ความร้าวฉานที่บั่นทอนถึงสัมพันธภาพฉันเพื่อนของ 2 ดาราสาว “เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ” และ “วุ้นเส้น-วิริฒิภา ภักดีประสงค์” ที่เป็นดรามายืดยาวมานานกว่า 2 สัปดาห์ ทำให้อดไม่ได้ที่จะย้อนนึกถึงคู่พิพาทอีกคนหนึ่งของเจนี่ก่อนหน้านี้
“ดร. บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี”
ทั้งคู่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของธุรกิจฟิตเนส ซึ่งเจนี่มีสถานะเป็นเจ้าของพื้นที่โดยรวม ส่วนบุ๋มมีสถานะเป็นผู้เช่าตามเอกสาร ก่อนที่บทสรุป จะลงเอยด้วยการผิดใจกัน เพราะเรื่องของเงินๆ ทองๆ และเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งต่างฝ่ายต่างยืนยันว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกต้อง เพราะทำทุกอย่างด้วยความโปร่งใส และชอบธรรม
เรื่องราวครานั้น จบลงแบบไม่ต้องเผาผี กัน ด้วยการที่บุ๋มแยก Smash Gym ของตัวเอง ออกมาจากพื้น 911 ของเจนี่ มาเปิดในพื้นที่ใหม่ ที่เป็นเจ้าของพื้นที่โดยรวมทั้งหมด ด้วยเงินลงทุนกว่า 30,000,000 บาท ใหญ่กว่าที่เก่า 4 เท่า ทว่ายังอยู่ในละแวกที่ใกล้เคียงกับที่เดิม คือ 911 ตั้งอยู่บริเวณถนนประเสริฐมนูญกิจ ส่วน Smash Gym อยู่ถนนเกษตรนวมินท์ ตรงข้ามนวมินท์อเวนิว (ใกล้แยกเสนา) เรียกว่าห่างกันแค่นิดเดียวจริงๆ ซึ่งตรงนี้มองว่าเป็นเรื่องธรรมดาของการดำเนินธุรกิจ ที่จะต้องเปิดในทำเลที่ใกล้เคียงกับของเดิม เพราะมีฐานของสมาชิกเก่าที่อยู่ในละแวกดังกล่าวอยู่แล้ว พูดง่ายๆ ก็คือลูกค้าเดิมจะได้ไปใช้บริการในสถานที่ใหม่ได้สะดวก
และการที่เป็นเจ้าของพื้นที่เองทั้งหมด ทำให้บุ๋มและสามี “เอก-เอกริน นิลเศรษฐี” บริหารพื้นที่ของตัวเองได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในอันที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้า ตามเจตนารมณ์ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนในแฟนเพจ ที่กล่าวโดยย่อก็คือ
..... Smash Gym เริ่มก่อตั้ง ด้วยความคิดที่ว่า ผมอยากทำฟิตเนสไว้เล่นเอง มีเครื่อง มีอุปกรณ์ แบบที่ผมชอบ ยี่ห้อที่ผมชอบ ตัวผมเองเคยเป็นเมมเบอร์ฟิตเนสมาหลายที่มาก เลยได้รู้ว่าเครื่องแต่ละยี่ห้อ ให้การเคลื่อนไหวไม่เหมือนกันทั้งๆ ที่เป็นเครื่องแบบเดียวกัน และหาฟิตเนสยากมาก ที่จะมีเครื่องแบบที่ผมชอบแบบครบๆ เลยสร้างฟิตเนสเองซะเลย
ตอนเปิดที่แรก ผมเคยโพสต์ไว้ว่า การจะทำยิมแบบเมืองนอกที่อุปกรณ์เยอะๆ ครบๆ สถานที่ใหญ่ๆ มันยาก เพราะลงทุนหลายสิบล้านมากๆ และคนที่มีทุนเยอะจริงๆ ไม่ค่อยมีใครอยากทำเพราะมันไม่ได้ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำถ้าเทียบกับทำธุรกิจแบบอื่น แต่ผมคิดว่าอนาคตจะพยายามทำให้ได้ เพราะใจมันอยากจริงๆ ไม่คิดว่าอนาคตนั้นมันมาเร็วเหลือเกิน .....
