รู้จัก “ออกแบบ ชุติมณฑน์” นางเอก 100 ล้านคนล่าสุด คนอะไรหน้าสดแต่งหน้าไม่เป็นทารองพื้นแบบโง่ๆ หมวยตาตี่แต่เกร๋ว่ะ จากเด็กวิทย์คณิตโดดใส่งานวาดรูป ไม่ธรรมดาเคยดังระดับโลก เชิดใส่เวทีนางแบบโลก
ฮอตที่สุดนาทีนี้ต้องยกให้ “ออกแบบ ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุข” ผู้คว้าตำแหน่งนางเอก 100 ล้านไปหมาดๆ จากหนัง “ฉลาดเกมส์โกง” ค่าย GDH สาวหมวยหน้าเก๋มีสไตล์ไม่ได้หน้าคัดบล็อก by เกาหลีเป็นตุ๊กตายางเหมือนที่บรรดาสาวๆ สมัยนี้ทั้งหลายชอบแห่ไปทำศัลยกรรมกัน แถมชื่อออกแบบยังแปลกตาสะดุดหู คนบ้าอะไรชื่อออกแบบ? พ่อแม่ตั้งให้จริงปะ? ตั้งเองตอนเข้าวงการหรือเปล่า? อยากดังใช่มะ? กับสารพัดคำถาม วันนี้เราจะไปทำความรู้จักกับนางเอกร้อยล้านชื่อประหลาด “ออกแบบ” ให้มากขึ้น
ที่มาของชื่อ “ออกแบบ” เพราะพ่อทำงานวิศวกรโยธา
“ที่มาของชื่อออกแบบมาจากพี่คนโตของออกแบบเลยเพราะว่าชื่อออมสิน เพราะตอนนั้นที่บ้านถูกฉลากออมสิน ส่วนพี่คนที่สองชื่ออนึ่ง เกิดปี 2536 ในยุคนั้นนักข่าวจะใช้คำว่าอนึ่งกันเยอะมาก ส่วนชื่อของออกแบบเป็นปีที่เศรษฐกิจฟองสบู่แตกในปี 2539 และพ่อของหนูทำงานเป็นวิศวกรโยธา ทำงานกับสถาปนิกหลายคน เขาเลยติดคำว่าออกแบบมา ซึ่งมันก็บังเอิญตรงที่ว่าเกิดวันที่ 2 ก.พ. ก็ตรงกับวันนักประดิษฐิ์โลก ตอนแรกก็งงว่าทำไมเราชื่อนี้ และตอนแรกคุณแม่ตั้งชื่อให้ด้วยว่า ด.ญ.ออกแบบ และพอตอนประถมเองเพื่อนก็บอกเราว่าเราตั้งชื่อเองหรือเปล่า เพราะตอนเด็กๆ เพื่อนๆ ก็จะมีชื่อแค่พยางค์เดียวเอง แต่พอมาตอนนี้ชื่อเราไม่แปลกเพราะอยู่ดีๆ ตอนนี้ก็มีคนชื่อปริ้นซเซท”
“และย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ก่อนจะเข้าวงการบันเทิง เริ่มจากการที่เราเข้ามาเป็นนางแบบ และเจอรุ่นพี่สตรีวิทยาคนหนึ่งเขามาเจอเราที่หลังเวที ตอนนั้นเราเป็นสตราฟอยู่เป็นเหมือนด็กซิ้มคนหนึ่งหน้าเหนื่อยๆ เหงื่อเยอะๆ ผมสั้นเด๋อๆ เขาก็ถามว่าน้องๆ อยากเป็นนางแบบไหม บวกกับช่วงนั้นมีข่าวว่าเด็กถูกขโมยบ่อย ม๊าเราก็คิดว่าพี่คนนี้หลอกหรือเปล่า ก็ตามประกบเราไปทุกที่ แต่พอผ่านไปสักปีนึง เขาก็เริ่มให้เราไปทำงานได้ปกติ และงานแรกที่เราได้เงินคือได้ 500 บาทคือการไปเป็นแบบฟิตติ้งเสื้อผ้าให้พี่ๆ ศิลปากรเพื่อที่เขาจะจัดแสดงชุดเอาไว้สอบ พอเริ่มทำงานโอกาสก็เข้ามาเรื่อยๆ มีผู้ใหญ่เขาเห็นหนู ทำให้หนูมาถึงจุดนี้ได้
โด่งดังระดับโลกถ่ายแบบให้ Boy bag แต่ทิ้งโอกาสไปเดินแบบเมืองนอก เพราะต้องทำความฝันแม่ให้สำเร็จก่อนค่อยทำตามฝันของตัวเอง
