xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อ “ฟ่านปิงปิง” เล่นเป็นหญิงแพศยา : น้ำผึ้งหยดเดียว เสียวกันไปทั้งยวงราชการ

เผยแพร่:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


พานจินเหลียน ขึ้นชื่อลือเลื่องในความแพศยา เธอมีชื่ออยู่ในงานเขียนระดับตำนานสมัยราชวงศ์ซ่ง และได้รับการหยิบยกมาเป็นตัวเปรียบเทียบเคียงกับบทบาทการแสดงครั้งของ “ฟ่านปิงปิง” ดาราหญิงชาวจีนที่ถือว่าฮอตมากที่สุดคนหนึ่งแห่งยุคนี้

ไอ แอม น็อท มาดาม โบวารี (I AM NOT MADAME BOVARY) เป็นหนังซึ่งอาจจะเป็นที่รู้จักค่อนข้างน้อยในบ้านเรา และการเข้าฉาย ณ ขณะนี้ที่กรุงเทพฯ ก็มีเพียงสองโรงเท่านั้น คือลิโด้กับโรงหนังเฮาส์อาร์ซีเอ ผลงานชิ้นนี้กำกับโดย “เฝิงเสี่ยวกัง” ที่เคยทำหนังมาแล้วหลายเรื่อง เช่น “เดอะ แบ๊งเคว็ท” (The Banquet) ที่มีจางซิยี่นำแสดง, Aftershock และ Back to 1942

ไอ แอม น็อท มาดาม โบวารี มีชื่ออีกชื่อหนึ่ง ซึ่งเป็นภาษาจีนว่า “Wo bu shi Pan Jin Lian หรือแปลได้ความประมาณว่า “ฉันไม่ใช่พานจินเหลียน” โดยพานจินเหลียนนั้นเป็นหนึ่งในตัวละครในนวนิยายเรื่อง “ซ้องกั๋ง” หรือ “วีรบุรุษเขาเหลียงซาน” เป็นหญิงชั่วช้าแพศยา คบชู้สู่ชาย จะเล่นทั้งน้องเขย แต่เมื่อน้องเขยไม่เล่นด้วย ก็หันไปฟินกับคุณชายอีกคน และสุดท้ายก็ชะตาขาดและถูกประจาน จนกลายเป็นตำนานมาทุกวันนี้

หญิงจีนคนใด มีพฤติกรรมเยี่ยงหญิงแพศยา ก็จะได้รับการตราหน้า ถูกเรียกว่า “พานจินเหลียน” เพื่อให้สาสมกับความสำส่อน ... อย่างไรก็ดี หนังจีนเรื่องนี้ เมื่อใช้ชื่อเป็นสากล ก็เปลี่ยนเป็นสรรพนามเป็น “มาดามโบวารี” ซึ่งเชื่อว่าน่าจะมีจุดประสงค์เพื่อให้เป็นที่พอเข้าใจได้สำหรับคนในวัฒนธรรมตะวันตกหรือชาติอื่นๆ เพราะ “มาดามโบวารี” เป็นทั้งชื่อตัวละครและชื่อนวนิยายที่โด่งดังของนักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส (กุสตาฟ โฟลแบร์) ซึ่งตัวมาดามนั้น ในความรับรู้ของคนทั่วไปในยุคที่เธอเกิดและเติบโตนั้น เธอก็ถูกตีตราว่าเป็นผู้หญิงไม่ดี พอๆ กับพานจินเหลียน แต่อย่างไรก็ตาม หากจะมีมุมหนึ่งมุมใดที่แผกเพี้ยนไปจากกัน สำหรับคนที่ดูหนังเรื่องนี้มาแล้ว ผมรู้สึกว่า บทของ “ฟ่านปิงปิง” ในเรื่องนั้น ดูคล้อยๆ ตามๆ “มาดามโบวารี” อยู่ไม่น้อย

