สงสัยว่าช่วงนี้ “เข็มทิศชีวิต” ของ “ครูอ้อย-ฐิตินาถ ณ พัทลุง” ผู้เชี่ยวชาญการสอนด้านจิตใต้สำนึกชื่อดัง และผู้เขียนหนังสือขายดี ระดับ Best Seller อาจจะกำลัง error อย่างหนัก หลังจากที่เหล่าดาราทยอยกันออกมาให้ข่าวเป็นเชิงปฏิเสธว่าปัจจุบันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคอร์สอบรมต่างๆ ที่จัดโดยครูอ้อยตามที่มีการนำรูปไปโปรโมตในแฟนเพจในระยะหลัง
ดรามามหากาพย์เริ่มจาก “เอ๋-มณีรัตน์ คำอ้วน” โพสต์ข้อความแสดงความไม่พอใจอย่างหนัก ต่อกรณีที่ครูอ้อย ยังคงนำภาพเมื่อครั้งเธอ “เคย” ไปร่วมคอร์สอบรมมาโปรโมต ทั้งที่เธอยืนยันว่าไม่ได้มา 3 ปีแล้ว เหตุเพราะแนวทางไม่ตรงกัน
“เหมือนที่บางคนชอบกาแฟ บางคนชอบโกโก้อย่างนี้ค่ะ บางคนอาจจะเห็นว่า โกโก้เป็นทางที่เค้าชอบ แต่อาจจะไม่ได้ชอบโกโก้อย่างนี้ค่ะ คือเอ๋ชอบในสิ่ง ณ ปัจจุบันค่ะ เอ๋พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ เอ๋โอเค มีเงินใช้น้อยก็ใช้ ใช้มากก็ใช้พอดีตัว อาจจะเป็นความต้องการของแต่ละคนมันไม่ตรงกันเนอะ และความต้องการของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน"
จากนั้นก็มีขบวนพาเหรดของเหล่าดาราที่ออกมาสำทับในกรณีเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น “อุ๋ย บุดดาเบลส” ที่เคยได้รับการติดต่อให้ไปเขียนเพลงให้ แต่เมื่อไปลองเข้าไปสังเกตการณ์แล้ว ก็ปฏิเสธที่จะรับงานดังกล่าวไปเรียบร้อยแล้ว
“มีเพื่อน พี่น้อง เห็นผมในวิดีโอคลิปโฆษณาหลักสูตรหนึ่ง ถามว่ามึงไปทำอะไรมาวะ คือตอนแรกทีมงานติดต่อมาว่าจะให้แต่งเพลงให้ ผมก็สงสัยว่ามันคือหลักสูตรอะไร ทีมงานก็บอกให้ผมไปลองก่อนจะได้เข้าใจ ราคาค่าอบรมก็หลายหมื่น ถ้าให้เสียเงินไป ไม่เอาแน่ครับ และถ้าจะเขียนเพลงให้ เขาก็ต้องมีข้อมูลหลักสูตร 7 วัน.....
ผมว่างไปแค่ 4 วัน จบหลักสูตร คิดว่าจบแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ พอจบวันที่ 7 อาจจะด้วยปัญญาอันน้อยนิดของผม ผมไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เขาสอน แล้วผมก็ตัดสินใจไม่รับงานแต่งเพลงให้เขา เพราะมีบางอย่างที่ยังสงสัย และไม่เห็นด้วยทั้งหมด”
ล่าสุด “ครูเงาะ--รสสุคนธ์ กองเกตุ” รวมไปถึง “ปอย-ตรีชฎา” ก็ยกขบวนออกมา “เท” ครูอ้อยแล้วเช่นเดียวกัน โดยยืนยันว่าสถานภาพตอนนี้ คือต่างคนต่างสนุกกับการทำงานตามหน้าที่ของตัวเอง
ทว่าท่ามกลางกระแสการออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้มีส่วนร่วม และรู้เห็นของเหล่าดารา ที่ค้นพบแล้วว่าเนื้อหาสาระของการเข้าคอร์สอบรมดังกล่าว ไม่สามารถตอบโจทย์ และไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของชีวิต ในอีกด้านหนึ่งก็ยังคงมีดาราที่จงรักภักดี และประกาศตนเป็นสาวกของครูอ้อย เข็มทิศชีวิตอย่างเต็มตัว ออกมากางปีกปกป้อง ราวกับเป็นองครักษ์พิทักษ์เจ้าหญิงก็ไม่ปาน