“ตอนที่ไปถ่ายนิตยสาร Harper’s Bazaar UK นั้นถ่ายที่ไทย ช่างภาพเป็นคนเลือกว่าเขาจะเลือกถ่ายนางแบบคนไหน ไม่ใช่โมเดลิ่งเป็นคนส่งไป แต่จริงๆ หนูเคยถ่าย Harper’s Bazaar ของลาวมาแล้วนะ ซึ่งยังไม่มีใครรู้ แต่ที่หนูดังสุดๆ คือการถ่ายแบบให้กับ boy bag ทำให้ทุกคนรู้จักหนูจะว่าทั่วโลกเลยก็ว่าได้ เป็นกระเป๋าแบรนด์คนไทย ทั้งปารีส อิตาลีก็รู้จักเรา ติดต่อให้เราไปเดินแบบที่นั่น ซึ่งมันเป็นอะไรที่พิเศษมาก แต่ครอบครัวของเราเป็นคนไทยเขาก็ไม่ยอมรับในจุดที่จะให้เราไปทำงานที่เมืองนอก เขาขอให้เราเรียนจบก่อน แล้วพอจบแล้วเราจะทำอะไรก็ได้ ซึ่งพอวันนี้เราได้มาแสดงหนัง เราก็สามารถแบ่งเวลาได้เราโตขึ้น เราทำงานตอนปิดเทอมพอดี ถ้ามองกลับไปก็เสียดายนะ แต่เราเลือกเรียนก่อน เราขอทำความฝันของคุณแม่ให้สำเร็จก่อน แล้วค่อยทำตามความฝันตัวเอง”
ออกแบบชีวิตตัวเอง จากเด็กวิทย์คณิต ไปโดดใส่งานวาดรูป ฝึกปรือจนสอบติด Exhibition จุฬา ทั้งเรียนทั้งทำงานยังได้เกรด 3.43
“ตอนนี้เราเรียน Exhibition ที่จุฬาฯ คณะศิลปกรรมศาสตร์ คือคุณแม่ไม่ได้บังคับ เขาแค่ขอให้เรียนในสิ่งที่เราชอบเท่านั้นเอง ตอนม.ปลายออกแบบเลือกเรียนวิทย์คณิตเพราะว่าตัวเองเกลียดภาษา แต่พอตอน ม. 5 เราอยากจะย้ายไปเรียนสายศิลป์ เพราะเราจะเข้าคณะนี้ เราก็เลยไปขอพ่อว่าไปเรียนวาดรูปเพิ่มเติม และคือสอบเข้าจุฬาที่เดียวเลยนะ ไม่มีชอบ gat/pat หรือ o-netเลย เราตื่นมาทุกตี 2 เพื่อจะซ้อมวาดรูปให้ฝีมือมันคงที่”
“จนมีอยู่วันหนึ่งเราตื่นมาตอนตี 2 เพื่อจะเช็คว่าเราติดไหม เพราะถ้าไม่ติดเราก็ไม่รู้ว่าจะเรียนที่ไหนเลย ซึ่งถ้าไม่ติดจริงๆ หนูก็จะเข้าลาดกระบังต่อ ยังไม่อยากเข้าเอกชน แต่พอรู้ว่าเราติด เราก็กรี๊ดลั่นบ้านซึ่งนั่นเวลาตี 2 แม่ก็วิ่งมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราหรือเปล่า เราก็บอกว่าเราสอบติด ตอนนั้นร้องไห้กันยกใหญ่เลย และก่อนหน้านี้ที่เราเรียนวิทย์คณิตเพราะเราอยากจะเรียนจิตวิทยา แต่พอเข้าวงการมาทำงานเป็นนางแบบ เราเจอโลกกว้างมากขึ้น เราทำงานเพื่อให้คนอื่นมีความสุข แต่ถ้าเราเป็นจิตแพทย์เราต้องรับฟังปัญหาของเขาแล้วเราต้องทำให้เขามีความสุข แต่เรากลับทุกข์แทนซึ่งมันไม่ตรงกับเราแล้ว และเจอพี่คนหนึ่งแนะนำให้มาเรียนสาขาอันนั้นแทน และถ้าตอน ม.ปลาย หนูเจอตัวเองทันหนูก็จะเข้าอินทีเรีย ศิลปากรแต่มันต้องวาดรูปเก่ง แต่เรายังวาดไม่เก่งเลยต้องตัดช้อยท์นั้นทิ้งไปเลย”
