xs
xsm
sm
md
lg

“สกาย” รับโคตรเก็บกด!! ถึงขั้นนั่งคุยกับพัดลมเป็นชม.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“สกาย วงศ์รวี” ยอมรับคำวิจารณ์เล่นละครแข็งเป็นสากกะเบือ แถมไม่พูดไม่ชัดน่ารำคาญ เหตุเพราะเป็นคนโลกส่วนตัวสูง ไม่ชอบคุยกับใคร ชอบทำอะไรคนเดียว ติสท์จัดถึงขั้นนั่งจ้องพัดลมระบายอารมณ์ทบทวนสิ่งที่ผ่านมา ปรับตัวฝึกพูดให้ชัด และพยายามพูดคุยกับผู้คนมากขึ้น

“สกาย วงศ์รวี นทีธร” ถูกด่าเละตั้งแต่ซีรีส์ “i hate you i love you” เพราะแสดงได้แข็งทื่อจนถูกเปรียบเทียบว่าเล่นแข็งเป็นสากกะเบือ พอมีโอกาสได้รับบท “โด่ง” เด็กหนุ่มที่ต้องใช้ชีวิตกับพี่ชายที่เป็นออทิสติกในซีรีส์เรื่อง “side by side พี่น้องลูกขนไก่” เจ้าตัวเลยหันมาพัฒนาตัวเอง ทั้งการลงพื้นที่หาข้อมูลผู้ป่วยออทิสติก และฝึกพูดให้ชัดขึ้น รวมไปถึงการพยายามพูดคุยกับเพื่อนๆ และคนแปลกหน้าให้มากขึ้น จากเมื่อก่อนที่เป็นคนพูดน้อยชอบอยู่คนเดียวโลกส่วนตัวสู

“บทนี้เป็นการท้าทายการแสดงของเราอีกครั้งหนึ่งครับ เพราะผมได้มีระยะเวลาเตรียมตัว อย่างแรกที่ต้องไปเรียนคือตีแบด ปกติก็ตีเป็นแต่ตีแบบหน้าบ้านกับพ่อกับแม่ แต่อันนี้ต้องไปฝึกประมาณ 6-7 เดือนก่อนเปิดกล้อง และที่มีปัญหาคือการตีให้ท่ามันสวย บางครั้งมันดูไม่เป็นนักกีฬาเหมือนเราไปเริ่มจากศูนย์ ไปฝึกให้เป็นและท่าต้องสวย ถามว่ามันยากขึ้นไหม มันก็ยากขึ้นเพราะบางซีนมันต้องเป็นซีนดราม่า ซีนอารมณ์เราก็โฟกัสไม่ถูกว่าต้องทำอะไรก่อน แต่ผู้กำกับเขาก็ช่วยเราแยกแยะอธิบายให้เราเข้าใจ”

“อย่างการแสดงเราก็ไปเวิร์คช็อปและก็ไปศูนย์ออทิสติก ผมก็ได้ไปคุยกับคนที่ดูแลเด็กออทิสติกว่า เขามีวิธีการจัดการยังไง เราได้ไปเรียนรู้วิธีการจัดการ ทำยังไงถึงจะอยู่กับพวกเขาได้ เพราะเด็กออทิสติกบางคนเป็นคนที่มีสไตล์เป็นของตัวเองไม่เหมือนคนอื่น ไปเรียนรู้ว่าใครต้องจัดการแบบไหน ถือว่าเป็นสิ่งใหม่ในชีวิตเลยกับการที่เราต้องไปคลุกคลีกับเขา และสิ่งที่สำคัญคือการเปิดใจกับสิ่งที่เขาเป็น ถ้าเราพูดแบบเด็ดขาด จะมีเปอร์เซ็นต์ที่เขาจะฟังเราแน่ๆ แต่ก็แล้วแต่ละบุคคล เพราะเขามีวิถีชีวิตที่เป็นตัวของเขาเองไม่ต้องให้สังคมมาบังคับเขาว่าเขาเป็นออทิสติก และการที่เขาได้อยู่ตรงนั้นมันทำให้เขาได้โชว์ศักยภาพและความสามารถของเขาออกมาได้อย่างเต็มที่ จากการที่เราไปคลุกคลีกับเขาเด็กบางคนเขามีความสามารถมากๆ ซึ่งบางคนมีความสามารถกว่าเรา บางคนเป็นพรสวรรค์ที่เขาทำได้ดี และผมก็ถามพี่ๆ ที่ดูแลนะว่าต้องทำยังไง เขาก็บอกว่าหลักๆ ก็ต้องใช้ใจในการดูแล เขามีความอดทนมากๆ เรานับถือพี่เขามากๆ ทุ่มเทมาก คนที่เป็นครูคือเขาตั้งใจทำตั้งแต่แรกๆ จนถึงทุกวันนี้เขาก็ยังอยู่ มันเป็นสิ่งที่เขารัก และอยากทำจริงๆ”

