xs
xsm
sm
md
lg

“ทราย” สะท้อนความน่ากลัวของโรคซึมเศร้า ฝันร้าย นอนไม่หลับ เห็นภาพเดิมซ้ำๆ จนคิดสั้นฆ่าตัวตาย น้ำตาคลอส่งแม่รักษาตัวที่ รพ.ศรีธัญญา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“ทราย เจริญปุระ” น้ำตาคลอ เผย มรสุมชีวิต 5 ปี ป่วยซึมเศร้า คิดสั้นฆ่าตัวตาย ต้องหยุดพักงาน 1 ปี ชี้ แม่ก็ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าด้วย ถูกด่าทุกวันลูกเลว ลูกเนรคุณ ถึงขนาดทำร้ายตนทำร้ายน้อง ต้องส่งตัวรักษาที่ รพ.ศรีธัญญา รับไม่มีโอกาสหายเป็นปกติอีกแล้ว

การออกมาเปิดเผยผ่านรายการ “แฉ” ของอดีตนางเอกดัง “ทราย เจริญปุระ” ทำให้หลายคนต้องกลับมาตระหนักกับอาการป่วยจากการเป็นโรคซึมเศร้า หลังจากที่เจ้าตัวเล่าแบบละเอียดยิบๆ ว่า อาการของคนที่ป่วยเป็นโรคนี้เป็นอย่างไร พร้อมเผยถึงมรสุมชีวิตในช่วงที่แม่ก็ป่วยโรคนี้ จนต่อมาหนักขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นต้องพาไปรักษาตัวที่ รพ.ศรีธัญญา ซึ่งทรายก็เผยว่าตอนนี้คิดแค่วันต่อวันเท่านั้น

“ชีวิตลงสุดๆ เรื่องงานไม่เท่าไหร่ เรื่องคนในชีวิตกับชีวิตตัวเองนี่แหละ เราคิดว่าเราผ่านช่วงป่วย รอดตาย ถึงขั้นฆ่าตัวตายก็เคยคิด เราคิดว่าเราผ่านช่วงนั้นของเราไปแล้ว ก็คิดว่าไม่น่ามีอะไรแล้วนะ ช่วงนั้นนอนไม่ได้ ต้องมีเหล้า ตื่นเช้ามาต้องกรึ๊บ เพราะเหมือนโลกข้างนอกยากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันที่จะมีชีวิต ตอนนี้ก็ยังมีมรสุม”

ก่อนหน้านั้นเลย เราป่วยแหละ ตอนนี้เราสามารถยอมรับได้แล้วว่าเราป่วย เราเป็นซึมเศร้า ซึ่งคุณแม่ก็เป็นซึมเศร้า หมอก็บอกว่าด้วยการเล่นหนังเล่นละคร บทที่ตัวเองเล่นไม่ได้เล่นบทน่ารัก บทแรงมาก ก็เครียด เหมือนวันนี้มีงานแต่เราไม่อยากออก ซึ่งมันก็ไม่ได้ พอได้เหล้ามันก็จะชิลลงมาหน่อย แต่ไม่ได้มีใครจ้องเรานะ แต่มันห้ามตัวเองไม่ได้”

เคยคิดสั้นกระโดดหน้าต่างให้ตาย เพราะคิดว่าตัวเองไม่มีประโยชน์ เป็นภาระ หาเงินเข้าบ้านไม่ได้
“เมื่อก่อนกลัวว่ากินยาแล้วทำงานไม่ได้ กลัวกดประสาท พอรถชน มันก็พาตัวเองไปถึงจุดที่คิดว่าโดดหน้าต่างไปเลยดีมั้ย จะได้จบๆ ไป คิดว่ารวบตึง สำหรับคนทั่วไปคิดว่าถึงมือหมอแล้วรอดแล้ว แต่สำหรับทราย คิดว่ารอดแล้ว ทานไม่ได้ก็เป็นภาระที่บ้าน ต้องให้แม่มานั่งป้อนข้าว น้องยังเรียน เราหาเงินเข้าบ้านไม่ได้ เราไม่มีประโยชน์ เราเป็นภาระ ไม่ได้คิดว่าเราเป็นลูกเป็นพี่เป็นใคร คิดว่าเราเป็นภาระที่ทุกคนต้องมาแบกเรา หมอก็พูดตรงๆ ตอนนั้นว่าเราอาจมีสิทธิ์เป็นอัมพาต เป็นอัมพฤกษ์ มันทำให้เราระแวง เริ่มแยกไม่ออกว่าวันที่เรานอนอยู่นี่ รถชนเราไปหรือยัง เรามานอนที่โรงพยาบาลเพราะอะไร”

