หลังจากที่ “สมิทธิ์ บัณฑิตย์” อดีตหนึ่งในนักร้องดูโอชื่อดัง “สมิธแอนด์เชน” ล้มป่วยด้วยอาการเส้นเลือดสมองตีบ เป็นอัมพฤกษ์ซีกซ้าย เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557 และหายหน้าไปนานกว่า 2 ปี ล่าสุดได้โพสต์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ว่ามีอาการดีขึ้น นิ้วมือข้างซ้ายเริ่มขยับได้ และบอกด้วยความมั่นใจว่า "ผมจะเป็นผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากสโตรคที่มีความสุขที่สุดในทุก ๆ วันให้ได้ครับ...แต่จริง ๆ ผมโคตรมั่นใจเลยว่า ผมหายแน่ๆ"
เพจ “ฟาร์มรู้สึกดี” จึงได้พาไปนั่งพูดคุยกับคุณสมิทธิ์ให้แฟน ๆ ได้หายคิดถึง ซึ่งได้เล่าย้อนอดีตตั้งแต่ได้เริ่มหัดเล่นดนตรีตั้งแต่ 8 ขวบ จนได้เป็นแชมป์อิเล็กโทนของประเทศไทยในการประกวดหลายเวที และเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันอิเล็กโทนในงาน South East Asian Electone Festival รวมถึงเป็น 1 ใน 3 ของตัวแทนภูมิภาคเอเชียเข้าแข่งขันงานระดับโลก International Electone Festival จนในที่สุดได้ออกอัลบั้มเพลงร่วมกับ “เชน เมืองครุฑ” ในนาม “สมิทธิ์ แอนด์ เชน” จนมีผลงานเพลงเป็นที่รู้จักมากมาย เช่น เพราะผูกพัน เก็บไว้ในใจ ขอเพียงเท่านี้ เพราะรักเธอ ถ้าเธอไม่รัก ภายหลังผันตัวมาเป็นนักดนตรีรับจ้างอิสระ ทำเพลงประกอบโฆษณา และอยู่เบื้องหลังการทำงานเพลงให้แก่ศิลปินหลายต่อหลายคน แต่เมื่อล้มป่วยลง ชีวิตก็พลิกผัน คุณสมิทธิ์เล่าถึงเหตุการณ์ในวันที่เกิดเหตุให้ฟังว่า
“ผมจำได้ว่าคืนก่อนหน้าที่ผมจะเกิดอาการสโตรค ผมยังไปฉลองครบรอบผับแซ็กโซโฟนที่ผมชอบไปฟังดนตรีแจ๊สอยู่เลย อีกสองวันถัดมาผมก็นั่งทำเพลงอะไรของผมอยู่ในห้องนั่นแหละ เสร็จแล้วผมก็อยากจะกลับไปบนเตียงนอน พอลุกปั๊บมันเฉียบพลัน คือมันร่วงผล็อยลงไปกองกับพื้น ตอนนั้นก็ไม่คิดอะไรนะ เพราะไม่เคยมีความรู้เรื่องนี้ คิดว่าน้ำในหูไม่เท่ากัน เดี๋ยวนอนสักพัก ก็คงลุกขึ้นมาได้เอง ผมก็นอนอยู่ยังงั้นแหละ คิดว่าโดนผีอำ นอนอยู่นานมากๆ จนรุ่นพี่ที่นัดกันไว้โทรมาตาม พอทราบอาการจึงเรียกหน่วยกู้ภัยให้ไปช่วยงัดห้อง… หมอบอกเลยว่ามันเลย 12 ชั่วโมงเนี่ย ฟื้นยากมาก โรคนี้เขาบอกว่า 3 ชั่วโมงให้ถึงมือหมอ”
