5 ปี เรียนรู้จากเคาน์ดาวน์ “บาส นัฐวุฒิ” ลดติสต์ “ฉลาดเกมส์โกง” เล่นกับความรู้สึกคนดู มั่นใจไม่ชี้โพรงให้กระรอก ปัดตอบเสียดสีการศึกษาของเมืองไทย ขอแค่ให้ดูอย่างที่มันเป็น
รายได้หนัง “ฉลาดเกมส์โกง” กำลังทะยานไปอย่างงดงาม และหนังเรื่องนี้ยังทำให้หลายคนอยากรู้จักผู้กำกับมากขึ้น ซึ่ง “บาส นัฐวุฒิ” เคยฝากผลงานหนังที่ไม่ใช่หนังตลาดอย่างเคาท์ดาวน์ ซึ่งพอมาถึงหนังเรื่องที่ 2 เจ้าตัวก็บอกเริ่มจับทางคนดูได้แล้ว ลดความติสต์ แคร์ความรู้สึกคน และหันมาเล่นกับอารมณ์คนดูมากขึ้น และนี่คือสิ่งที่ทำให้หนังฉลาดเกมส์โกงโดนใจคนทุกเพศทุกวัยในขณะนี้
“ทุกงานที่ทำผมพยายามไม่คิดล่วงหน้า ทุกครั้งจะตั้งหลักในการทำงานว่าทำยังไงให้เราพอใจที่สุด และมันจะเหมาะสมกับตัวงานที่สุด ผมตั้งว่าเราจะสื่อสารทุกอารมณ์ ทุกความคิด ของหนังยังไงให้ไปสู่คนดูให้ชัดเจนที่สุด”
“คือ ตอนเคาท์ดาวน์ผมค่อนข้างใหม่มาก และเรามีความไฟแรง ความติสต์อยู่นิดหนึ่ง ไม่ค่อยรู้ว่าคนดูต้องการอะไร รู้แค่เราต้องการอะไร สุดท้ายก็ไม่ได้สื่อสารไปถึงคนดูได้ไกลขนาดนั้น แต่หลังจากนั้นเราได้เว้นไปทำโฆษณา ก็เลยเข้าใจความรู้สึกคนดูมากขึ้น เราเลยเริ่มรู้ว่าจะสื่อสารกับคนดูยังไงโดยที่ไม่สูญเสียความเป็นตัวเรา”
“เราไม่ได้บอกว่าอะไรดีกว่า ไม่ดีกว่า แต่ต้องเข้าใจว่าหนังที่เรากำลังทำอยู่สมควรทำหน้าที่อะไร สื่อสารยังไงให้มากสุด ตีโจทย์นี้ให้แตกก่อน แต่ยังทำในสิ่งที่เชื่อและชอบอยู่ ถามว่าเริ่มศึกษาจริตคนดูยังไง ผมยกเครดิตให้ที่เราทำโฆษณาเลย ได้ทำงานร่วมกับลูกค้า เอเจนซี ดูฟีดแบ็กตามออนไลน์ แต่คำด่าจะทำให้เราเก่งขึ้น แข็งแรงขึ้นในการทำงาน ตอนนั้นเราบริหารไม่เป็น ลืมว่าเราทำหนัง ทำงานกับคนหมู่มาก ณ จุดนั้นเพราะเราเข้าใจ แต่ปรากฏคนดูไม่เข้าใจ คือ มันเกิดขึ้นได้ ไม่ผิด แต่นั้นเราต้องเลือกเส้นทางการทำงานของคุณว่าจะเป็นอย่างนี้ หรือเดินเข้าตรงกลางเพื่อหาจุดที่แฮปปี้ และได้ผลลัพธ์ที่ดูที่สุด ผมไม่ได้มองว่าเท่ ตอนนั้นเรามีจุดยืนว่าศิลปินควรมีจุดยืนเอง เราเชื่อแบบนี้ก็ทำแบบนี้ เลยคาดหวังว่าคนดูจะชอบนะ แต่ไม่ใช่ เลยเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้และปรับแก้กันไป”
บอกไม่ได้เรียนหนังแต่เติบโตมาจากการดูหนัง เป็นศิลปะที่ต้องแคร์คนดู
“ผมไม่ได้เรียนหนัง แต่ผมมากับการดูภาพยนตร์ และพอถามตัวเองว่าจริงๆ ว่าอะไรที่ทำให้เรามีความสุขกับการดูภาพยนตร์ แต่มันคือการส่งผลความรู้สึกบางอย่างกับเรา ดูแล้วเศร้า ซึ้ง เปลี่ยนทัศนคติบางอย่าง มันคือศิลปะหนึ่งชิ้นที่ส่งผลกับคน พอเรามาทำเอง ลึกๆ ผมเป็นคนแคร์คนดู เพียงแต่ไม่รู้จะสื่อสารยังไงให้ความแคร์เราออกไปถึงคนดูจริงๆ”