“ไม่รู้เป็นอะไร คือ เราว่าระหว่างงานกับความรักต้องการความสนใจเท่าๆ กัน ทั้งงานทั้งคน แต่เรารู้สึกว่างานตรงไปตรงมากว่า ถ้าดีจบ ซีนนี้ผ่าน เยี่ยมไปเลย มนุษย์ต้องทำให้ดีเหมือนเมื่อวาน แต่มันไม่มีอารมณ์ ขี้เกียจคุย อารมณ์เสีย มันไม่ง่ายเหมือนงานเลย ฉันทำงานตั้งแต่ 14 ฉันไม่คุ้นกับการคุยกับมนุษย์ (หัวเราะ) ทุกคนก็รู้สึกว่าเราเป็นเพื่อนชาย ด้วยความบอย ไม่ได้รู้สึกขัดเขินถ้าเห็นทรายนั่งอยู่ มีคนพูดเยอะมากว่าเป็นอาถรรพ์จากการที่เล่นหนังเรื่องแม่นากแล้วโด่งดัง ว่าคนเล่นเรื่องแม่นากก็ประสบเรื่องงานทุกคนแต่จะไม่สมหวังเรื่องความรัก ซึ่งเราก็คิดว่าดีกว่าหรือเปล่า (หัวเราะ)”

รับกินยาแล้วดึงให้กลับมาเป็นปกติ แต่แม่กลับมาป่วยหนักขึ้น
“ก็กินยา ตอนแรกหลังจากรถชน ฝันร้าย นอนไม่หลับ เห็นภาพซ้ำ เหมือนมีอะไรไต่ในตัวตลอด ก็กินยาตลอด แล้วก็คิดว่าความรักฉันหลอน ยาก็ดึงความปกติขึ้นมา เมื่อไหร่ทานยาก็รับได้ ตอนนั้นทุกอย่างอันเดอร์คอนโทรล ผ่านมาปีหนึ่งก็เริ่มกลับมาเล่นละคร ไม่ใช่ไม่รับละครนะ แต่ทำไม่ได้ เดินเป็นหุ่นยนต์เลย โอเค กลับมาทำงานได้ ตอนนั้นเล่นเลิฟซองส์ เลิฟสตอรี่ แม่ก็เริ่มป่วยหนัก แม่ทรายเป็นซึมเศร้ามาตั้งแต่สาวๆ แต่นานๆ ไปมีอย่างอื่นเข้ามาเสริม”

“ก็อาจเป็นไปได้ว่าเราพักไป 1 ปีด้วย เหมือนเพิ่มความกดดัน หรืออะไรเราก็ไม่รู้ พอเรามาป่วยเราก็เข้าใจว่าบางทีโรคของคนที่เป็นมันไม่ได้ตรงไปตรงมาเหมือนคนปกติ แต่ถ้าเทียบกัน ทรายคือแม่เมื่อก่อน ตอนนี้แม่ไปไกลกว่าทรายเยอะแล้ว แม่เข้าเส้นชัยไปแล้ว เขามีโรคเฉพาะของเขาแล้ว อย่างทรายเป็นโรคซึมเศร้ายังทำงานได้ เราเข้าใจประคองไปได้แต่เราไม่อิน กับแม่มีอาการสมองน้อย มีปัญหาเรื่องการกะระยะ การเดิน การเคลื่อนไหว การใช้คำต่างๆ ซึ่งแม่ก็ยืนยันที่จะขับรถ ซึ่งมันไม่ได้ แต่เขาก็บอกว่าไม่ให้เขาขับเพราะเธอเป็นดาราใช่มั้ย ถ้าฉันขับรถชนเธอจะเสียชื่อ ซึ่งพอเราบอกว่าไม่ใช่ เขาก็บอกว่างั้นเขาต้องขับได้ เรื่องมันจะวนอยู่แบบนี้ ลูกไม่รัก ลูกไม่ตามใจ คือ เราตามใจไม่ได้แล้วเราแก้ปัญหาไม่ได้ แม่กินยานะ แม่บอกกินแล้วเมื่อคืน แล้วไม่เห็นดีขึ้นเลย ก็แม่ไม่ได้เป็นหวัด”

