โดย : บอน บอระเพ็ด (skbon109@hotmail.com)
โลกยังคงหมุน สรรพสิ่งยังคงเปลี่ยนแปลง
เช่นเดียวกับที่ความเปลี่ยนแปลงในยุทธจักรดนตรีนั้นย่อมถือเป็นเรื่องปกติของศิลปิน
เพราะเมื่อตัวศิลปินสร้างสรรค์ผลงานมาถึงจุดสูงสุดหรือจุดอิ่มตัว ก็มักจะแสวงหาแนวทางใหม่ๆ ฉีกหนีความจำเจ ซึ่งก็มีเสียงตอบรับทั้งดอกไม้และก้อนอิฐ ขึ้นอยู่กับว่าความเปลี่ยนแปลงในผลงานเพลงที่ทำออกมานั้นดีหรือห่วย!!!
“ลินคิน พาร์ค”(Linkin Park) หัวหอกแห่ง“นูเมทัล”(นิวเมทัล) ก็เป็นอีกหนึ่งวงที่มีความเปลี่ยนแปลลงในผลงานเพลงให้เห็นกันเป็นประจำ นับตั้งแต่ 4 อัลบั้มหลังของพวกเขาเป็นต้นมา เรียกว่าจับทางกันแทบไม่ถูก
เริ่มจาก“Minutes to Midnight”(2007) อัลบั้มชุดที่ 3 ที่เริ่มมีความเปลี่ยนแปลงปรากฏให้เห็น ก่อนจะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในอัลบั้มชุด “A Thousand Suns”(2010) ที่ทางวงลินคิน พาร์ค หันมาทำงานในแบบกึ่งคอนเซ็ปต์อัลบั้ม พร้อมกับลดซาวนด์ดนตรีเมทัลที่เคยหนักหน่วงดุดัน หันมาเน้นแนวอิเล็กทรอนิคส์ป็อบ แดนซ์ ชนิดที่หลายคนฟังแล้ว คิดไม่ถึงว่านี่คือวงลินคิน พาร์ก
มาถึง “Living Things”(2012) วงลิงกินผัก ใช้สูตรยำรวมมิตรด้วยการนำองค์ประกอบเด่นๆในของเก่าจากอัลบั้มที่ผ่านๆมา มาผสมกับซาวนด์ใหม่ๆขึ้นมา
พอมาถึง“The Hunting Party”(2014) วงลินคิน พาร์ค เดินย้อนสู่ความดิบ มัน หนักกะโหลก ในยุคแรกๆอีกครั้ง ซึ่งสามารถเรียกศรัทธาจากแฟนๆที่ชื่นชอบงานเพลงหนักๆของวงลินคิน พาร์คในชุดแรกๆคืนกลับมาได้เป็นอย่างดี
มาวันนี้วงลินคิน พาร์ค มีความเปลี่ยนแปลงผ่านผลงานเพลงชุดใหม่ให้เห็นกันอีกครั้ง กับอัลบั้ม “One More Light”(2017) ที่ทางวงยังคงสมาชิกทั้ง 6 พะหน่อ ไว้อย่างเหนียวแน่น นำโดย 2 นักร้องนำตัวชูโรง คือ “เชสเตอร์ เบนนิงตัน”(Chester Bennington) : แหกปากร้องนำ และ “ไมค์ ชิโนดะ”(Mike Shinoda) : ร้องนำ-แร็พโย่-คีย์บอร์ด และรับผิดชอบด้านอื่นๆอีกหลากหลาย ส่วนสมาชิกอีก 4 คนที่เหลือได้แก่ “แบรด เดลซัน”(Brad Delson) : สับกีตาร์, “เดวิด ฟีนิกส์ ฟาร์แรล”(David “Phoenix” Farrell) ทึ้งเบส,“โจ ฮาร์น”(Joseph Hahn) : เทิร์นเทเบิล ดีเจ โปรแกรม และ รอบ บัวร์ดอน(Rob Bourdon) หวดกลอง