สาเหตุที่ทำให้ล้มป่วยเกิดจากเส้นเลือดในสมองตีบ ซึ่งเจ้าตัวคาดว่าเนื่องมาจากเป็นคนสูบบุหรี่จัด “ผมเป็นนักดนตรีกลางคืนไง ผมก็สิงห์อมควันด้วย ทั้งเหล้า ทั้งบุหรี่ ทั้งจังก์ฟู้ดทั้งหลายแหล่ไม่หยุดหรอก มันก็สะสมมา ผมน่ะรู้ตัวเองเลยว่าเป็นเพราะสูบบุหรี่จัด กล้าพูดเลยนะว่าโรคนี้เป็นเพราะบุหรี่จริงๆ ผมอยู่ในห้องปิด ผมนั่งทำเพลงไป จุดบุหรี่ไปด้วย ควันมันก็ลอยอยู่อย่างงั้น ผมน่ะรู้ตัวเองว่า พระเจ้าทรงเตือนผมแล้วว่ามึงเป็นโรคนี้ เพราะมึงสูบบุหรี่จัด กล้าพูดได้เลยว่าใครยังไม่ได้เลิกบุหรี่ เลิกได้เลยนะ”
จากคนปกติที่เคยแข็งแรงทำอะไรเองได้ทุกอย่าง ต้องมากลายเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งซีก มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตหลาย ๆ อย่าง จนไม่อยากคุยกับใคร “ผมจำได้ว่าแรกๆ ผมก็โอเคนะ แต่พอร่างกายผมไม่ฟื้น มันก็ท้อแท้แหละ มันไม่มีใครไม่ท้อแท้หรอก มันก็จิตตกอย่างแรง เพราะมันเคยเล่นดนตรี มันเคยทำอะไรต่ออะไรในชีวิตปกติ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป หน้ามือเป็นหลังเท้า ก็จิตตกมาก ๆ เลยล่ะครับ เลยทำให้ผมเงียบ ๆ ไม่อยากคุยกับใครด้วย หนึ่ง เพราะอาการป่วยด้วย ผู้ป่วยโรคนี้มันโดนทำลายหลายระบบ ของผมโดนอวัยวะในการออกเสียงด้วย แรก ๆ จะพูดไม่ได้ชัดแบบนี้นะครับ เสียงจะเบา ๆ แหบ ๆ แล้วก็จะรู้สึกว่าไม่มีแรง มันก็เลยทำให้มีความรู้สึกว่าไม่ค่อยอยากจะคุยกับคน เพราะว่ามันเหนื่อยง่าย เป็นต้นเหตุที่ทำให้ผมคิดว่าไม่ต้องคุยก็แล้วกัน”
“นอกจากเสียงก็คือ แขน ขา ไม่มีแรง สองปีที่ผ่านมาก็ไม่มีแรงเลยนะ ถึงบอกว่าเป็นจังหวะฟ้าเปิด หรือเจ้ากรรมนายเวรเขาให้อภัยก็ไม่รู้นะ มันเพิ่งจะดีขึ้นแบบเห็นชัด ๆ ก็ช่วงก่อนผมกลับมาเล่นเฟซบุ๊กไม่กี่วันเอง ก็คือปลายเดือนมีนา ต้นเดือนเมษา ขาเริ่มยืดเหยียดได้บ้าง แต่ปลายเท้ายังเดินจิกอยู่ ส้นเท้าไม่ลง แต่ก่อนนี้แขนก็ยกไม่ค่อยขึ้น ข้อมือห้อยๆ อยู่อย่างเนี้ย แต่มีความรู้สึก”
“โรคนี้ผมเข้าใจว่าสมองมันไม่สั่งการ เมื่อสมองมันไม่สั่งการว่ามือนี่ให้ขยับ เมื่อไม่ขยับไปนาน ๆ เส้นมันก็ยึดไง โรคนี้เขาถึงต้องกายภาพบำบัด นวดบ้าง ผมมั่นใจว่ามันอยู่ที่สมองต้องฟื้นก่อน สองปีที่ผ่านมาผมก็กายภาพบำบัด แต่ไม่ได้หนักเหมือนช่วงนี้ พอช่วงนี้มันดีขึ้น ผมก็ทำหนักมากเลย ผมรู้สึกว่ามันมาแล้วก็โหมซะหน่อย แต่สองปีนั้นผมรู้สึกว่า เดี๋ยวนึกได้ก็ทำละกัน ก็ขยับมันบ้าง นักกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด ที่เคยมาสอนผมในช่วงแรก ๆ ก็สอนไว้ว่า อะไรที่มันขยับได้ ให้ขยับบ่อย ๆ นะ เราก็จำมาใช้ นั่งสัมภาษณ์ไป ผมยังบีบบอลไปด้วยเลย คือทำอะไรได้ก็ทำ”