เผยอาการรุนแรงเพิ่มทวี ขู่จะฆ่าตัวตาย ทำร้ายตน ทำร้ายน้อง ต้องทนให้แม่ด่าลูกเลว ลูกเนรคุณทุกวัน
“ตอนแรกก็ชั่งใจว่าบอกดีหรือไม่บอกดี แต่เราไม่ได้รู้สึกว่าเราอาย แม่ก็เป็นแม่เราเสมอ ไม่ว่าเขาเป็นโรคอะไรก็ตาม หมอบอกว่าถ้าอยากจะสร้างให้คนเข้าใจมากขึ้น ว่าไม่ใช่ต้องปีนเสาไฟฟ้าแล้วเอาไปรักษาอย่างเดียว มันกว้างมาก ถ้าสร้างความรู้ความเข้าใจตรงนี้ได้ก็จะดีใจ หมอก็พูดลอยๆ แม่ไปรักษาโรคทางสมอง ระหว่างทางหมอต้องวินิจฉัย ผ่านกระบวนการอะไรเยอะมาก เริ่มจากแม่ทำร้ายเราก่อน เริ่มไปทำน้อง ซึ่งเราว่ามันไม่ได้แล้ว ความรุนแรงมันทวีคูณ ซึ่งแน่นอนว่าเราจะไม่ทำแม่คืน เขาขู่มาตลอดว่าเขาจะฆ่าตัวตาย ถ้าเราไม่มาหาเขา ไม่ตามใจ เราตามใจเขาไม่ได้แล้วเราฟังแบบนี้ทุกวันๆ ก็เป็นโรคซึมเศร้าไปแล้วเรียบร้อย น้องชายก็จะเป็นด้วย มันกลายเป็นจะล่มทั้งเรือ”

“ถามว่าไหวมั้ย ไม่ไหวได้ด้วยเหรอ เราต้องทนฟังแม่บอกว่าลูกเลวลูกกตัญญู ลูกเนรคุณ ตลอดเวลา แต่เราว่าเราแพ้ เราสู้กับโรคนี้ไม่ได้ เราอยากให้แม่ดีขึ้นเรากินยาแทนแม่ไม่ได้ มันแย่ น้องก็ไม่ไหว แม่ยิ่งอาละวาด จนหมอบอกว่ามันไม่ได้แล้วนะ”

“ถ้าถามว่าอาการคนเป็นโรคซึมเศร้าเป็นยังไง ถ้าไม่ก้าวร้าวไปเลย อย่างมีคนถามว่าเป็นอะไร แล้วเราบอกว่ายุ่งอะไร หรือไม่กินเลย หรือกินมากผิดปกติ มันจะสุดไปสองทาง นอนมาก แล้วก็ไม่นอนเลย หรือทำแบบนี้ติดๆ กันสองอาทิตย์ ถ้ารู้สึกว่าฝ้าเพดานคือเพื่อนที่ดีที่สุด ก็ช่วยงัดไปหาหมอด้วย สิ่งที่เคยชอบก็ทำไม่ได้ อย่างเคยชอบอ่านหนังสือมาก แต่ไม่พ้นย่อหน้าแรก มันไปไม่ได้ เราถึงกลัวมากว่าเราจะอ่านบทไม่ได้ กินยาก็ไม่ได้น่ากลัว เท่ากับที่คุณไม่ยอมกิน เราก็สู้กับตัวเอง คิดแค่วันต่อวัน”

น้ำตาคลอเจอมรสุมชีวิต รับแม่ไม่มีโอกาสกลับมาหายขาดเป็นปกติ
“เราเลิกเครียดเรื่องแม่ไม่ได้หรอก ตัดไม่ได้ เป็นผัวเมียแล้วเลิกยังวอแวเป็นปีๆ แต่นี่แม่เราทั้งคน การที่เราเอาเขาไปอยู่ศรีธัญญาเพื่อฝึกให้เขายอมรับความเป็นจริง ว่าเขาไม่ได้เป็นแค่คนเดียว แล้วหมอบอกว่าห้ามไปเยี่ยมเขาบ่อยๆ เพราะจะเป็นการสปอย ไม่เหมือนเวลาเราไปเยี่ยมในหนังนะ เป็นรพ.ปกติ แต่กติกาเยอะมาก”

โอกาสที่จะกลับมาหายเป็นปกติไม่มีค่ะ มีแต่ชะลอ ก็น่าจะดีขึ้น ในระดับรับผิดชอบตัวเองได้ แต่ไม่หาย ตอนนี้อยู่ครึ่งเดือนก่อน ไม่มีใครอยากทำแบบนี้หรอก ต่อให้รพ.หรูเริด ไม่มีใครอยากให้แม่เป็นคนป่วย แต่เราไม่ใช่หมอให้เขาอยู่กับสิ่งที่ดีกว่าเราดีกว่า (น้ำตาคลอ) มรสุมก็เจอมา 5 - 6 ปี”

กำลังโหลดความคิดเห็น