One More Light เป็นอัลบั้มชุดที่ 7 ของลินคิน พาร์ค ภายใต้สังกัด Warner Music อัลบั้มนี้มีทั้งหมด 10 เพลงด้วยกัน ซึ่งทางวงได้ออกมาเผยถึงทิศทางการทำงานของวงว่า อัลบั้มชุดนี้เน้นอารมณ์ความรู้สึก และมีเรื่องราวที่เข้าถึงความเป็นมนุษย์มากขึ้น “ในตอนแรก เราอยากท้าทายตัวเองในเรื่องของดนตรี แต่มันก็กลายเป็นเรื่องชีวิตของพวกเรามากกว่าในที่สุด” เชสเตอร์ เบนนิงตัน นักร้องนำของวงเผย
อย่างไรก็ดีอัลบั้มชุดนี้ได้สร้างความอึ้ง เหวอ ให้กับแฟนๆ มาตั้งแต่การส่งซิงเกิ้ลแรก “Heavy” ออกมา ซึ่งเป็นงานเพลงในแนวอิเล็กทรอนิคส์ป็อบจ๋า จนทำให้เกิดดราม่าขึ้นมาอย่างมากมาย เพราะชื่อเพลงเห็นแล้วชวนให้คิดถึงความหนักดิบในสไตล์ลินคิน พาร์ค ชุดแรกๆ
ว่าแล้วเราก็มาไล่เรียงฟังบทเพลงทั้ง 10 เพลงจากอัลบั้มชุด One More Light กัน
เริ่มจากแทรคแรก “Nobody Can Save Me” เปิดอัลบั้มด้วยเพลงป็อบเพราะๆเมโลดี้สวยๆ ฟังสบาย แต่เนื้อหาไม่สบายกับการถ่ายทอดความรู้สึกของคนที่มีความกลัว ความหวาดระแวง และต้องต่อสู้กับด้านมืดในใจตัวเอง
ต่อกันด้วย “Good Goodbye” ที่มี“Pusha T” และ “Stormy” 2 แร็พเปอร์มารวมฟีเจอร์ริ่ง บทเพลงโดยรวมยังคงมาในอารมณ์ป็อบจังใกล้เคียงกับเพลงแรก ต่างกันตรงที่ได้ลูกฮิปฮอปมาช่วยเติมสีสันให้สนุกขึ้น
“Talking To Myself” บทเพลงที่เหมือนกันพร่ำบ่น พูดคุยกับตัวเอง ซึ่งได้ไอเดียมาจาก Talinda ภรรยาของ Chester บอกเล่าเรื่องราวของคู่รักที่ไม่เข้าใจกัน เพลงนี้มีความเป็นร็อกที่สุดในอัลบั้ม เด่นด้วยเสียงกีตาร์นำ และเสียงคีย์บอร์ดที่เล่นประสานคลอเคล้าไปได้อย่างกลมกลืนรื่นหู น่าฟัง
“Battle Symphony” ผลงานซิงเกิ้ลที่ 2 ของอัลบั้มที่ปล่อยออกมา กับเนื้อหาที่พูดถึงการต่อสู้กับโลกทั้งใบในจิตใจของตัวเอง ผ่านงานดนตรีที่แม้จะมีความเป็นป็อบอยู่มาก แต่ว่าก็มีความเป็นลินคิน พาร์ค อยู่อย่างชัดเจน
ส่วน “Invisible” เป็นป็อบเท่ๆ เสียงร้องของไมค์ไปด้วยกันได้อย่างดีกับซาวนด์ดนตรีที่หนาแน่นไปด้วยเสียงคีย์บอร์ด แถมมีการหยอดอารมณ์ด้วยเสียงเปียโนกรุ๊งกริ๊งในตอนท้าย
มาถึง “Heavy” ซิงเกิ้ลแรกที่ปล่อยออกมาพร้อมๆกับมีดราม่าตามมา เพลงนี้เมื่อฟังในตอนแรกผมคิดไม่ถึงว่านี่คือเพลงของวงลินคิน พาร์ค แต่มันก็ถือเป็นอีกหนึ่งความแปลกใหม่ของวงๆนี้ ที่หากใครยึดติดกับซาวดน์ร็อกหนักๆแบบงานเพลงในยุคแรกๆของวงย่อมไม่ชอบเป็นธรรมดา
เพลง Heavy ได้นักร้องสาว Kiiara มาร่วมฟีเจอริ่ง เนื้อหาว่าด้วยจิตใจที่ต้องแบกรับอะไรที่หนักอึ้งไว้ ไม่ใช่เฮฟวี่ที่เป็นความหนัก ดุ ดิบ ของดนตรี อย่างที่วงลินคิน พาร์ค เคยสร้างชื่อไว้จนถูกยกให้เป็นเจ้าพ่อแห่งนูเมทัล
