xs
xsm
sm
md
lg

"หมิว Boom Boom Cash" สาว EDM สายพันธุ์โอเปร่า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online



เป็นที่รู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี กับแฟนเพลง EDM (Electronic Dance Music) สำหรับนักร้องสาวร่างเล็ก "หมิว วริศรา อภิรักษ์เดชาชัย" ภายใต้แสงไฟสีฉูดฉาดสาดส่องกระทบพื้น บรรยากาศคุ้นชินของหลายคนยามต้องการปลดปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงเพลงแบบโยกได้เอาให้สุดเหวี่ยงลืมโลก ด้วยเพลงอันสรรสร้างมาจากกลุ่มศิลปิน “บูม บูม แคช” ที่ยกระดับแนวเพลง EDM หรือเพลงตื้ดๆ ที่ทำให้หลายคนหันมาสนใจมากยิ่งขึ้น

และนอกจากเพลงที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่นแล้ว “หมิว วริศรา" ก็ยังเป็นที่ดึงดูดผู้ฟังได้เป็นอย่างมาก ด้วยหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก พร้อมพลังเสียงที่สะกดได้อยู่หมัด และที่สำคัญยังช่างพูดช่างเจรจาอย่างเป็นกันเอง พิสูจน์จากการนั่งเปิดใจสัมภาษณ์แบบไม่มีกั๊ก แถมเจ้าตัวยังแอบบอกมาว่า ตอนนี้กำลังมีซิงเกิ้ลเดี่ยว ในเพลง "ไม่อาจหยุดยั้ง" ภายใต้ชายคา ค่ายโมโนมิวสิค ในเครือโมโนกรุ๊ป อีกด้วย

“หมิวเคยได้ร่วมงานกับทางโมโนมิวสิคในเพลงมองบนฟ้า เป็นเพลงพิเศษที่ร้องเพื่อระลึกถึงรัชกาลที่ 9 เมื่อช่วงปลายปีก่อน จากนั้นก็ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับทางค่ายจนเป็นที่มาในการร่วมงานในครั้งนี้ ที่ผ่านมาหมิวจะทำเพลงร่วมกันกับวงมาตลอด พอจะได้มีเพลงเดี่ยวของตัวเองก็รู้สึกดีใจ"

"สำหรับเพลง ไม่อาจหยุดยั้ง เป็นเพลงของหญิงแกร่ง ที่ให้กำลังใจผู้หญิงด้วยกัน เรียกว่าเพลงนี้ความหมายบาดลึกเลยทีเดียว คือในอดีตหมิวเคยเรียนดุริยางคศิลป์ เอกวอยซ์ ที่มหาวิทยาลัยมหิดลมา และมีประสบการณ์ในการเป็นแชมป์โลกโอเปร่ามาก่อน ที่โอซาก้าและนิวยอร์ก ถึง 2 ปีซ้อน เลยถือโอกาสนี้นำความรู้และประสบการณ์ต่างๆที่เคยผ่านมา มาใช้ร้องและทำเพลงนี้อย่างทุ่มเทมากที่สุด ยิ่งได้ซาวนด์ดนตรีเครื่องสายเชลโล-กลอง มาใส่ในเพลงนี้ ก็น่าจะปลุกใจสาวๆ ให้ลุกขึ้นสู้อีกครั้งค่ะ”

อดีตนักร้องสาวโอเปร่า...แชมป์รางวัลระดับโลก 2 สมัย

สาวน้อยทำตามฝันส่งคลิปที่ร้องเพลงคลาสสิกไปประกวดเวทีระดับโลกที่สหรัฐฯ ได้รางวัลชนะเลิศ สุดดีใจได้โชว์ที่คาร์เนกี้ ฮอลล์