เป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง นั่งคุยกับพัดลมระบายอารมณ์เป็นชั่วโมงๆ
“นอกจากศึกษาข้อมูลออทิสติกแล้ว ในส่วนของเรื่องการพูดผมก็ฝึกไปเรื่อยๆ ตอนแรกก็ฝึกพูดทีละตัวอักษร พูดช้าๆ และก็เริ่มเป็นประโยคเป็นคำ ก็ฝึกตั้งแต่โดนด่าไปครั้งที่แล้ว (หัวเราะ) อาบน้ำก็ฝึกไปเรื่อย ถ้าไม่ร้องเพลงก็ฝึกออกเสียงนี่แหละ อย่างอยู่มหาลัยก็แล้วแต่อารมณ์อยากพูดก็พูด ไม่อยากพูดก็ไม่พูด แต่ก็พูดมากหน่อยกับเพื่อนสนิท แต่ถ้าเป็นคนแปลกหน้าก็จะพูดน้อยหน่อย แต่ก็เริ่มพูดมากกว่าแต่ก่อน การพูดก็ยังเป็นปัญหาอยู่เวลาเราพูดออกมาแล้วคนดูเขารำคาญ (หัวเราะ) แต่สำหรับตัวเรามันก็เป็นปัญหา เพราะหงุดหงิดที่ตัวเราเองมากกว่า ซึ่งในฐานะนักแสดงเราก็ควรทำให้ได้ แต่ตอนนี้ก็พยายามปรับอยู่”

“เมื่อก่อนที่เราไม่ค่อยพูดจะเรียกว่าเรามีโลกส่วนตัวก็ได้ เรากลัวที่จะก้าวออกมาโลกภายนอก เหมือนว่าเราอยู่ในโลกของเรามานานไม่กล้าออกไปหาโลกภายนอก กลัวว่าเราจะเข้ากับคนอื่นไม่ได้ ผมเป็นคนที่ชอบทำอะไรคนเดียวมันก็ชินมาตลอด ก็เลยไม่ค่อยเข้าหาคนอื่น และพอมาเป็นดาราความกลัวที่มันเคยมีมันก็หายไปตั้งแต่เราเข้าเวิร์คช็อป มันค่อยๆ หายไปทีละนิดเราค่อยๆ เปิด แต่ถามว่าวันนี้เราคุยเก่งขึ้นยัง ก็ยังไม่เก่งมากนะครับ แต่ถ้าอยู่กับเพื่อนที่สนิทก็จะเก่งมากขึ้นกว่านี้ ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะมีวันนี้”

“บทโด่งกับตัวผมแตกต่างกันทุกอย่างเลยครับ อันที่ชัดๆ ที่สุดคงเป็นอารมณ์อิจฉาเพราะปกติผมจะเป็นคนเฉยๆ แต่บทโด่งมันจะเป็นบทที่ปลุกความอิจฉาในตัวผม พอเราเข้าคาแรคเตอร์ไปเรื่อยๆ เล่นไปเรื่อยๆ มันก็เกิดขึ้นมา เพราะเห็นคาแรคเตอร์โด่งแล้วเราดูว่าเขาอิจฉามาก แต่ต่างจากผมที่ไม่มีอารมณ์นี้เลย คือแทบจะไม่แคร์โลกเลย ผมสามารถนั่งจ้องพัดลมในห้องได้เป็นชั่วโมง คือพ่อแม่ไม่รู้นะ (หัวเราะ) การที่เรามองพัดลมเป็นการที่เราใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ได้พูดคุยทบทวนตัวเองว่าวันนี้ไปทำอะไรมาบ้าง แต่ตอนนี้ไม่เป็นแล้ว ตอนนี้ถ้าอยู่กับตัวเองคือนอนคิด เป็นคนคิดเยอะ กลัวคนอื่นมองเราไม่ดี เราเป็นคนที่ค่อนข้างเกรงใจ เราเป็นคนแคร์สังคม แต่เราไม่ได้แสดงออกให้ใครรู้ เขาก็เลยไม่รู้ว่าเราแคร์ เพราะเราไม่รู้จะแสดงออกไปยังไง"

กลัวและกดดันว่าจะโดนด่าเหมือนตอนเล่น I hate you I love you
“ผมก็ไม่ได้ไปถามเขานะครับว่าทำไมเลือกผม ผมว่าเขาก็คงอยากได้ความท้าทายอะไรใหม่ๆ (หัวเราะ) เพราะผู้กำกับที่นี่ไม่ชอบอะไรที่ได้มาด้วยความง่ายดาย ซึ่งมันก็ท้ายทายผมมาก น้ำตาเล็ดไปตามๆ กัน ผมก็ร้องไห้กับบทนี้บ้าง อย่างเวลาเวิร์คช็อปแล้วเราทำไม่ได้ เราค่อนข้างเฟลทั้งๆ ที่เราก็ตั้งใจและคาดหวังกับมันมาก”