ต่อด้วย “Sorry For Now” ป็อบเพราะๆ เนิบๆ อารมณ์เพลงต่อเนื่องกับเฮฟวี่ ส่วน “Halfway Right”มาในแนวอิเลคทรอนิคส์ฟังสบายๆ
“One More Light” บทเพลงชื่อเดียวกับอัลบั้ม ว่าด้วยเนื้อหาของความสูญเสียที่ไมค์เขียนอุทิศให้แด่เพื่อนผู้จากไปของเขา ทั้งเนื้อหาดนตรี เจือไปด้วยความเศร้า เพลงนี้ใช้เครื่องดนตรีน้อยชิ้น มีเพียงคีย์บอร์ด กีตาร์ ที่มาพร้อมกับซาวนด์ เหงา เศร้า ล่องลอย ถือเป็นอีกหนึ่งบทเพลงเจ๋งๆที่ยังคงไว้ลายความเป็นลินคิน พาร์ค ได้เป็นอย่างดี
ปิดท้ายกันด้วย “Sharp Edges” มีเสียงอะคูสติกกีตาร์ที่ทั้งลูกปิ๊กกิ้ง ตีคอร์ด ฟังเด่นมากๆ ถือเป็นพระเอกในภาคดนตรีที่เข้ากันได้ดีกับเสียงร้องแบบสบายๆฟังเพลิน แต่เนื้อหาฟังน่าสนใจทีเดียว ว่าด้วยครอบครัวและการใช้ชีวิต
และนี่ก็คือ 10 บทเพลงจากอัลบั้ม One More Light ของวงลินคิน พาร์ค ที่โดยรวมแล้วมีความเป็นป็อบอยู่มากถึง 90% นั่นก็คือ 9 เพลง ส่วนความเป็นร็อกนั้นมีอยู่ 10 % หรือ 1 เพลง ปรากฏอยู่ในบทเพลง Talking To Myself ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ซึ่งหลายบทเพลงในอัลบั้มชุดนี้นอกจากจะเป็นเพลงที่มีเมโลดี้สวย ฟังติดหูง่ายแล้ว ยังมีความไพเราะชวนฟังไม่น้อย
นับเป็นอีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงของลินคิน พาร์ค ที่ก่อให้เกิดดราม่าและข้อถกเถียงจากแฟนเพลงของวงๆนี้ ถึงทิศทางในการทำเพลงของพวกเขา ซึ่งด้านหนึ่งบอกเป็นความไม่หยุดนิ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งบอกว่านี่คือการเดินหนีในความเป็นนูเมทัล ซาวนด์ดนตรีที่สร้างชื่อให้กับพวกเขาจนประสบความสำเร็จเป็นวงร็อกชื่อก้องโลกมาจนถึงทุกวันนี้
ทั้งนี้หากย้อนไปใน“The Hunting Party”อัลบั้มชุดที่แล้วของลินคิน พาร์ค นั่นนับเป็นการเดินกลับไปสู่ความดิบ มัน หนักกะโหลก ในยุคแรกๆของวงๆนี้อีกครั้ง
ส่วน One More Light อัลบั้มชุดล่าสุดนี้ก็เป็นการเดินหนีดนตรีนูเมทัล มาเป็นป็อบจ๋า ขึ้นอยู่กับว่าคนฟังจะชอบ หรือไม่ชอบ จะยึดติด หรือไม่ยึดติด
อย่างไรก็ดีงานเพลงชุดนี้ของพวกเขาก็ได้รับเสียงตอบรับจากแฟนเพลงที่ดีทีเดียว เพราะสามารถขึ้นไปถึงอันดับ 1 ในชาร์ตบิลบอร์ดทอป 200 ได้ ซึ่งไม่ว่าอย่างไร ลินคิน พาร์ค ก็ยังเป็น ลินคิน พาร์ค ที่ไม่ว่าจะทำเพลงออกมาได้รับดอกไม้หรือก้อนอิฐ แต่งานเพลงของเขาก็ยังคงโด่งดังเป็นที่กล่าวขวัญถึงอยู่ดี
ส่วนใครจะยกให้วงลินคิน พาร์คเป็น“เจ้าพ่อแห่งนูเมทัล”
วันนี้อาจต้องคิดกันหนักหน่อย!?!