Smash Gym ได้เปรียบ 911 ตรงที่เจ้าของคือเอก สามีของบุ๋ม มาทางสายของเทรนเน่อร์ หรือคนที่ออกกำลังกายแบบฟิตเนสจริงๆ จึงมีความรู้ ความเข้าใจ ในการเลือกเฟ้น และจัดหาอุปกรณ์ออกกำลังกายที่ครบถ้วน ครบครัน ครบตามความต้องการของคนที่เข้าฟิตเนสโดยแท้ อุปกรณ์ส่วนใหญ่สั่งตรงมาจากต่างประเทศ โดยเลือกเฟ้นประเภท และยี่ห้อที่ดีที่สุด เพื่อนำมาให้บริการสมาชิก
ในขณะที่พื้นที่ของ 911 หลังจากที่ Smash Gym ย้ายออกไป และเจนี่เข้าควบรวม ด้วยการเปิดธุรกิจฟิตเนสเอง อุปกรณ์ต่างๆ ยังดูจะไม่ครบครัน ทันสมัยเท่า เพราะต่อให้เจนี่เป็นนักแสดงที่รักการออกกำลังกายขนาดไหนก็ตาม แต่ความรู้ความเข้าใจในสายอาชีพ และการบริหารฟิตเนส คงเทียบกับคนที่มาทางสายนี้โดยตรงไม่ได้
และตอนนี้ต้องบอกว่าในพื้นที่ของ Smash Gym ถือว่าเป็นศูนย์ออกกำลังกายที่ครบวงจร หรือถ้าจะระบุให้ตรงๆ ชัดๆจัดเต็มจริงๆ ก็คือ.....
Smash Gym มีทุกอย่างที่ 911 มี !!911 มียิมมวยไทย Smash Gym ก็มี911 มีชื่อเรื่องคลาสเต้น โดยเฉพาะซูมบ้า Smash Gym ก็มีแถมยังมีร้านขายอาหารสุขภาพสำหรับคนที่ดูแลรูปร่างเหมือนๆ กัน
เอาล่ะซิ ในเมื่อต่างฝ่ายต่างมีบริการที่ต้องบอกว่าเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว ก็ต้องมาวัดกันที่โปรโมชั่น ว่าใครจะดึงดูดใจลูกค้ามากกว่ากัน
สำหรับ 911 มีแพกเกจให้เลือกหลายรูปแบบ โดยในส่วนของฟิตเนสที่ถือว่าเป็นของใหม่ ก็มีโปรโมชั่นที่เน้น “ขายพ่วง” กับคลาสอื่นๆ ที่มีชื่ออยู่แล้ว
เช่นฟิตเนส + คลาสแทรมโพลีน แบบไม่จำกัด เดือนละ4, 500บาท (จากปกติคลาสแทรมโพลีน ราคาคลาสละ 699 บาท และ ฟิตเนสราคาเต็ม เดือนละ 3500 บาท) .
ฟิตเนส + คลาสซุมบ้า แบบไม่จำกัด เดือนละ 3, 499 บาท (จากปกติซุมบ้าราคาคลาสละ 500 บาท และ ฟิตเนส ราคาเต็ม เดือนละ 3500 บาท)
ส่วนคลาสมวยไทย ก็มีแพกเกจแบบ Half Buffet Promotion คือสามารถมาเล่นได้แบบวันเว้นวัน (วันคู่) และจ่ายในราคาเพียงครึ่งเดียว คือเริ่มต้น 2,990 บาทต่อเดือน จากปกติเดือนละ 6,000บาท หรือถ้าจะมาใช้บริการในวันคี่ ก็จ่ายเพิ่มวันละ 99 บาท แต่ถ้าจัดสรรเวลาไม่ลงตัว ก็สามารถเลือกซื้อแบบแพกเกจ 10 ครั้ง ใน 1 เดือน จากราคาปกติ 4, 900 บาท เหลือเพียง 4, 165 บาท
นอกจากนั้นยังมีแพกเกจ 911 Signature สำหรับคนที่อยากเข้าคลาสทั้งมวยไทย , ซุมบ้า และแทรมโพลีน ในราคาแพกเกจ 4,888 บาท สามารถเข้าใช้บริการคลาสละ 4 ครั้งภายใน 6 เดือน