“คือ ตัวผมเองอาจจะไม่ติสต์ขนาดนั้นด้วย ช่วงแรกที่ไปทำโฆษณามันก็มีความเหวอๆ เหมือนกันนะ แต่เราใช้เวลาไม่เกินครึ่งปีและปรับตัว รู้ว่าจริงๆ การทำตามลูกค้ามันไม่ใช่สิ่งที่ต้องกล้ำกลืนขนาดนั้น สามารถหาจุดกลางได้ในการทำงาน”
“ผมว่าตัวงานทุกตัวเรียกร้องสิ่งที่ไม่เหมือนกัน ในอนาคตข้างหน้าถ้าทำเรื่องใหม่ ผมอาจจะต้องอาศัยวิธีคิดและการทำงานอีกแบบหนึ่ง แต่กับหนังเรื่องนี้น่าจะถูกต้องตามโจทย์ที่กำหนดมา ที่พี่เก้ง จิระ เป็นคนคิดขึ้นมา เรื่องการลอกข้อสอบ การใช้ไทม์โซน และผมพยายามใส่สไตล์ลงไป คือ เราอยากทำหนังที่ดูสนุก แต่ไม่เบาหวิว คือ มีสาระ”
“ตอนแรกที่ผมทำก็กลัวคนจะไม่เข้าใจนะ เพราะตัวเรื่องมันค่อนข้างซับซ้อนมากๆ มันเป็นงานที่ยากที่สุดตั้งแต่ผมทำงานมาเลย ในการเล่าหนังต้องเล่าให้คนเข้าใจพล็อต และเราต้องไม่ทิ้งไอเดีย ไม่ทิ้งตัวละคร ต้องผลักดันทั้ง 3 ก้อนไปด้วยกัน”
ดีใจที่ทุกคนเข้าใจ มั่นใจไม่ชี้โพรงให้กระรอก
“โจทย์ที่ยากมากจริงๆ ตัวผมเองทำคนเดียวไม่ได้ ต้องมีทีมงานช่วยกันทุกฝ่าย ช่วงแรกมีคำถามเยอะเหมือนกัน แต่ผมจะบอกทุกครั้งว่าถ้าให้เรามาบอกแมสเสจก่อนมันจะเป็นการสปอยหมดเลยนะ คนดูจะคาดเดาทิศทางได้ ผมและทีมงานเชื่อว่าตัวหนังจะตอบตัวเองว่าหนังเรื่องนี้ชี้นำหรือเปล่า แต่เราดีใจที่ทุกคนเข้าใจมัน รู้ว่าสุดท้ายหนังต้องการจะบอกอะไรเรา”
“ถามว่า คนจะนำไปใช้ได้มั้ย มันยากมากเลยนะ นั้นคือสิ่งที่ทำให้ผมต้องบาลานซ์มัน บางคนจะรู้สึกว่าวิธีการมันเวอร์จังเลย แต่ถามว่าเป็นจริงได้มั้ยคือได้แต่ยากจริงๆ อยากโค้ทเปียโนที่เราคิดขึ้นมาเอง ถ้าน้องๆ จะเอาไปทำจริง เขาเอาเวลาไปอ่านหนังสือจะง่ายกว่า คือเราไม่ได้ชี้โพรงให้กระรอกขนาดนั้น”
ปัดตอบเสียดสีวงการการศึกษาไทย ขอให้มองอย่างที่มันเป็น
“ผมขอใช้คำว่ามองมันอย่างที่มันเป็น เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมเห็นมาตลอด แต่ในขณะเดียวกันไอเดียพวกนี้มีเพื่อซัปพอร์ตตัวละคร ไม่ใช่สิ่งที่เราพยายามจะชูขึ้นมาเพื่อให้เด่น เรามีไดเรกชั่นอยู่ ทีมงานทุกคนไม่มีใครถามอะไรเพราะทุกคนอ่านบทหมด รู้ทิศทางหนัง สิ่งที่จะเกิดขึ้น ทุกคนเข้าใจหมด และเห็นด้วยไปทิศทางเดียวกัน”
รับบรรทัดฐานความสำเร็จแต่ละคนไม่เหมือนกัน สำหรับตนแค่สำเร็จในขั้นแรก ที่เหลือคือโบนัส
“ความสำเร็จเป็นเรื่องที่พูดยากมากเลย บรรทัดฐานแต่ละคนไม่เหมือนกัน ตัวผมรู้สึกยินดี ขอบคุณแทนทีมงานที่คนดูให้การตอบรับกับมัน เราเองไม่เคยคิดว่ามันสำเร็จแล้ว เราเก่งจังเลย แต่เราจะพยายามหาข้อด้อยเพื่อพัฒนาตัวเองต่อไป”
“แต่ในมุมความสุข รางวัลจริงๆ ของผมคือคนทำงาน ไม่ว่าจะนักแสดง ทีมงานทุกฝ่าย ขอแค่เขาเหล่านี้ดูหนังและแฮปปี้กับมัน รู้สึกไม่เหนื่อยเปล่า สำหรับผมตรงคือคือความสำเร็จของผมนะขั้นแรก ที่เหลือคือโบนัสในการทำงาน”