Heavy
โลกยังคงหมุน สรรพสิ่งยังคงเปลี่ยนแปลง
เช่นเดียวกับที่ความเปลี่ยนแปลงในยุทธจักรดนตรีนั้นย่อมถือเป็นเรื่องปกติของศิลปิน
เพราะเมื่อตัวศิลปินสร้างสรรค์ผลงานมาถึงจุดสูงสุดหรือจุดอิ่มตัว ก็มักจะแสวงหาแนวทางใหม่ๆ ฉีกหนีความจำเจ ซึ่งก็มีเสียงตอบรับทั้งดอกไม้และก้อนอิฐ ขึ้นอยู่กับว่าความเปลี่ยนแปลงในผลงานเพลงที่ทำออกมานั้นดีหรือห่วย!!!
“ลินคิน พาร์ค”(Linkin Park) หัวหอกแห่ง“นูเมทัล”(นิวเมทัล) ก็เป็นอีกหนึ่งวงที่มีความเปลี่ยนแปลลงในผลงานเพลงให้เห็นกันเป็นประจำ นับตั้งแต่ 4 อัลบั้มหลังของพวกเขาเป็นต้นมา เรียกว่าจับทางกันแทบไม่ถูก
เริ่มจาก“Minutes to Midnight”(2007) อัลบั้มชุดที่ 3 ที่เริ่มมีความเปลี่ยนแปลงปรากฏให้เห็น ก่อนจะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในอัลบั้มชุด “A Thousand Suns”(2010) ที่ทางวงลินคิน พาร์ค หันมาทำงานในแบบกึ่งคอนเซ็ปต์อัลบั้ม พร้อมกับลดซาวนด์ดนตรีเมทัลที่เคยหนักหน่วงดุดัน หันมาเน้นแนวอิเล็กทรอนิคส์ป็อบ แดนซ์ ชนิดที่หลายคนฟังแล้ว คิดไม่ถึงว่านี่คือวงลินคิน พาร์ก
มาถึง “Living Things”(2012) วงลิงกินผัก ใช้สูตรยำรวมมิตรด้วยการนำองค์ประกอบเด่นๆในของเก่าจากอัลบั้มที่ผ่านๆมา มาผสมกับซาวนด์ใหม่ๆขึ้นมา
พอมาถึง“The Hunting Party”(2014) วงลินคิน พาร์ค เดินย้อนสู่ความดิบ มัน หนักกะโหลก ในยุคแรกๆอีกครั้ง ซึ่งสามารถเรียกศรัทธาจากแฟนๆที่ชื่นชอบงานเพลงหนักๆของวงลินคิน พาร์คในชุดแรกๆคืนกลับมาได้เป็นอย่างดี
มาวันนี้วงลินคิน พาร์ค มีความเปลี่ยนแปลงผ่านผลงานเพลงชุดใหม่ให้เห็นกันอีกครั้ง กับอัลบั้ม “One More Light”(2017) ที่ทางวงยังคงสมาชิกทั้ง 6 พะหน่อ ไว้อย่างเหนียวแน่น นำโดย 2 นักร้องนำตัวชูโรง คือ “เชสเตอร์ เบนนิงตัน”(Chester Bennington) : แหกปากร้องนำ และ “ไมค์ ชิโนดะ”(Mike Shinoda) : ร้องนำ-แร็พโย่-คีย์บอร์ด และรับผิดชอบด้านอื่นๆอีกหลากหลาย ส่วนสมาชิกอีก 4 คนที่เหลือได้แก่ “แบรด เดลซัน”(Brad Delson) : สับกีตาร์, “เดวิด ฟีนิกส์ ฟาร์แรล”(David “Phoenix” Farrell) ทึ้งเบส,“โจ ฮาร์น”(Joseph Hahn) : เทิร์นเทเบิล ดีเจ โปรแกรม และ รอบ บัวร์ดอน(Rob Bourdon) หวดกลอง
One More Light เป็นอัลบั้มชุดที่ 7 ของลินคิน พาร์ค ภายใต้สังกัด Warner Music อัลบั้มนี้มีทั้งหมด 10 เพลงด้วยกัน ซึ่งทางวงได้ออกมาเผยถึงทิศทางการทำงานของวงว่า อัลบั้มชุดนี้เน้นอารมณ์ความรู้สึก และมีเรื่องราวที่เข้าถึงความเป็นมนุษย์มากขึ้น “ในตอนแรก เราอยากท้าทายตัวเองในเรื่องของดนตรี แต่มันก็กลายเป็นเรื่องชีวิตของพวกเรามากกว่าในที่สุด” เชสเตอร์ เบนนิงตัน นักร้องนำของวงเผย