ไม่ว่าจะเป็น “อาตุ่ย -พุทธชาด พงศ์สุชาติ” ที่ตอบโต้เกี่ยวกับกรณีของการนำรูปดาราที่เคยเข้าร่วมคอร์สอบรมไป โปรโมต
“ของอาเนี่ย อายินดีและอนุโมทนากับการส่งบทเรียนฟรีเพื่อยกจิต ยกใจ ให้ข้อคิด ช่วยเหลือคนไกลที่กำลังหม่นกำลังหมอง ให้กลายเป็นมีกำลังใจ ทำชีวิตเค้าให้ดีขึ้น ถ้าจะมีภาพอาติดไปด้วย อาอนุโมทนาเป็นที่ยิ่งค่ะ อาก็ได้เซ็นยินยอมให้เค้านำภาพและเสียงไปใช้ได้ด้วยความยินดี รู้สึกดีไปอีกว่า เราจะได้มีส่วนในการช่วยคนที่เค้าไม่มีโอกาสมาเรียน ในส่วนของนักแสดงที่ไปนี้ ถ้าเราไม่สะดวกในการให้เค้าใช้ภาพ เค้าจะจัดที่ที่กล้องไม่ได้เก็บภาพไปเฉียดทางนั้นเลยให้เราได้นั่ง และเราก็ไม่ต้องเซ็นยินยอมให้”
ขณะที่พิธีกรฝีปากกล้า อย่าง “กาละแมร์-พัชรศรี เบญจมาศ” ก็เป็นอีกคน ที่ออกมาเป็นทัพหน้านายกองในสมรภูมิ ดรามาครั้งนี้ ในฐานะสาวกอันดับต้นๆ โดยชี้แจงถึงกรณีที่มีการนำคอร์สอบรมของครูอ้อยไปข้องเกี่ยวกับบางลัทธิ ในเชิงปลูกฝังให้ผู้คนงมงาย
“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ ที่เราไปมามันก็เหมือนการเรียนอีกหลักสูตรหนึ่ง เหมือนเราไปเรียนบุคลิกภาพ การพูด เรียนโยคะ แต่นี่มันเป็นเรื่องการสอนเรื่องความกตัญญูต่อพ่อแม่ การคิดดีทำดีพูดดี เสริมสร้างกำลังใจ ไม่ได้เป็นเรื่องน่ากลัว งมงาย ไสยศาสตร์อะไร ตอนแรกแมร์ก็เข้าใจแบบนั้นเหมือนกัน ก็เลยลองเข้ามาหาคำตอบดู เราก็ได้เข้าใจว่าเขาเรียนอะไรกันแล้วมันเอามาปรับใช้กับชีวิตเรายังไง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำงาน ระบบความคิด หรือแม้แต่ในวันที่เรามีความทุกข์เราจะก้าวผ่านมันไปยังไง มันไม่มีอะไรซับซ้อนเลย
"ที่เราเรียนมามันก็เอาไปปรับใช้ได้นะกับชีวิตประจำวัน สิ่งที่สอนคือเขาให้รักพ่อแม่ แต่เราทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าต้องรักพ่อแม่ แต่มันก็จะมีอย่างนั้นอย่างนี้ พอไปเรียนเราก็เข้าใจว่าพ่อแม่รักเรามากเหลือเกิน มันทำให้เรากลับไปกตัญญูกับท่าน กลับไปทำดีกับท่าน หรือเวลาที่เรามีเรื่องไม่สบายใจ มีอุปสรรคในชีวิตไ ม่รู้จะก้าวข้ามผ่านมันไปยังไง เมื่อก่อนเราก็จะนอยด์ๆ วนไปวนมา แต่พอเราไปเรียนเรารู้ว่ามันมีเทคนิค เราต้องคิดอย่างนี้ ทำอย่างนี้ มันไม่ได้เป็นเรื่องอะไรน่ากลัวเลย”
แต่คำถามก็คือ.....การกตัญญูต่อบุพพการี การรักพ่อ รักแม่ หรือระบบความคิด ที่นำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการดึงตัวเองให้พ้นจากวังวนของความทุกข์ การหาหนทางให้ชีวิตมีความสุข จำเป็นที่จะต้องไปเข้าคอร์สอบรม ที่ต้องเสียเงินเป็นหมื่นๆ ต่อคอร์สเชียวหรือ !!???
