“ครูอ้อย” ร่อนข่าวถึงสื่อ ระบายความในใจ ยืนยันถูกขบวนการทำลายชื่อเสียงและเรียกเงิน 11 ล้าน จี้ตำรวจต้องทันโจรที่เดินหน้าไปแล้วหลายก้าว เตรียมเปิดแถลงข่าวอีกครั้ง หลังจากที่พูดไปครั้งที่แล้วเน่ากว่าเก่า
คราวก่อน “ครูอ้อย ฐิตินาถ ณพัทลุง” เปิดแถลงข่าวไปแบบเบาๆ งงๆ เพราะมีหลายสำนักข่าวไม่ได้รับหมายแถลงข่าว โผล่ออกมาอีกทีก็ตอนที่เจ้าตัวร้องไห้บอกว่าถูกขู่กรรโชกเรียกเงิน 11 ล้านไม่งั้นจะสร้างข่าวทำลายชื่อเสียง กลบกระแสข่าวที่ “เอ๋ มณีรัตน์” ดารานักแสดงออกมาโวยวายให้ลบภาพตนเองขณะเข้าอบรมออก ต่อมาก็ไปยื่นดีเอสไอให้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าว ในเบื้องต้นดีเอสไอบอกน่าจะไปแจ้งความที่สถานีตำรวจมากกว่า แม้จะพยายามอธิบายเรื่องราวต่างๆ มากมายแต่ดูเหมือนกระแสของครูอ้อยยังไม่สู้ดีนัก ล่าสุดครูอ้อยก็ร่อนจดหมายถึงสื่อมวลชนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น และประกาศจะแถลงข่าวอีกครั้ง
“หลายสัปดาห์มานี้ คนไทยได้ดูเกมโปลิศจับขโมย ที่ขโมยเดินหน้าอยู่หลายก้าว ผู้ร้ายกลุ่มหนึ่งจับชื่อเสียงคนๆ หนึ่งไว้เป็นตัวประกัน ปฏิวัติวงการเรียกค่าไถ่แบบใหม่ คือ ไม่ต้องเอาตัวไว้ เอาแค่ชื่อเสียงไว้ก็พอ แล้วเขียนข้อความขู่กรรโชกจะทำลายให้สิ้นซาก หากผู้ถูกเรียกค่าไถ่ไม่ยอมจ่ายเงิน 11 ล้านบาท เรียงลำดับหัวข้อทุกอย่างเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อย ทั้งโจมตี พ่อแม่ลูก งาน ธุรกิจ การทำบุญ หุ้นตัวเดียวที่เคยซื้อ บริษัท ภาษี ไปเที่ยวกินข้าว ทำอะไร เอามาแต่งให้ทุกเรื่อง กะว่าทำทั้งหมดนั้น คนถูกทำตายแน่ แล้วมีบางสำนัก เป็นคนต้นขบวนในการกระจายข่าวต่างๆ มีหัวข้อตรงกับที่โจรวางไว้”
“ก่อนหน้านั้น ก็ประโคมข่าวปูพื้นไว้ก่อนเทียบกับวัดแห่งหนึ่ง อันนี้หวังผลสองทางคือเสี้ยมให้ลูกศิษย์วัดดังโกรธครูอ้อยที่ถูกนำมาเทียบกับวัดเขา อีกทางคือคนที่ไม่ชอบวัดนั้นก็โกรธด้วย ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักอย่าง แต่กระแสในสังคมจุดติดง่าย บิดเรื่องว่าไปภาวนาต้องจ่ายเงิน เอาค่าเรียนห้องสัมมนาของนักธุรกิจมาบิดเป็นว่าเป็นค่าเรียนธรรมะ ซึ่งใครจะไปจ่ายเงินไปฟังเทศน์ที่มีเทศน์ฟรีกันทุกวัด