“เกรดเฉลี่ยเทอมที่ผ่านมาคือ 3.43 หนูถือว่าหนูประคองตัวเองได้นะ ทำให้เราไม่ลำบากมาก เพราะเราต้องทำงานและเรียน มันทำให้เราไม่เหนื่อยมากเกินไป แต่ก็ไม่ได้คิดว่าเราต้องได้เกรด 4 ทุกวิชาหรือว่าเราต้องเรียนเก่งนะ เราคอนโทรลไม่ให้เราเครียดเกินไป ดีกว่าต้องมาคอนโทรลว่าเราต้อง 4 ทุกวิชา เราไม่มีเวลาพร้อมเหมือนคนอื่น หรือเวลาสอบต้องนั่งแอบมองคำตอบที่ต้องการเหมือนในหนัง อย่าง ม.ปลายก็ไม่ได้เก่งมาก จะเก่งวิทย์มากกว่า หนูอยู่ในระดับกลาง นั่งเรียนหน้าห้องนะ ซึ่งก็ได้เกรดเฉลี่ยระดับกลาง หนูพูดตรงๆ เลยว่าตอนนั้นพ่อแม่ตัดใจเลย พอเรามาทำงานเป็นนางแบบ เขาสนับสนุนเราด้วย แต่เขาก็ต้องตัดใจ อย่างแต่ก่อนเรียนวิทย์คณิตจนถึง 2 ทุ่ม แต่พอทำงานแล้วเวลามันไม่ได้ไง หนูก็เปลี่ยนความคิดเขาใหม่ เขาก็ยอมรับในสิ่งที่เราทำ เปลี่ยนจากเรียนวิทย์คณิตมาเป็นวาดรูป เพราะเขาอยากให้เรามีความสุข อยากเราดำเนินชีวิตต่อไปถ้าหากวันหนึ่งไม่มีเขาอยู่ ต้องอยู่ได้และยิ้มได้ทุกวัน”
เป็นนางแบบมา 5 ปีแต่แต่งหน้าไม่เป็น คิ้วยังเขียนไม่เป็น ทารองพื้นแบบโง่ๆ
“ชีวิตปกติของหนูยิ่งกว่าในหนังซะอีก เห็นว่าในหนังไม่แต่งหน้าแล้ว ชีวิตจริงยิ่งไม่แต่งไปอีก (หัวเราะ) ชีวิตปกติออกไปไหนแค่ทาลิปสติกเท่านั้น เพราะเราทำงานนางแบบเราใช้หน้ามาเยอะ เราก็อยากพักหน้าบ้าง แต่เอาจริงๆ เลยนะออกแบบแต่งหน้าไม่เป็น (หัวเราะ) ออกแบบเพิ่งมาแต่งหน้าเป็นตอนที่ถ่ายทำหนังไปแล้วครึ่งเรื่อง พี่ช่างแต่งหน้าสอนให้เราเขียนคิ้ว เป็นนางแบบมา 5 ปีแต่งหน้าไม่เป็นเลย และไม่พยายามที่จะเรียนรู้และไม่คิดว่าจะต้องแต่งหน้าออกจากบ้านด้วย หนูก็เข้าใจนะว่าเราเป็นผู้หญิง แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมเราแต่งหน้าไม่เป็น หนูไม่มีรองพื้นเลย ยังคิดว่ามันต้องทำยังไงด้วยซ้ำ แต่ทุกกันนี้เริ่มเขียนคิ้วเป็น เริ่มปัดแก้มเป็น แต่ลงรองพื้นได้โง่มากๆ เพราะหนูเป็นผู้หญิงลุยๆ มากกว่า เลยไม่ค่อยสนใจ
“ออกแบบ” ยอมรับคล้ายตัวแสดง “ลิน” ตรงที่ไม่มีความชอบที่ตายตัว แต่แตกต่างกันด้านทัศนคติและการทำ
“หนูกับลินต่างกันมากนะคะ ลินเขาเป็นคนที่ไม่มีความชอบอะไรในชีวิตเลย เป็นเด็กที่ใช้ชีวิตไปวันๆ เก่งแล้วไงแต่ไม่มีเพื่อน ทำงานได้เงินเยอะแล้วไง แต่ไม่มีความสุขในชีวิต เข้าสังคมก็ไม่เก่ง ต้องให้เพื่อนมาจูงตัวเองตลอดเวลา ไม่มีความเร้าใจ ถึงทำให้ลินยอมรับข้อตกลงที่เขาเสนอมาให้ ส่วนที่เหมือนกันก็คือความชอบ เพราะออกแบบก็ไม่ได้มีความชอบที่ตายตัวเหมือนกัน อย่างตอนแรกจะเข้าจิตวิทยาแล้วพอมาเจอทางใหม่เราก็เปลี่ยน คือเราไม่ฟิกว่าต้องชอบอะไร เราทำอะไรก็ได้ที่มีความสุขเราก็จะทำ ออกแบบโฟกัสที่ปัจจุบันและก็เปลี่ยนไปตามความชอบแบบไม่ตายตัว แต่ลินเขาไม่มีตรงนี้ และเรามีความคาบเกี่ยวกันตรงที่ความคิดคล้ายกัน แต่ทัศนคติการกระทำการแสดงออกเราต่างกัน เหมือนตัวออกแบบแค่ 30%”