ในช่วงที่ท้อแท้จากอาการของโรคที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต คุณสมิทธิ์เล่าว่า ได้แง่คิดหนึ่งมาจากธรรมะของ ดร.วรภัทร ภู่เจริญ “ช่วงที่ผมนอนป่วยอยู่มาก ๆ เนี่ย ไม่ค่อยได้ทำอะไร วันว่างผมเยอะมากไง กายภาพบำบัดอย่างเดียว ร่างกายมันไม่ดี มันก็ไม่ค่อยอยากทำอะไร ผมก็ไปดูรายการของ อ.วรภัทร ภู่เจริญ ท่านก็สอนธรรมะในสไตล์ของท่าน ท่านโผงผาง ท่านอารมณ์ดี เราฟังแล้วก็เอาตรงนั้นมาเป็นแง่คิดของเรา
”
“ผมชอบมาก ๆ ที่ท่านสอนว่า ชีวิตมันไม่มีอะไร ต้องสิ้นคิด พี่ก็สิ้นคิดมาตั้งแต่นั้นเลย ตีความในมุมมองของเรา คนอื่นเขาอาจจะตีความอีกแบบหนึ่งก็เป็นไปได้นะ แกก็บอกว่าชีวิตน่ะสิ้นคิดมันซะมั่ง คือทุกวันนี้เราอยู่กับสภาพแวดล้อมทุก ๆ อย่าง การเมือง เศรษฐกิจ มันคิดๆๆ ตลอดเวลา แต่ถ้าเราสิ้นคิด ตัดความคิดมันออกไป คือระงับฟุ้งซ่านซะ จบเลย ชีวิตสบาย ไม่ต้องคิดอะไร ผมก็เลยรู้สึกว่าผมไม่ต้องไปอยู่กับความคิดฟุ้งซ่านละ ผมมองแค่ว่าวันนี้ผมได้เดินลงไปกินข้าวได้ กลับขึ้นมาแปรงฟัน อาบน้ำ แล้วก็นอน แล้วก็จบแล้วหนึ่งวัน เป็นวันที่มีค่าที่สุด มันเท่ากับว่าสอนให้อยู่กับปัจจุบัน นี่คือ เป็นธรรมะงี่เง่าของผมเองนะ ไม่กล้าสอนใครหรอก แต่ก็แปลมาเป็นอย่างนี้ ให้คิดแค่นี้”
“เช้าเนี่ยนะ ถ้ามีแรงลุกขึ้นมาจากเตียง ยันตัวเองออกมาได้ ณ ตอนนั้นยังไม่แข็งแรงเท่านี้ด้วยนะ ที่คิดแบบนี้ก็คือ ยันจากเตียง พยายามลุกขึ้นมา ใช้ไม้เท้าช่วย เดินโขยกเขยกไปอาบน้ำ ตอนนั้นมือซ้ายก็ยังไม่มีแรง ก็เปิดฝักบัวอาบไป ก็ใช้มือเดียวนั่นแหละ ถูๆๆ เรียบร้อย ผ้าเช็ดตัวเช็ด เดินกลับมาค่อย ๆ นั่งใส่กางเกงตามที่นักกายภาพเขาสอนมา มันจะมีท่าทางของเขา ขาจะต้องไขว้ข้างนี้ กางเกงดึงเข้ามา อะไรอย่างนี้ ก็ทำไปเท่าที่ทำได้ ก็ถือเป็นการกายภาพไปในตัว เพราะเราขยับ ก็ลุกจากเตียงมาใส่เสื้อผ้า ค่อย ๆ โขยกเขยกลงไปหาข้าวกิน เพราะว่าด้วยสภาพผู้ป่วย อันนี้ก็อีกเรื่องหนึ่ง เพื่อน ๆ ก็บอกว่า ทำไมพี่สมิทธิ์ไม่พยายามทำกับข้าวกินเองครับ จะบอกว่ามันไม่ฟังก์ชั่นสำหรับตัวเราไง ในครัวไม่มีอะไร แล้วจะให้ผมไปทำ มันไม่ฟังก์ชั่น เพราะฉะนั้นตอนนั้นผมแค่นี้แหละ ก็คือ ลุกขึ้นมา เดินเข้าห้องน้ำห้องท่า แต่งตัว แล้วก็ออกไปหาอะไรกินข้างล่างใต้คอนโด เขาขายพวกอาหารตามสั่ง ก็แค่นั้นเอง อะไรง่าย ๆ ที่แบบว่าเราอยู่ได้ พอกินเสร็จก็ขึ้นมาบนห้อง ไม่ต้องคิดอะไรมาก”