ว่ากันจริงๆ แล้ว คอร์สที่ว่าของครูอ้อย ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ตัวเอง ใช้ตัวเองเป็นที่ตั้ง ใช้ศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจก็เพียงพอแล้ว
เนื้อหาสาระของคอร์สเท่าที่ประมวลดู ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการอาศัยความอ่อนแอของผู้คนเป็นช่องทางในการหากิน ด้วยคำพูดเชิญชวนในลักษณะว่าสามารถคลายปมในชีวิตได้ แล้วก็ใช้ความสุข ความร่ำรวย และความสำเร็จในชีวิตเป็นตัวล่อ
และที่สำคัญใช้เหล่าดารา นักแสดง พิธีกร หรือเซเลบคนดังทั้งหลายทั้งมวล มาเป็นตัวสร้างกระแส ดึงดูดให้ผู้คนสนใจ ว่าแม้กระทั่งคนดังเหล่านี้ ที่ทุกคนอาจจะมองว่าดังแล้ว รวยแล้ว สำเร็จแล้ว ยังต้องมาเข้าคอร์ส ทำหน้าที่เสมือนเป็น “พรีเซ็นเตอร์” แลกกับการได้รับสิทธิในการคอร์สโดยไม่ต้องเสียเงิน
ตรงนี้กาละแมร์เป็นคนพูดเอง ว่าดาราทุกคนนั้น เข้าอบรมฟรี !!!!
ขณะที่ถ้าเป็นบุคคลทั่วไป สนนค่าใช้จ่ายในการเข้าคอร์สอบรม 2 วัน วันละ 8 ชม. นั้น อยู่ที่ 25,000 บาทขาดตัวต่อคน ซึ่งในหนึ่งคอร์สสามารถรองรับผู้เข้าร่วมอบรมได้ประมาณ 1,200 คน
เมื่อลองบวกลบตัวเลขดู เท่ากับว่าครูอ้อยจะมีรายได้จากการหากินบนความอ่อนแอ และขาดที่พึ่งทางใจของคน ประมาณ 30 ล้านบาทต่อคอร์ส แค่พูดในสิ่งที่ทุกคนก็รู้กันดีอยู่แล้ว แต่อาจจะไม่กล้ายอมรับความจริง ต้องยอมเสียเงินแพงๆ เพื่อให้คนมาพูดกระแทกใจดำแบบนี้
เอาจริงๆ ครูอ้อย ก็เป็นเหมือนนักพูด ที่มี “วรรคทอง” มาสะกดจิตสะกดใจให้คนฟังคล้อยตาม แล้วก็เอออวยไปด้วย ซึ่งก็มีคนที่อินแบบไม่ลืมหูลืมตาเป็นจำนวนมาก เหมือนเหล่าดาราสาวกทั้งหลาย นอกจากกาละแมร์ , อาตุ่ยแล้ว ก็ยังมี วู้ดดี้-วุฒิธร , ก้อย-รัชวิน, เป๊ก-เปรมณัช, เบลล์ ไชน่าดอลล์ ฯลฯ รวมอยู่ในก๊วนด้วย โดยมีการจัดทริป “เข็มทิศภาวนา” ที่ต่างประเทศ อาทิ ประเทศอินเดีย ประเทศอังกฤษ และมีเหล่าสาวกดังกล่าว ร่วมทริปไปด้วย มีการถ่ายรูปหมู่ในบรรยากาศชื่นมื่น ตอกย้ำถึงความสุขที่ได้รับจากการเข้าร่วมในคอร์สอบรมต่างๆ
ส่วนคนที่เข้าอบรมแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ ไม่อิน ก็มีไม่น้อยเช่นเดียวกัน เพียงแต่ไม่เคยถูกนำมาสื่อสารให้คนรับรู้ ถ้าเอ๋-มณีรัตน์ ไม่ออกมาโวยวายเสียก่อน ก็อาจจะมีคนหลงเชื่อ และคล้อยตาม ยอมจ่ายเงินคนละ 25,000 บาท เพื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในคอร์สร่วมกับดาราดังๆ โดยหวังว่าจะพบกับเส้นทางของการพ้นทุกข์ และประสบความสำเร็จ ตามที่ครูอ้อยนำมาเป็นจุดขาย
รายได้ 30 ล้านต่อการอบรม 1 คอร์ส / 2 วันนั้น ทำให้สถานะทางสังคมครูอ้อยนั้น เข้าขั้นเศรษฐีได้เลยทีเดียว สามารถใช้ชีวิตแบบอู้ฟู่ เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ มูลค่ามหาศาล ชนิดที่มนุษย์เงินเดือนฟังแล้วได้แต่ทำตาปริบๆ
ไม่ว่าจะเป็นเพนเฮ้าส์หรูกลางกรุง พื้นที่ 500 ตร.ม. ซึ่งเป็นทั้งที่พักอาศัย และสถานภาวนาธรรม รองรับคนที่จะเดินจงกรม และนั่งสมาธิได้กว่า 100 คน แบบสบายๆ