แต่โจรเรียกค่าไถ่ก็สร้างเรื่องจากขาวเป็นดำได้สำเร็จอีกเรื่อง ต่อด้วยเรื่องเงินทำบุญจนครูอ้อยออกมาชี้แจงว่า มีทีมรับเงินไปมอบตามองค์กรที่ตั้งใจทำบุญทุกแห่งถูกต้องโปร่งใส ฝ่ายกล่าวหาก็หาว่า เพราะอยากได้ใบอนุโมทนาบัตรหรือใบเสร็จ จนมีการออกมาชี้ชัดว่า เวลาไปภาวนาที่โรงแรม หรือที่อินเดียมีคนจ่ายเงินให้ก่อน มีใบเสร็จ พอภายหลังคนร่วมทำบุญมาก็เอาเงินนั้นไปสำหรับทำบุญต่อ และที่หาว่าจะได้ประโยชน์ทางภาษีปีที่ผ่านมารัฐลดฐานภาษีบริษัทเหลือ 0-10% หาว่าคนทำบุญเพราะอยากได้ใบอนุโมทนาบัตรไปหักภาษี แต่ประเทศไทยนั้น เงินทำบุญ ลดหย่อนภาษีได้แค่ล้านละ สองหมื่น แล้วลดได้ไม่เกินสองแสน คนที่ทำบุญไปเป็นล้านๆ พวกโจมตีก็หาว่าเพราะเขาอยากได้ลดหย่อน สองหมื่น คนปกติคิดก็รู้แล้ว ว่าใส่ความกัน”
“จากนั้นก็โจมตีด้วยเรื่องส่วนตัว ความรักการใช้ชีวิต บ้าน การท่องเที่ยว พ่อแม่ลูกอีก ซึ่งถ้าเรามองดูดีๆ ฆราวาส ถึงเขาจะทำบุญสุนทานช่วยคน เขาก็เป็นฆราวาส แล้วถ้าเขาต้องเจอกับปัญหาอะไรในชีวิตเขาก็เป็นเรื่องที่น่าเอาใจช่วย คนที่พยายามทำดีในโลกที่ปั่นป่วนแบบนี้ ในขณะที่โจรที่มุ่งโจมตีพยายามชี้นำกระแสสังคมว่า ตัวเองเป็นเจ้าของชีวิตคนอื่น ให้ไปควบคุมบังคับว่าใครจะใช้ชีวิตยังไง แบบนี้คนก็จะไม่อยากทำความดีเพราะทำดีแล้วต้องมาถูกคาดคั้นบังคับใส่ความ”
“มีการโจมตีว่าเอาบ้านสวยๆ มาใช้ให้คนจนไปปฏิบัติธรรม ทุกวันนี้คนปาร์ตี้กินเหล้าเต้นรำในบ้านแบบไหน เป็นเรื่องปกติ แต่พอเอามาให้คนจนใช้ปฏิบัติธรรมกลายเป็นเรื่องแปลก แล้วแบบนี้เราจะกลายเป็นผูกขาดว่าให้ปฏิบัติธรรมตอนจน พอใครรวยแล้วให้หลงโลกไปมีของสวยแล้วไม่ต้องภาวนา ไม่งั้นก็ไม่ต้องมีอะไรดีๆ ในชีวิต ไปปฏิบัติ เฉพาะตอนอกหัก ตกงาน เป็นหนี้ ชีวิตเป็นทุกข์ ยากจน ใช้สื่อหนึ่งเป็นคนต้นกระแส”
“ต่อด้วยเพจเฟซบุ๊กเครือข่ายต่างๆ รับลูกกันไป สรุปคือ การโจมตี มีแบบแผนตรงตามจดหมายขู่เรียกค่าไถ่ โจรทำตามที่ขู่ไว้ทุกอย่าง และขู่ว่ายังมีไม้ตายอีกมากมีเครื่องมือเยอะ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมากที่ร่วมมือกันเป็นขบวนการ กระบวนการยุติธรรมของไทยจะตามทันโจรยุคใหม่หรือไม่ เรื่องนี้จะถูกจับได้โดยตำรวจ หรือคนธรรมดาอย่างไร มาติดตามดูกัน”