“ตอนนั้นอย่างที่บอกผมไม่ค่อยอยากคุยกับใคร เพราะผมไม่มีเสียง ตอนนี้คือมันพัฒนาไปเยอะแล้ว แต่ก็เป็นการพัฒนามาเยอะที่ผมก็ไม่พอใจอยู่ดี เพราะมันไม่ใช่ระดับที่ผมร้องเพลงเพราะเหมือนเดิม ณ ตอนนั้นผมไม่คุยกับใครหรอก ไปถึงก็สั่งอาหาร ก็แค่คุยกับแม่ค้าสองสามคำ เพราะต้องคุยแล้วสั่งอาหาร ก็เท่านั้น ผมก็ไม่คุยกับใคร ก็นั่งกินข้าวของผมไป ผมก็ฝึกของผมไป กินข้าว ก็เหมือนกับเราไปเจริญสติกับหลวงพ่อจรัญ กินข้าวก็เคี้ยวไป อะไรอย่างนี้ เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้น เดี๋ยวเกิดมันจะพลาดอะไรไปอีก คือมันก็จะจดจ่ออยู่กับตรงนั้น เหมือนกับการเดิน มันก็เดินไม่ได้ มันต้องโขยกเขยก มันเท่ากับฝึกเจริญสติไปในตัว โขยกซ้ายทีมันก็ต้องรู้ว่าซ้าย หรือจะขึ้นบันไดมันต้องค่อย ๆ ก้าว ไม่มีใครช่วยเรา เราจะทำยังไงล่ะ โรคนี้นะ คนที่ทรงตัวไม่ดี ขึ้นบันไดมันจะขึ้นง่าย มันจะพอขึ้นได้ แต่ถ้าลงบันไดนี่หัวทิ่มตาย ก้าวซ้ายขึ้นไป มันก็คิดอยู่ตลอดเวลาว่าซ้ายมันจะต้องขึ้น มันเท่ากับเจริญสติไปในตัว ผมนั่งให้สัมภาษณ์อยู่นี่ ผมก็ต้องรู้ว่าผมให้สัมภาษณ์อยู่ นี่ไม่ได้มาพูดมาอวดภูมิรู้อะไรหรอก มันฝึกไปโดยธรรมชาติของมัน นั่นล่ะครับ”
ในมุมมองของคนอื่น ๆ อาจจะคิดว่าคุณสมิทธิ์เป็นคนสนุกสนาน อาจจะคิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มคนนี้สนใจเรื่องธรรมะด้วย “ภาพลักษณ์จะเห็นผมเป็นพวกเที่ยวสนุกสนาน แต่จริง ๆ ผมเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจรัญมาตั้งนานแล้วครับ มันก็มีช่วงหนึ่งที่ผมเฮิร์ทจากวงการ สมิทแอนด์เชนมันไม่ประสบความสำเร็จทางฐานะการเงิน ขายเทปโด่งดังแล้วร่ำรวย มันไม่ใช่ มันไม่มีเงิน ช่วงนั้นแหละที่ผมหันมาทำเบื้องหลัง แล้วก็หันไปหาธรรมะ ก็คือไปหาหลวงพ่อจรัญ ก็ไปฝึกเจริญสติ แต่ไม่กล้าบวช เพราะเป็นคนกิเลสเยอะ ถ้าเรารู้ตัวนะ ถ้าเรากิเลสเยอะเราอย่าบวชเลย เดี๋ยวก็ไปทำผ้าเหลืองเสีย แม้กระทั่งผมป่วย ผมยังไม่เคยเอ่ยคำสาบานเลยว่าถ้าหายป่วยผมจะบวชตลอดชีวิต ผมไม่พูด เพราะว่าถ้าให้สัจจะวาจาไปแล้วไม่ทำ เดี๋ยวเสียหมา ผมเป็นคนถือพวกนี้มาก ๆ เพราะคำพูดเป็นนายเรา”
ธรรมะของหลวงพ่อจรัญมีส่วนช่วยให้คุณสมิทธิ์ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้อย่างสงบ “มีความรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมือนเดิม ท้อแท้มาก ๆ แต่โชคดีที่เคยเรียนธรรมะกับหลวงพ่อจรัญ ก็ในเมื่อต้องเป็นสภาพนี้ ก็เป็นสภาพนี้ เราทำใจไว้ แต่เราไม่ได้ให้กำลังใจตัวเองถึงขนาดว่าลุกมาทำอะไรได้ไง มันก็ห่อเหี่ยวท้อแท้แหละ แต่เข้าใจสภาพว่าทุกอย่างมันต้องเป็นแบบนี้ มันก็เป็นแบบนี้เท่านั้นเอง ในเมื่อพระเจ้าส่งมาให้ต้องมาอยู่คนเดียว