“ละครเรื่องนี้จะลบคำสบประมาทได้หรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เราได้ทำเต็มที่กับมันไปแล้ว เราไม่ได้ทำอะไรผ่านๆ เพราะเราทำเต็มที่ทุกครั้ง ส่วนคำสบประมาทมันก็กดดันเรามาตั้งแต่เล่น i hate you i love you แล้ว ทั้งกดดันและก็กลัว แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้ามันออกมาแล้วคนดูจะชอบหรือเปล่า จะโอเคหรือเปล่า เท่าที่ดูตัวเองก็คิดว่ามันน่าจะพัฒนาขึ้น แต่อย่างตอนที่เราแสดง เราก็ไม่ได้แบกความกดดันเพราะเราทิ้งมันไปตั้งแต่ตอนเวิร์คช็อป เราก็ต้องแยกแยะให้ออก แต่ผมก็กลัวนะครับ กลัวว่ามันจะไม่ดีพอเท่าที่ทุกคนคาดหวังไว้หรือเปล่า แต่เราก็ไม่ได้หมกมุ่นขนาดนั้น แค่เรารับรู้เอาไว้ว่าคนก็ยังติดใจในเรื่องนี้ของเรานะ เราก็เก็บมันไปพัฒนา เพราะเราเก็บมาคิด ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เราก็ควรพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเราทำได้นะ แต่จริงๆ ผมไม่ได้อยากได้จะไปลบคำสบประมาทอะไรนะ แต่อยากให้เขาได้ดูพัฒนาการแสดงของเราเอง”

“แต่หลังจากที่ทีเซอร์ออกไปก็ฟีดแบคค่อนข้างดี เขาบอกว่าเรามีพัฒนาการที่ดีขึ้น แต่ก็เริ่มกลัวกับการคาดหวังของคน ดูตอนแรกบอกว่าดีแต่ทำไมเล่นๆ ไปแล้ว อ้าวเฮ้ย....(หัวเราะ) ยิ่งมันเป็นสิ่งที่คนพูดถึงเยอะกลัวว่าจะไม่ได้เป็นเหมือนที่เขาคาดหวังกันไว้ เพราะว่าความคิดคนเรามันไม่เหมือนกัน ฝั่งเรามองว่ามันโอเคแล้ว แต่ในมุมมองคนอื่นเขาอาจจะอยากได้มากกว่านี้”

โสดเปิดใจให้สาวๆ แค่ 60 เปอร์เซ็นต์
"ตอนนี้เข้ามหาวิทยาลัยแล้วชีวิตมหาลัยก็ดีนะครับ อย่างตอนปีหนึ่งจะมีคนเข้ามาหาแต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว สงสัยเบื่อหน้าแล้ว (หัวเราะ) ตอนแรกๆ เข้าไปก็จะมีมากรี้ด ประมาณว่านี่ไงสกาย แต่พอมาตอนนี้ก็ทำหน้าเบื่อๆ สงสัยเขาเบื่อขี้หน้ามั้ง ชีวิตมันก็ต่างกับมัธยม เราต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น ไม่มีใครมาตามให้เราส่งงาน เราต้องรับผิดชอบ ชีวิตและหน้าที่ของตัวเองมากขึ้น และพอเราทำงานไปด้วย เราก็ต้องแบ่งแยกเวลาให้เป็น ต้องจัดการเวลาให้ดี สกายรักษ์โลก (ยิ้ม) และมหาลัยมันมีงานกลุ่ม มันทำให้เราต้องปรับตัวมากขึ้น"

“ส่วนเรื่องแฟนยังครับ เพราะผมชอบอยู่คนเดียว ชอบอยู่กับพัดลม (หัวเราะ) ล้อเล่น ถามว่ามีคนคุยด้วยไหม ก็มีนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้อะไร เพราะเราคนก็ไม่ได้เข้ามาหาเราเยอะขนาดนั้น หรือด้วยที่เราเป็นนักแสดงด้วยหรือเปล่า แต่อันนี้ไม่รู้เลยว่าเพราะอะไร บางคนก็กลัวที่จะเข้ามาหาเรา ซึ่งถามว่าเราโอเพ่นไหม เราจะเลือกดูมากกว่าว่า นิสัยเขาเป็นยังไง เปิดประมาณแค่ 60% เพราะแค่คุยกันเฉยๆ ไมได้มีอะไรลึกซึ้งเป็นเหมือนเพื่อนๆ ทั่วไป รู้สึกว่าถ้าเรามีแฟนเราก็อยากให้ตัวเราพร้อมจริงๆ ทั้งในหน้าที่การงาน เพราะเดี๋ยวเราจะดูแลเขาไม่ได้ เพราะเราเองก็ยังดูแลตัวเองไม่ได้เลย ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย ยังนั่งมองพัดลมอยู่เลย (หัวเราะ)”







กำลังโหลดความคิดเห็น