ยังไม่นับห้องขนาด 3 ห้องนอน พื้นที่เกือบๆ 300 ตร.ม.และขนาด 4 ห้องนอน พื้นที่ประมาณ 340 ตร.ม. บนคอนโดเดียวกัน
นอกจากนั้น ยังมีธุรกิจคอนโดมิเนียมของตัวเองในย่านถนนสาธร ใกล้กับที่พักของตนเอง ออกแบบและตกแต่งในสไตล์อังกฤษ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะเชิญชวนให้หมู่มวลกัลยณมิตรมาซื้อ เพื่อให้มาอยู่ในละแวกใกล้ๆ กัน ซึ่งสามารถขายได้หมดเกลี้ยงในระยะเวลาเพียงแค่ 2 ชั่วโมง
เป็นเจ้าของโครงการหมู่บ้านเข็มทิศ วิลเลจ บ้านขนาด 4 ห้องนอน 4ห้องน้ำ หน้าจุดขึ้นลงทางด่วนมอเตอร์เวย์ บางวัว-ฉะเชิงเทรา ราคาจำหน่ายหลังละ 3.95 ล้านบาท
เป็นความร่ำรวย บนความอ่อนแอของผู้คนโดยแท้
“ครูอ้อย-ฐิตินาถ ณ พัทลุง” สำหรับประวัติส่วนตัวของ “ครูอ้อย-ฐิตินาถ ณ พัทลุง” ที่หลายคนอาจจะคุ้นชื่อ แต่ไม่รู้ว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร กว่าจะมาเป็นเจ้าของหนังสือ “เข็มทิศชีวิต” ที่ขายดิบขายดี และคอร์สอบรมที่สร้างรายได้ให้กับเจ้าตัวอย่างมากมายมหาศาล ครูอ้อย ในวัย 48 ปี เกิดเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2512 เป็นบุตรคนโตในจำนวน 3 คนของนายไสว ณ พัทลุง (สมาชิกพรรคเพื่อไทย แกนนำ “เสื้อแดง” คนสำคัญ เจ้าของโรงแรมพิ้งค์เลดี้หาดใหญ่) เรียนจบการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยลอนดอน และปริญญาโท สาขาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยลอนดอน จากนักเศรษฐศาสตร์ และเจ้าของธุรกิจร้านเพชร ครูอ้อยกลับมาเป็นที่รู้จักกับการออกหนังสือ How to ในชื่อ "เข็มทิศชีวิต" ในปี 2547 ด้วยจุดขายที่ว่าเป็นผู้หญิงที่สามารถปลดหนี้ร่วม 100 ล้านบาท ในระยะเวลาเพียงแค่ 2 ปี ซึ่งเนื้อหาในหนังสือเรียกว่าโดนใจคนที่ท้อแท้ในชีวิตอย่างจัง ส่งผลให้ต้องมีการตีพิมพ์ซ้ำถึงหลายครั้ง ก่อนที่จะมีเล่ม 2 (ตอนกฎแห่งเข็มทิศ พ.ศ.2551) และเล่ม 3 (ตอนกฎแห่งความสุข พ.ศ.2552) ตามออกมาพร้อมๆ กับการเปิดคอร์สสอนหลักสูตรเข็มทิศชีวิตที่มีคนให้ความสนใจเข้าร่วมไม่เว้นแม้กระทั่งดาราคนดังตามที่ปรากฏเป็นข่าว ก่อนหน้านี้ ในปี 2553 เคยตกเป็นข่าวดัง กรณีออกมากล่าวหา “พระปราโมทย์ ปราโมชโช” เจ้าสำนักสวนสันติธรรม จังหวัดชลบุรี ในทำนองว่า มีพฤติกรรมยักยอกเงินบริจาค และที่ดิน อวดอุตริมนุสธรรม และความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับแม่ชีอรนุช อดีตภรรยา แต่หลังจากมีการตรวจสอบ กลับไม่พบว่าพระรูปดังมีความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ซึ่งตรงนี้มีกระแสข่าวออกมาว่า เป็นการจงใจกุเรื่องขึ้น เพราะไม่พอใจที่ไม่ได้เป็นบุคคลสำคัญในสำนักสวนสันติธรรม ทั้งที่อุตส่าห์ลงทุนไปมากมาย ว่ากันว่าเป็นเพราะพระปราโมทย์ไม่ไว้ใจในพฤติกรรมบางอย่าง |
ที่มา นิตยสาร ผู้จัดการ 360 องศา สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 396 17-23 มิถุนายน 2560