อย่างไรก็ดีอัลบั้มชุดนี้ได้สร้างความอึ้ง เหวอ ให้กับแฟนๆ มาตั้งแต่การส่งซิงเกิ้ลแรก “Heavy” ออกมา ซึ่งเป็นงานเพลงในแนวอิเล็กทรอนิคส์ป็อบจ๋า จนทำให้เกิดดราม่าขึ้นมาอย่างมากมาย เพราะชื่อเพลงเห็นแล้วชวนให้คิดถึงความหนักดิบในสไตล์ลินคิน พาร์ค ชุดแรกๆ
ว่าแล้วเราก็มาไล่เรียงฟังบทเพลงทั้ง 10 เพลงจากอัลบั้มชุด One More Light กัน
เริ่มจากแทรคแรก “Nobody Can Save Me” เปิดอัลบั้มด้วยเพลงป็อบเพราะๆเมโลดี้สวยๆ ฟังสบาย แต่เนื้อหาไม่สบายกับการถ่ายทอดความรู้สึกของคนที่มีความกลัว ความหวาดระแวง และต้องต่อสู้กับด้านมืดในใจตัวเอง
ต่อกันด้วย “Good Goodbye” ที่มี“Pusha T” และ “Stormy” 2 แร็พเปอร์มารวมฟีเจอร์ริ่ง บทเพลงโดยรวมยังคงมาในอารมณ์ป็อบจังใกล้เคียงกับเพลงแรก ต่างกันตรงที่ได้ลูกฮิปฮอปมาช่วยเติมสีสันให้สนุกขึ้น
“Talking To Myself” บทเพลงที่เหมือนกันพร่ำบ่น พูดคุยกับตัวเอง ซึ่งได้ไอเดียมาจาก Talinda ภรรยาของ Chester บอกเล่าเรื่องราวของคู่รักที่ไม่เข้าใจกัน เพลงนี้มีความเป็นร็อกที่สุดในอัลบั้ม เด่นด้วยเสียงกีตาร์นำ และเสียงคีย์บอร์ดที่เล่นประสานคลอเคล้าไปได้อย่างกลมกลืนรื่นหู น่าฟัง
“Battle Symphony” ผลงานซิงเกิ้ลที่ 2 ของอัลบั้มที่ปล่อยออกมา กับเนื้อหาที่พูดถึงการต่อสู้กับโลกทั้งใบในจิตใจของตัวเอง ผ่านงานดนตรีที่แม้จะมีความเป็นป็อบอยู่มาก แต่ว่าก็มีความเป็นลินคิน พาร์ค อยู่อย่างชัดเจน
ส่วน “Invisible” เป็นป็อบเท่ๆ เสียงร้องของไมค์ไปด้วยกันได้อย่างดีกับซาวนด์ดนตรีที่หนาแน่นไปด้วยเสียงคีย์บอร์ด แถมมีการหยอดอารมณ์ด้วยเสียงเปียโนกรุ๊งกริ๊งในตอนท้าย
มาถึง “Heavy” ซิงเกิ้ลแรกที่ปล่อยออกมาพร้อมๆกับมีดราม่าตามมา เพลงนี้เมื่อฟังในตอนแรกผมคิดไม่ถึงว่านี่คือเพลงของวงลินคิน พาร์ค แต่มันก็ถือเป็นอีกหนึ่งความแปลกใหม่ของวงๆนี้ ที่หากใครยึดติดกับซาวดน์ร็อกหนักๆแบบงานเพลงในยุคแรกๆของวงย่อมไม่ชอบเป็นธรรมดา
เพลง Heavy ได้นักร้องสาว Kiiara มาร่วมฟีเจอริ่ง เนื้อหาว่าด้วยจิตใจที่ต้องแบกรับอะไรที่หนักอึ้งไว้ ไม่ใช่เฮฟวี่ที่เป็นความหนัก ดุ ดิบ ของดนตรี อย่างที่วงลินคิน พาร์ค เคยสร้างชื่อไว้จนถูกยกให้เป็นเจ้าพ่อแห่งนูเมทัล