“ตอนที่หมิวเรียนวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล หมิวโชคดีที่ได้เจออาจารย์ แนนซี่ ซุย ผิง เว่ย คือเขาเป็นคนที่รักหมิวเหมือนลูก อาจารย์เขาสอนร้องโอเปร่าตั้งแต่หมิวเข้ามาเรียนที่นี่เลย ซึ่งอาจารย์แนนซี่เขาสอนว่าเราต้องมีเป้าหมายในชีวิตนะ ถ้าจะเรียนไปเรื่อยๆ แล้วมันจะได้อะไร ดังนั้นต้องมีเป้าหมายว่าเราจะไปจุดๆ ไหนดี เอาแค่ในปีนี้ก่อนก็ได้ ไม่ต้องไปคิดถึงอนาคตไกล เอาแค่ปีหน้าเราต้องไปแข่งรายการนี้นะ ชนะไม่ชนะไม่เป็นไร แต่ว่าปีหน้าจะแข่ง เราต้องฝึกฝน เราต้องเก็บตัวแล้วนะ หนูก็เริ่มฝึกมาเรื่อยๆ"

"ถามว่าก่อนหน้านี้มีการเดินสายประกวดแข่งขันมั้ย บอกเลยว่าทั้งชีวิตหมิวไม่เคยขึ้นเวทีการประกวดใดๆ ทั้งสิ้น คือเอาจริงๆ หมิวเป็นคนที่รู้ตัวตั้งแต่เด็กว่าชอบร้องเพลง จุดเริ่มต้นที่ชอบเพลง คือหมิวเป็นคนที่ชอบพวกละครดิสนีย์ ชอบแนวบอร์ดเวย์ โอเปร่า แล้วเราก็ชอบมากๆ แม่ก็เลยบอกว่าให้หมิวไปเรียน ซึ่งหมิวเป็นคนที่เรียนดนตรีโอเปร่ามาทั้งชีวิต แต่ไเคยเดินสายแข่งขัน จนกระทั่ง ม.6 อาจารย์บอกให้เราไปแข่ง เวทีแรกที่เข้าแข่งขันก็คือที่โอซาก้า (10th Osaka International Music Competition 2009) เป็นการแข่งดนตรีคลาสสิค รวมทั้งวอยซ์ เครื่องดนตรีอื่นๆ ด้วย"

"ครั้งนั้นหมิวได้รางวัลชนะเลิศ ซึ่งสิบปีที่แข่งมาไม่เคยมีคนไทยชนะเลย ซึ่งมันเป็นเวทีแรกในชีวิตของเราด้วย ตอนนั้นยังงงตัวเองเพราะไม่คิดว่าจะชนะ แต่เราก็รู้สึกดีใจและรู้สึกคุ้มค่ากับสิ่งที่เราทุ่มเทในการซ้อมมาตลอดระยะเวลาหกเดือน เราต้องตื่นเจ็ดโมงเช้าเพื่อลุกขึ้นไปออกกำลังกายจนถึงเก้าโมง และค่อยกลับมาเรียน พอเราเรียนเสร็จสี่โมงก็ต้องมาซ้อมร้องเพลงถึงสามทุ่มทุกวัน ซึ่งเรากลับมานั่งมองตัวเองว่าทำไปได้อย่างไร แต่พอเราทำมันรู้สึกว่าสนุก เราเลยไม่ได้รู้สึกว่าเหนื่อย"

"พอได้รางวัลนี้มา อาจารย์ก็พาลุยต่อเลย แข่งครั้งที่สองพาไปที่นิวยอร์ก ซึ่งเวทีใหญ่มากๆ อันนี้ชื่อว่า The 2010 barry alexander International Vocal Competition ครั้งนี้ที่ไปแข่งขันเราได้ไปเจอโอเปร่าของจริงเลย แต่ละคนสุดยอดมากๆ แล้วการแข่งขันครั้งนี้ไม่เคยมีคนไทยไปแข่งเลยสักปีเดียว แล้วหมิวเป็นคนแรกที่ไปแข่ง ซึ่งเราต้องส่งเทปไปก่อน อันนี้ก็คือผ่านรอบแรกแล้วก็ไปแข่งที่นู่นของจริงเลย เราก็คิดว่าโหย จะไปสู้เขาได้หรอช ตอนนั้นเครียดมาก แล้วทางผู้จัดงานเขาเห็นว่าเราเป็นคนไทย เขาก็ตื่นเต้นกันมาก ถึงขั้นเจ้าของที่เขาจัดงานนี้เดินมาหา แล้วเขาบอกยูเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ผ่านการคัดเลือกมาแข่งขันรายการนี้ ดีใจด้วย ทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอดูคุณอยู่ เราเลยเกร็งมาก กดดัน แต่เราก็ทำเต็มที่ จนได้รางวัลชนะเลิศมาเหมือนกัน"