ขณะที่ Smash Gym ซึ่งเน้นในเรื่องฟิตเนสมากกว่าคลาสอื่นๆ ก็มีการคิดค่าบริการทั้งแบบรายวัน วันละ 300 บาท รายเดือน 3,000 บาท ส่วนรายปี จากราคาเต็ม 25,000 บาท ช่วงโปรโมชั่น เหลือเพียงปีละ 19,999 บาท รวมไปถึงโปรโมชั่นค่าสมาชิกแบบแพกเกจ ราย 2 ปี ตกปีละ 16,000 บาท และราย 3 ปี ตกปีละ 15,000 บาท ซึ่งค่าสมาชิกที่ว่า สามารถเข้าคลาสได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นซุมบ้า , โยคะ ยกเว้นคลาสมวย ที่จะต้องมีจ่ายค่าบริการเพิ่ม โดยรายเดือนแบบเล่นได้ไม่จำกัด เดือนละ 3,000 บาท (ตอนนี้มีโปรโมชั่น ซื้อ 1 เดือน แถม 1 เดือน ในราคา 4,000 บาท เฉลี่ยเดือนละ 2,000 บาท) แต่ถ้าไม่ได้เข้าคลาสมวยบ่อยมาก ก็สามารถซื้อเป็นคูปอง 10 ครั้ง 3,500 บาท , 20 ครั้ง 6,000 บาท , 30 ครั้ง 7,500 บาท โดยไม่มีวันหมดอายุ ส่วนสมาชิกฟิตเนสแบบรายวัน ถ้าอยากเข้าคลาสมวยด้วย ก็สามารถใช้บริการได้ในราคาแพกเกจ 499 บาท
เทียบกันแบบราคาต่อราคา ถือว่า Smash Gym ราคาย่อมเยากว่า 911 ทุกประเภทของการให้บริการเลยทีเดียว พูดง่ายๆ ว่าใหญ่กว่า หรูกว่า แถมราคาถูกกว่า ก็ต้องขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของลูกค้าว่าจะเลือกใช้บริการที่ไหน
อย่างไรก็ตามตอนนี้ในส่วนของ 911 มียอดกดไลค์ในแฟนเพจ 30, 372 คน และยอดผู้เยี่ยมชม 12,117 คน
ส่วน Smash Gym มียอดไลค์ 57, 912 คน ส่วนผู้เยี่ยมชม 9, 568 คน
แต่ที่ต้องถือว่า Smash Gym นำหน้า 911 ไปอีกหนึ่งก้าว ก็เพราะมีโครงการเปิดขายแฟรนไชส์ เพื่อขยายสาขาแล้ว โดยมีการระบุรายละเอียดไว้อย่างชัดเจนในแฟนเพจ ซึ่งสิ่งผู้ที่สนใจลงทุน จะได้รับ ก็คือ
-สิทธิในการใช้เครื่องหมายการค้า หลักสูตร ระบบ รวมถึงรูปแบบการให้บริการ
-การกำหนดสิทธิในแต่ละเขตพื้นที่อย่างชัดเจน
- การจัดหา และอบรมรูปแบบการสอนที่เป็นมาตรฐานของเทรนเนอร์
-การช่วยเหลือในการสรรหา คัดเลือกและฝึกอบรมบุคลากร
-การประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมการตลาด ผ่านสื่อต่างๆ
-การให้คำปรึกษา แนะนำในการบริหารจัดการธุรกิจตลอดอายุสัญญา
-เจ้าหน้าที่ สนับสนุนการดำเนินการในช่วงตลอด 1 เดือนแรก และเจ้าหน้าที่ตรวจสอบระบบตลอดอายุสัญญา
-ออกแบบ ตกแต่งทั้งภายนอกและภายในอาคาร
-นำเข้า และจัดหาอุปกรณ์แบรนด์ดังระดับโลกให้ในราคาถูก
ทั้งนี้โดยจะได้รับผลตอบแทน 40-60% ของรายรับต่อเดือน และมีระยะเวลาคืนทุน 1-3 ปี
งานนี้จะเรียกว่าเป็นความตั้งใจจะ “เอาคืน” เจนี่หรือเปล่า !!?? ไม่แน่ใจนัก แต่ที่แน่ๆ แอบได้ยินเสียงหัวเราะของบุ๋มดังลั่นออกมาจาก Smash Gym
ที่มา นิตยสาร ผู้จัดการ 360 องศา สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 408 9-15 กันยายน 2560