ต่อด้วย “Sorry For Now” ป็อบเพราะๆ เนิบๆ อารมณ์เพลงต่อเนื่องกับเฮฟวี่ ส่วน “Halfway Right”มาในแนวอิเลคทรอนิคส์ฟังสบายๆ
“One More Light” บทเพลงชื่อเดียวกับอัลบั้ม ว่าด้วยเนื้อหาของความสูญเสียที่ไมค์เขียนอุทิศให้แด่เพื่อนผู้จากไปของเขา ทั้งเนื้อหาดนตรี เจือไปด้วยความเศร้า เพลงนี้ใช้เครื่องดนตรีน้อยชิ้น มีเพียงคีย์บอร์ด กีตาร์ ที่มาพร้อมกับซาวนด์ เหงา เศร้า ล่องลอย ถือเป็นอีกหนึ่งบทเพลงเจ๋งๆที่ยังคงไว้ลายความเป็นลินคิน พาร์ค ได้เป็นอย่างดี
ปิดท้ายกันด้วย “Sharp Edges” มีเสียงอะคูสติกกีตาร์ที่ทั้งลูกปิ๊กกิ้ง ตีคอร์ด ฟังเด่นมากๆ ถือเป็นพระเอกในภาคดนตรีที่เข้ากันได้ดีกับเสียงร้องแบบสบายๆฟังเพลิน แต่เนื้อหาฟังน่าสนใจทีเดียว ว่าด้วยครอบครัวและการใช้ชีวิต
และนี่ก็คือ 10 บทเพลงจากอัลบั้ม One More Light ของวงลินคิน พาร์ค ที่โดยรวมแล้วมีความเป็นป็อบอยู่มากถึง 90% นั่นก็คือ 9 เพลง ส่วนความเป็นร็อกนั้นมีอยู่ 10 % หรือ 1 เพลง ปรากฏอยู่ในบทเพลง Talking To Myself ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ซึ่งหลายบทเพลงในอัลบั้มชุดนี้นอกจากจะเป็นเพลงที่มีเมโลดี้สวย ฟังติดหูง่ายแล้ว ยังมีความไพเราะชวนฟังไม่น้อย
นับเป็นอีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงของลินคิน พาร์ค ที่ก่อให้เกิดดราม่าและข้อถกเถียงจากแฟนเพลงของวงๆนี้ ถึงทิศทางในการทำเพลงของพวกเขา ซึ่งด้านหนึ่งบอกเป็นความไม่หยุดนิ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งบอกว่านี่คือการเดินหนีในความเป็นนูเมทัล ซาวนด์ดนตรีที่สร้างชื่อให้กับพวกเขาจนประสบความสำเร็จเป็นวงร็อกชื่อก้องโลกมาจนถึงทุกวันนี้
ทั้งนี้หากย้อนไปใน“The Hunting Party”อัลบั้มชุดที่แล้วของลินคิน พาร์ค นั่นนับเป็นการเดินกลับไปสู่ความดิบ มัน หนักกะโหลก ในยุคแรกๆของวงๆนี้อีกครั้ง
ส่วน One More Light อัลบั้มชุดล่าสุดนี้ก็เป็นการเดินหนีดนตรีนูเมทัล มาเป็นป็อบจ๋า ขึ้นอยู่กับว่าคนฟังจะชอบ หรือไม่ชอบ จะยึดติด หรือไม่ยึดติด
อย่างไรก็ดีงานเพลงชุดนี้ของพวกเขาก็ได้รับเสียงตอบรับจากแฟนเพลงที่ดีทีเดียว เพราะสามารถขึ้นไปถึงอันดับ 1 ในชาร์ตบิลบอร์ดทอป 200 ได้ ซึ่งไม่ว่าอย่างไร ลินคิน พาร์ค ก็ยังเป็น ลินคิน พาร์ค ที่ไม่ว่าจะทำเพลงออกมาได้รับดอกไม้หรือก้อนอิฐ แต่งานเพลงของเขาก็ยังคงโด่งดังเป็นที่กล่าวขวัญถึงอยู่ดี
ส่วนใครจะยกให้วงลินคิน พาร์คเป็น“เจ้าพ่อแห่งนูเมทัล”
วันนี้อาจต้องคิดกันหนักหน่อย!?!
Heavy