ก็รับสภาพว่าอยู่คนเดียว จะไปฟูมฟายร้องแรกแหกกระเชอไปมันก็ใช่ที่ไง เพราะจังหวะถ้าเจ้ากรรมนายเวรไม่เปิดเนี่ย ผมพูดลักษณะนี้ไปละกันนะ ผมตะโกนเรียกไปเท่าไหร่ ก็ไม่มีคนได้ยินหรอก ผมเชื่ออย่างนั้นจริง ๆ นะ เพราะฉะนั้นเมื่อเขาให้อยู่อย่างนี้ ก็อยู่อย่างนี้ไป ผมรับได้ทุกสภาพ คือพยายามปรับตัวให้มันอยู่ได้ ในเมื่อจะต้องอยู่คนเดียว ก็ปรับตัวให้อยู่ได้ แต่จะอยู่อะไรยังไง ถูกลักษณะมั้ย มันอาจจะผิดวิชาการ ผิดนู่นผิดนี่ไปหมด แต่ผมต้องอยู่ให้รอดไง ผมคิดแค่นั้น มาจนถึงวันนี้ก็เริ่มแข็งแรงละ เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น”
คุณสมิทธิ์ให้คำแนะนำสำหรับผู้ที่ป่วยด้วยโรคนี้ว่าสิ่งสำคัญคือ การฝึกช่วยเหลือตนเองให้มากที่สุด “สิ่งที่คิดว่าเป็นปัจจัยทำให้พัฒนาการของตัวเองดีขึ้นสำหรับผมก็คือ การทำทุกอย่างด้วยตัวเองนั่นแหละ เพราะว่าหลาย ๆ เคสที่ผมเห็น เขาก็อยู่กับครอบครัว มีครอบครัวดูแลอย่างดี อันนั้นก็เป็นข้อดีนะ เพราะว่าผู้ป่วยแบบนี้จริง ๆ แล้วไม่ควรอยู่คนเดียว บอกได้เลยว่าต้องมีผู้ช่วย ไอ้ของผมนี่ยอมรับเลยว่ามันสุดโต่งไปหน่อย แต่การมีครอบครัวคอยดูแลมันก็มีผลเสียตรงที่ว่ามีผู้ประคบประหงมดีแล้วก็อาจจะไม่ได้ทำอะไรเลย คนที่มีคนดูแลเยอะ ๆ มาก ๆ ตัวเองก็ไม่ต้องทำอะไรแล้วไง ก็ไม่ฟื้นซะที เพราะฉะนั้น ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ต้องขยับ แต่ทีนี้พอมาต้องขยับ มันก็กลับไปอีกว่า ตอนนั้นน่ะมันไม่ขยับ กล้ามเนื้อมันไม่ขยับ มันจะทำยังไงได้ มันก็ต้องมีท้อมั่งแหละ”
คุณสมิทธิ์เล่าถึงการกลับมาคุยกับเพื่อน ๆ ในเฟซบุ๊กหลังจากที่ห่างหายไปกว่าสองปีว่า “อย่างที่บอกน่ะมันฟลุคมาก ไม่รู้อะไร ไม่รู้ทำไม สองปีที่ผ่านมา แขน นิ้วมือ อะไรต่าง ๆ มันไม่ขยับเลย มันขยับได้แค่ท่อนใหญ่ ๆ เท่านั้น ซึ่งถ้าทำอะไรไม่ได้ ท่อนใหญ่ ๆ มันก็แกว่งไปแกว่งมา เพื่อจะให้มันช่วยทรงตัวแค่นั้นเอง เพราะมันหนักกระดูกไง แต่โชคดี ไม่รู้ยังไง จังหวะฟ้าเปิด เจ้ากรรมนายเวรท่านให้อภัย ก็แล้วแต่จะคิดกันไป อยู่ดี ๆ นิ้วมันก็ขยับขึ้นมาได้ พอขยับขึ้นมาได้ ผมก็เด้งขึ้นมาเลย เฮ้ย ขยับได้ แปลกดี เราก็มีกำลังใจ ใจมันฟูขึ้นมาเลยล่ะ มันฟูขึ้นมาแบบเห็นได้ชัดเลย เฮ้ย ขยับแล้วเว้ย ก็เลยคิดไปว่า สองปีเราก็เงียบ ๆ ไม่ได้คุยกับใครเลย เฟซบุ๊กก็มีเอาไว้แค่ส่องชาวบ้านไม่ได้คุยกับใคร อวยพรวันเกิดเพื่อนซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นใครด้วยซ้ำ แล้วก็ใช้ดูพวกเว็บซีรี่ย์เท่านั้น พอมือมันขยับ ผมก็เริ่มคิดว่า เออเราก็หายไปนาน งั้นเราเข้าเฟซไปคุยกับเพื่อน ๆ ดีกว่า จังหวะมันพอดีกัน ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน”