“คำว่านางเอกร้อยล้านก็เคยได้ยินมา เอาจากใจเลยนะคะไม่เคยคิดว่าเราจะได้รายได้เท่าไร คิดแค่ว่าคนดูเข้าโรงไปแล้ว เขาจะสนุกกับหนัง สนุกกับหนังไหม ชอบสิ่งที่ทีมงานทำไหม นี่คือสิ่งที่คาดหวัง ให้คนดูประทับ ตัวเลขคือโบนัสที่ได้ และหนังที่มันประสบความสำเร็จก็เพราะว่าคนดู กระแสที่ทุกคนพูดถึงกันทั้งในโลกโซเซี่ยล ทุกความคิดเห็นที่ให้เรามา เงินทุกเม็ดที่ทุกจ่ายเข้ามาดูหนัง ทุกอักษรเวิร์ดที่พิมพ์ลงบนโซเซี่ยล”
ไม่สวย ไม่เก๋ แต่น่ารัก มีแฟนแล้วแพ้หนุ่มตี๋
“หนูก็ไมได้สวยและหนูก็ไม่ได้เก๋ หนูก็คือเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตปกติ ซึ่งถ้าถามว่าผู้หญิงสวยก็คือพี่ชมพู่ อารยา หนูชอบใช้กับตัวเองว่าน่ารัก แต่หนูก็ไม่รู้ว่าน่ารักไหม(ยิ้ม) แต่ก็ไม่ได้เก๋จนเป็นนางแบบระดับโลก เพราะถ้าย้อนกลับไปวันแรกที่พี่เขาจะให้มาเป็นนางแบบ หนูยังหน้าเด๋ออยู่ ไม่เคยคิดว่าเราจะมีวันนี้ ซึ่งตอนนั้นก็ไม่เข้าใจว่าเก๋คืออะไร หน้าแบบหนูเหรอคะที่เรียกว่าเก๋”
“เรื่องของความรักตอนนี้ก็มีคนคุยคะ เป็นรุ่นพี่ที่คณะ ซึ่งถ้าทุกคนสังเกตว่าหนูหน้าแดงมากเพราะว่าเขิน (หัวเราะ) ไม่เคยมีใครสัมภาษณ์เรื่องความรัก เขาก็เขินๆ เหมือนกันที่เราเป็นดารา เวลามีแฟนคลับมาขอเราถ่ายรูปเขาก็จะหลบไปไกลๆ มาก สเปคของเราจะเป็นแบบขาวตี๋แต่สเปคไม่ได้ตายตัวถ้ารู้จักยูอาอินนั่นแหละสเปกเลย จริงๆ คนที่คุยอยู่ตี๋กว่า แต่ด้วยเสน่ห์ก็คล้ายๆ กัน เพราะคนเก่าก็ตี๋เหมือนกัน เป็นเทรนด์นี้เหมือนกัน แต่เรื่องขาวตี๋ไม่ใช่ปัจจัยหลัก หนูชอบคนที่คุยแล้วเข้าใจกันอันนี้ต้องมาก่อน และเขาก็ชอบที่เราไม่แต่งหน้าด้วย หนูเคยถามเขา เขาก็บอกว่ารู้สึกดีที่ชอบที่เราเป็นคนลุยๆ แมนๆ ดูแลตัวเองได้ หรือที่เขาชอบที่เราแมนๆ หรือเขาจะเป็นเกย์ (หัวเราะ)
“ทุกวันนี้แม้จะมีทางเลือกมากขึ้น จากนางแบบและก็มีเป็นนักแสดง หนูก็ยอมรับว่าเริ่มไปทางนักแสดงเพราะว่าเวลาเราทำแล้วเรารู้สึกชอบ ช้อยของการเป็นนักแสดงในเรื่องของการทำงานมันมากกว่า มันสนุกกว่า มันท้ายทายความเป็นมนุษย์กับการดำรงค์ชีวิตของคนๆ หนึ่งมากกว่า พอเรามาเป็นนักแสดงการทำงานเราก็มีทางเลือกมากขึ้น งานก็หลากหลายมากขึ้น ทุกคนก็ยอมรับในตัวเรา เราก้าวมาแล้ว เราก็จะก้าวต่อไป”