ในแง่มุมที่ห่อหุ้มความเป็นเนื้อหาเชิงเฟมินิสม์ไว้อย่างแข็งแรงแน่นหนา...
ถ้า “มาดามโบวารี” คือสตรีที่องอาจกล้าหาญต่อการแสดงความต้องการหรือความปรารถนาของตนเองออกมาให้ชัดแจ้ง ในยุคที่ความเป็นผู้หญิงถูกบีบคั้นกดทับด้วยระบบระเบียบแบบแผนจารีตประเพณี ศีลธรรม หรืออะไรต่อมิอะไร
“หลีสั่วเหลียน” (ฟ่านปิงปิง) ในหนังเรื่องนี้ ก็เป็นอะไรที่ต้องบอกว่า ต้องฝ่าฟันกับกติกาสังคมที่กดข่มและบีบคั้น ขณะเดียวกันยังต้องยอมตามอำนาจที่ล้วนแล้วแต่มีผู้ชายเป็นใหญ่ โปสเตอร์หนังที่จงใจวางภาพของหลีสั่วเหลียนไว้ตรงกลางแล้วมีตัวละครผู้ชายรายล้อมรอบทิศ นี่ไม่ใช่มีฐานคิดโรแมนติกแบบ “ดาวล้อมเดือน” แต่มันชี้ชัดถึงอำนาจแห่งการครอบงำที่ผู้หญิงขยับเขยื้อนออกไปทางไหนไม่ได้เลย

เนื้อเรื่องโดยย่อนั้น ... หนังเล่าถึง “หลีสั่วเหลียน” และสามีที่ได้ดำเนินการทำการหย่ากันแบบปลอมๆ เพื่อที่จะได้อพาร์ตเมนต์หลังที่ 2 ที่รัฐบาลจัดเตรียมไว้ให้สำหรับคนโสด แต่ 6 เดือนหลังจากนั้น ฝ่ายสามีกลับไปแต่งงานใหม่กับผู้หญิงคนอื่น ทำให้หลีสั่วเหลียนโกรธมากและตัดสินใจฟ้องศาล ทว่าคดีนี้เธอพ่ายแพ้หมดรูป เพราะผู้พิพากษามองว่าทั้งคู่หย่าขาดจากกันอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว

ด้วยความไม่พอใจ หลีสั่วเหลียนจึงยื่นเรื่องขออุทธรณ์คดี แต่ยื่นเรื่องกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เธอพบว่าคงมีแต่วิธีเดียวเท่านั้นนั่นคือต้อง(อดีต)สามีเป็นฝ่ายยืนยันว่าการหย่าครั้งนั้นเป็นการหย่าปลอม อย่างไรก็ตาม เธอกลับโดนสามีเก่ากล่าวหาว่าเป็นผู้หญิงสำส่อน เพราะเธอ ‘ไม่บริสุทธิ์’ มาก่อนทั้งคู่แต่งงานกัน เมื่อโดนกล่าวหากลับแบบนี้ ทำให้เธอตัดสินใจที่จะกลับไปต่อสู้ในชั้นศาลอีกครั้งเพื่อทวงเอาเกียรติยศของตัวเองกลับคืนมา เธอจะไม่ยอมให้ใครตราหน้าว่าเธอเป็นนางสำส่อน “พานจินเหลียน” เป็นอันขาด และแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเรื่องราวแบบ “น้ำผึ้งหยดเดียว” ได้ค่อยๆ ลุกลามบานปลาย และสร้างแรงสั่นสะเทือนเคลื่อนไหวระบบราชการชนิดที่คนในเครื่องแบบต้องวิ่งเต้นเดือดร้อนกันเป็นแถว จากศาลไปจนถึงระดับอำเภอ จังหวัด และประเทศ...

พูดกันตามความจริง “ฟ่านปิงปิง” คือความดีงามสูงสุดด้านการแสดงในหนังเรื่องนี้ และเพราะความที่เป็นตัวเด่นตัวหลักซึ่งต้องรับหน้าที่เป็นคนแบกหนังทั้งเรื่องไว้ จึงไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใดที่เธอจะได้รางวัลด้านนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมมาจากหลากหลายสถาบันและเวที รวมทั้งรางวัลใหญ่ๆ อย่าง Asian Film Awards  ครั้งที่ 11 เธอต้องรับบทของตัวละครหลีสั่วเหลียนตั้งแต่เป็นสาวๆ ไปจนถึงวัยย่างเข้าการเป็นอาซิ้ม อีกทั้งเรื่องราวในหนังก็กินระยะเวลานานกว่าสิบปี ตามวันเวลาแห่งการเรียกร้องฟ้องร้องของหลีสั่วเหลียนที่ไม่เคยสำเร็จ

ฟ่านปิงปิง เธอปังมากๆ จากบทบาทนี้ ที่หลายฉากหลายตอน ต้องบอกว่าแทบจะอยากร่ำไห้ตามไปด้วย เพราะเห็นอกเห็นใจในชะตากรรมและความรู้สึกอันคับแค้นสิ้นดีของหลีสั่วเหลียน