"การแข่งขันครั้งนี้ ถ้าชนะเลิศเขาจะให้เราไปโชว์ The First Prize Winner Concert ในคาเนกี้ฮอลล์ ซึ่งนักดนตรีคลาสสิคทุกคนรู้จัก เพราะเป็นฮอลล์ที่ถ้าใครได้เข้าไปเล่นคอนเสิร์ตที่นั่นถือว่าแบบระดับโลก ซึ่งคนไทยน้อยคนมากที่จะได้ขึ้นโชว์ที่นี่ ซึ่งมันมีค่ามาก แล้วพอกลับมาเมืองไทยหนูก็กลายเป็นเด็กอัจฉริยะไปเลย (หัวเราะ) เพราะถือว่าชนะรางวัลโอเปร่าระดับโลกสองปีซ้อน ก่อนจะผันตัวมาเป็นนักร้องแนวอิเล็กทรอนิคส์”

เปลี่ยนแนวดนตรีแชมป์โอเปล่า สู่วงดนตรี EDM วงแรกของไทย

กว่าที่ศิลปินคนหนึ่งจะได้มาเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงและแฟนเพลงมากมายนั้น เขาต้องผ่านบทพิสูจน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นทำผลงาน หรือแม้แต่การเข้าประกวดเวทีต่างๆ และศิลปินบางคนก็ต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงแนวดนตรีก่อนที่จะแจ้งเกิดเสียด้วย

"เอาจริงๆ ตอนแรกหมิวก็มีความสุขกับการร้องเพลงโอเปร่า แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เรารู้สึกอยากเปลี่ยน ไม่ได้เบื่อ แต่หมิวอยากลองหาอย่างทำดู คือหมิวโฟกัสแต่การร้องเพลงโอเปล่ามาตลอดเป็น 10 ปี จนไปเจอพี่เอ้ ซึ่งเขาเป็นรุ่นพี่ที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน (มหาวิทยาลัยมหิดล) วันนั้นพี่เอ้เข้ามาที่มหาวิทยาลัยแล้วก็ไปถามอาจารย์สอนร้องเพลงว่ามีเด็กคนไหนแนะนำได้บ้างมั้ย แนวแบบนี้ ร้องได้ร้องดี เพราะเพลงแนวนี้มันต้องใช้พลังนิดนึง เผอิญว่าตอนนั้นหนูเดินสวนเข้ามาพอดีในห้อง อาจารย์ก็บอกนี่เลย เด็กคนนี้เลย ก็เลยจับผลัดจับผลู ให้ไปร้องเพลงในแนว EDM (ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์) ซึ่งตอนนั้นเรายังไม่รูด้วยซ้ำว่าเป็นเพลงแนวอะไร แค่เราชอบลองอะไรใหม่ๆ ก็เลยตอบตกลงกับพี่เขาไป (หัวเราะ)"

"ก่อนหน้านี้หมิวเองเคยลองร้องเพลงมาหลายแนวแล้วนะ แต่คิดว่าเพลงแนว EDM มันสนุกที่สุด ก็เคยมีค่ายเพลงชื่อดังมาชวนให้หมิวไปร้องเพลงเพื่อสร้างเป็นวงเกิร์ลกรุ๊ปผู้หญิง ซึ่งหมิวก็คิดว่ามันไม่ใช่ตัวเองเลย หมิวก็เลยเลือกที่จะเล่นแนวดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ต่อ"

ใบเบิกทางจากเวที Chang Fest จนคนรู้จัก “บูม บูม แคช”

“มาโยกกันหน่อย ลุกขึ้นมาแดนซ์ เอ้า! หนึ่ง สอง สาม” เสียงเรียกหนักแน่นจากนักร้องสาวร่างเล็ก กับการเปิดซิง วงเพลงตื้ด ความสดใหม่ของวงการเพลงไทย

"สิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้จัก วงบูม บูม แคส เพิ่มขึ้น น่าจะเป็นการที่เราไปประกวดเวที Chang Fest Season 2 เพราะตอนแรกที่เราตั้งวงขึ้นมาธรรมดามาก เราทำเพลง ทำเอ็มวีเพลง ลงเองตามยูทูปทั่วไป ประเด็นที่เข้าไปแข่ง เขาบอกในรายการว่าถ้าแข่งแล้วติดเข้ารอบเขาจะมีการถ่ายไลฟ์ แล้วในเพจ เว็ป คนแชร์เพียบ ซึ่งเราไม่ได้มองว่าเราต้องชนะ เราแค่หวังถ้าเราเข้าไปแข่งต้องมีคนที่เห็นเรามากขึ้น ให้เขารู้จักวงเรามากขึ้น เราคิดแค่ว่าอย่างน้อยเราได้ออกทีวี มีคนรู้จักที่ได้เห็นเราก็เลยลองไปแข่งดู ซึ่งวงเราก็เข้ารอบแล้วดันชนะที่ 1"

" และหลังจากที่เราได้ไปแข่งขันในรายการดังกล่าว ทำให้เรามีงานติดต่อเข้ามามากขึ้น มันเหมือนเป็นใบเบิกทางให้เราเข้ามาในวงการ ตอนนั้นก็มีค่ายเพลงติดต่อมา และด้วยความที่เป็นวงบูม บูม แคส มันสนุกเวลาเล่น มันเป็นวงปาร์ตี้ดีๆ คนก็เลยจ้างไปเล่นงานต่างๆ ที่มันสนุก งานก็เลยเข้ามาเยอะ"

"สิ่งที่ทำให้คนรู้จักวงบูม บูม แคช มากขึ้น เพราะเราได้ขึ้นไปร้องเพลงร่วมกับวงบอดี้แสลม ตอนนั้นคนเยอะมาก เราก็เกิดความกดดัน คนฟังจะคิดมั้ยว่านี่วงอะไร แล้วนี่มาเล่นกับวงบอดี้แสลมเลยหรอ เราก็กลัวว่าคนฟังจะมาประเมินเรา เราก็ตื่นเต้น อย่างตอนซ้อมก็เล่นไม่เหมือนกันสักครั้ง (หัวเราะ) พอเล่นจริงที่ซ้อมมาทั้งหมด ตอนเล่นสดไม่มีใครเล่นเหมือนในห้องซ้อมเลย มันทำให้ตรงนั้นเป็นใบเลิกทางที่ทำให้คนรู้จักพวกเราวงบูม บูม แคชมากขึ้น"

ก่อนจากกัน "หมิว" ฝากทิ้งท้ายถึงคนที่อยากจะเดินตามฝัน

"ถ้าน้องคนไหนที่อยากจะร้องเพลง สิ่งแรกคือเราต้องหาตัวเองให้เจอก่อน ว่าเราอยากที่จะทำอะไร ถ้าคุณคิดว่าคุณอยากร้องเพลง คุณถามตัวเองว่าคุณอยากร้องเพลงแนวไหน แล้วต้องหาอีกว่าเราชอบแนวเพลงแบบไหนจริงๆ เช่น ลูกทุ่ง แนวป๊อป โอเปร่า แจ๊ส พอเรารู้ว่าเราชอบอะไร เราก็ซ้อมอย่างเดียว เพราะมันไม่มีทางที่คนเราจะเกิดขึ้นมาแล้วเก่ง ซึ่งตัวเราเองต้องคิดว่าเราไม่เก่ง เพราะถ้าเราคิดว่าตัวเองเก่ง ก็เปรียบเสมือนแก้วน้ำที่เต็มแล้ว เทอย่างไรก็ไม่มีทางเต็มไปกว่านี้อีก เราต้องคิดว่า เรายังมีอะไรที่เราต้องเรียนรู้ตลอดเวลา ต้องคอยศึกษา และฝึกฝนตัวเองอยู่เรื่อยๆ และวันหนึ่งสิ่งนั้นจะทำให้เราประสบความสำเร็จอย่างที่หมิวเคยเคยผ่านมาแล้ว"



กำลังโหลดความคิดเห็น