลัง “ในหลวง รัชกาลที่ ๙” สวรรคตเพราะภาพในวันที่ 13 ต.ค. พร้อมเสียงร่ำไห้ของทุกคนที่ยังอยู่ในความทรงจำ แต่ภูมิใจและขนลุกทุกครั้งที่ได้ถ่ายทอดบทเพลงแห่งความรักเพลงนี้
“ถ้าอินที่สุดคงเป็นเพลงในหลวงของแผ่นดิน เพราะด้วยเนื้อร้อง ทำนองและความผูกพันกับเพลงๆ นี้ เพราะก่อนที่เราจะได้เข้าทำงานในวงการนี้ เราได้ฟังเพลงนี้แล้วเรารู้สึกชอบ และมีความอยากร้องเพลงนี้มากๆ ในฐานะศิลปินคนหนึ่ง ซึ่งพอเราได้ร้องเพลงนี้เรามีความรู้สึกนึกถึงพระองค์ทุกที”
“และท่อนที่ฟังแล้วจะน้ำตาซึมทุกทีก็คือ มีทุกอย่างที่ดีเพราะใคร ฉันจะไม่ลืม เป็นคำที่ง่ายและรู้สึกได้เลยว่ามันตรงทุกคำ และก็มีบางครั้งที่เราร้องไม่ได้ เราก็ต้องสติให้ดี ให้รู้ว่าการร้องเพลงครั้งนี้เราร้องเพื่อใคร ร้องเพื่ออะไร มันก็จะทำให้เราดึงสติกลับมาได้ และช่วงที่เราร้องไม่ได้เลย ก็คือช่วงแรกๆ ที่พระองค์ท่านเพิ่งสวรรคตใหม่ๆ 13 ต.ค. ที่พอเห็นอะไร หรือเวลาร้องเพลงทุกอย่างแปรเป็นภาพกลับเข้าในหัวของเรา เพราะก่อนที่ยังไม่เหตุการณ์ในวันที่ 13 ต.ค. เวลาร้องเพลงนี้มันจะทำให้รารู้สึกภูมิใจที่ได้ร้องเพลงนี้ รู้สึกขนลุกทุกที ดีใจที่เราได้เป็นคนถ่ายทอดเพลงนี้”
“และพอหลังจากเหตุการณ์สวรรคตไปแล้ว มันก็จะเป็นอีกหนึ่งความรู้สึกที่พอร้องเพลงนี้ทีไร ภาพในวันนั้นก็จะย้อนกลับมา รู้สึกไปโดยปริยายโดยไม่ต้องเค้น เป็นอารมณ์ของความคิดถึง ซึ่งปรับตัวเองได้แล้ว ยอมรับความจริงได้ แต่มันก็มีบางช่วงบางตอนที่ไม่ไหว มันก็สะอึกขึ้นมาทีหนึ่ง แต่บางทีมันมีกล้องถ่ายอยู่ ซึ่งบางครั้งมันไม่ได้จริงๆ อย่างช่วงปลายปีที่แล้ว ไปออกงานวันพ่อ เราร้องเพลงอยู่ แต่ข้างล่างคนฟังน้ำตาไหลนำเราไปแล้ว ซึ่งพอเราเห็นภาพนั้นเราเองก็รู้สึกไม่ไหว แต่เราก็หยุดร้องไม่ได้ เราก็ยังต้องดำเนินหน้าที่ของเราต่อไป”