อีกสิ่งหนึ่งซึ่งถือว่าพิเศษและแปลกใหม่ที่สุดในแวดวงภาพยนตร์ของจีนแผ่นดินใหญ่ก็คือ การถ่ายภาพที่ใช้เฟรมวงกลมเกือบทั้งเรื่อง ผลลัพธ์ของการกำกับภาพนี้คือการแสดงให้เห็นศักยภาพของนักแสดงที่ต้องเป๊ะมากในเรื่องตำแหน่งการยืน การย้ายหรือการเคลื่อนไหว เพราะถ้าไม่เป๊ะ อาจมีหลุดเฟรม หรือทำให้ภาพออกมาไม่สมดุล แต่นักแสดงทุกคนก็ทำได้ดี และทั้งหมดนี้ก็ส่งผลให้หนังได้รับรางวัลด้านการกำกับภาพยอดเยี่ยมมาด้วยเช่นกัน การใช้เฟรมวงกลม โดยส่วนตัวของผม ให้ความรู้สึกถึงความน่าอึดอัด สอดรับกับตัวเนื้อหาเรื่องราว และบอกกล่าวเป็นนัยๆ ว่า พ้นจากกรอบวงกลมนั้นออกไปแล้ว ยังมี “ที่ว่าง” อีกหลายมุมที่เรายังมองไม่เห็น และเมื่อหนังได้เปิดเผย “มุม” นั้นๆ ออกมาแล้ว ก็สร้างความเซอร์ไพรส์ในระดับสะเทือนใจได้อย่างดียิ่ง

การที่ “ไอ แอม น็อท มาดาม โบวารี” ได้รับมาอีกหนึ่งรางวัลคือภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ก็คืออีกหนึ่งการยืนยันถึงคุณภาพของหนัง และส่วนหนึ่งซึ่งสำคัญมากๆ นั้น ก็น่าจะมาจากองค์ประกอบด้านเนื้อหาเรื่องราว หนังเรื่องนี้สร้างมาจากนวนิยายเรื่อง Wo bu shi Pan Jin Lian โดยนักเขียนที่ชื่อ “หลิวเซียนหยุน” ซึ่งตัวเรื่องราวนั้นไม่เพียงสะท้อนมุมมองแบบเฟมินิสม์ หากแต่ยังเกาะติดวิพากษ์วิจารณ์เสียดสีประชดประชันระบบราชการของจีนในช่วงเปลี่ยนผ่านทางวัฒนธรรม นับตั้งแต่ยุคกำหนดให้แต่ละครอบครัวมี “ลูกคนเดียว”

สรุปง่ายๆ ว่า ในเชิงสาระ ผลงานชิ้นนี้มีอยู่เต็มเปี่ยม ขณะที่ในภาคส่วนของความบันเทิง มันคือหนังที่แพรวพราวไปด้วยอารมณ์ขันแบบตลกร้าย แม้ตัวหนังจะเดินไปข้างหน้าด้วยจังหวะที่ค่อนข้างช้าและเต็มไปด้วยบทสนทนา แต่ว่าในความสุขุม ก็มีอารมณ์ขันแสบๆ คันๆ ในแง่มุมนี้ เฝิงเสี่ยวกังผู้กำกับ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อเอาไว้ว่า ในโลกนี้มีอารมณ์ขัน ความตลกอยู่ 3 ประเภท ได้แก่อารมณ์ขันจากภาษา อารมณ์ขันจากเรื่องราว และอารมณ์ขันจากนัยยะที่แฝงด้วยเรื่องของศีลธรรมจรรยา สำหรับ I Am Not Madame Bovary นี้ถือเป็นหนังที่อยู่ในประเภทที่ 3

แต่ไม่ว่าจะอธิบายว่าอย่างไร สำหรับผมแล้ว นี่คือหนังตลกที่ดูแล้วเจ็บปวดสิ้นดี ขณะที่อีกทางหนึ่งก็มองว่า ระบบราชการอันล้มเหลวเช่นนี้ มันมีอยู่ทุกที่ทุกประเทศจริงๆ...

** ป.ล.หนังเรื่องนี้มีชื่อไทยว่า “อย่าคิดหลอกเจ้” เก๋ฝุดๆ ^^








กำลังโหลดความคิดเห็น