“ตอนนี้พัฒนาการของการขยับนิ้วมือในการเล่นเปียโนยังถือว่าติดลบมหาศาล มันเป็นบางท่าที่ขยับได้ แต่มันไม่มีแรงที่จะกด เปียโนมันต้องใช้ทัชชิ่ง มือซ้ายมันขยับได้ แต่มันไม่มีแรง เราก็ต้องฝึกไปเรื่อยๆ นักกิจกรรมบำบัดเขาก็แนะนำมาแล้วว่า ให้เราบีบบอลยางไปเรื่อย ๆ เราก็ยังมาแซวอยู่เลยว่า ถ้าอย่างนั้น เราใช้ซิลิโคนมาบีบดีมั้ย อันนี้เราก็คิดในแง่สนุกสนานให้เราไม่เครียดไง ผมเป็นคนอย่างนี้แหละ ก็พูดติดตลกอะไรไป เพื่อให้ตัวเองชื่นบาน บางคนคิดว่าเราทะลึ่งตึงตังลามกจกเปรตไป เราก็ต้องขออภัยไว้ก่อน แต่เผอิญว่าเราเป็นคนแบบนี้จริงๆ เราก็ไม่ค่อยอยากจะปิดบังนิสัยเรา เราอาจจะเป็นคนหื่น ๆ ก็ได้ ใครจะรู้ เห็นเราไปศึกษาธรรมะ เพราะว่า ณ ตอนนั้นเราอยากรู้ไง แต่เราคุยทะลึ่งกับเพื่อนฝูงเราก็ทะลึ่งไง เราเป็นคนไม่ค่อยปิดบังตัวเองตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
แม้จะกลับมาเล่นเฟซบุ๊กหลังจากห่างหายไปกว่าสองปี แต่คุณสมิทธิ์ก็ออกตัวไว้เช่นกันว่าอาจจะต้องห่างหายไปอีก เพราะคิดว่าใช้เวลากับโลกโซเชียลมากเกินไป “ณ วันนั้นที่เขียนว่าลาในเฟซบุ๊ก เพราะมีความรู้สึกว่าถึงเวลาแล้ว เพราะเราเล่นเฟซบุ๊กมาก็ตั้งเดือนหนึ่งแล้ว เดี๋ยวกลับไปฝึกใหม่ เรามีความรู้สึกว่ามันก็ใช้เวลาไปกับโลกโซเชียลจนบางทีเยอะเกินไป ทำให้บางทีทำให้เวลาทั้งวันมันไม่มี จะบอกว่าคนป่วยแบบเรา เวลามันจะเดินช้ากว่าคนอื่น เรียกว่ามันใช้เวลาเยอะกว่าคนอื่น กว่าจะก้าว กว่าจะเดิน กว่าจะแต่งตัว อะไรเงี้ย บางวันก็ออกไปดูหนัง ผมเป็นคนชอบดูหนัง ฟังเพลง สมัยก่อนก็อาทิตย์ละ 1 วันก็จะไปดูหนัง พอมันเริ่มดีขึ้น มันเริ่มเดินได้ ก็อยากไปเดินเปิดหูเปิดตาบ้าง อยู่ห้องก็ร้อน ก็ไปเดินห้าง แล้วก็ได้ดูบรรยากาศทั่ว ๆ ไปบ้าง ไม่งั้นมันอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมมาตั้งสองปีแล้ว”
ส่วนเรื่องอาหารการกิน คุณสมิทธิ์เล่าว่าที่ผ่านมากินอยู่เหมือนพระ คือกินวันละมื้อ เหตุผลคือมีอาการอาหารไม่ย่อย “ตอนแรกเลยระบบกระเพาะระบบย่อยไม่ทำงาน กินอะไรมากไม่ได้ ก็กินแค่วันละมื้อ จริงๆ นะครับ ไม่ใช่ว่าดัดจริตจะกินวันละมื้อ แต่มันจำเป็นต้องกินวันละมื้อเพราะมันไม่ย่อยไง สองปีผมปฏิบัติตัวอย่างนี้จริง ๆ คือกินวันละมื้อ แล้วในเมื่อแขนขาเราใช้ไม่ได้ เราบวชไม่ได้ ตอนนั้นคิดอย่างนี้เลยว่า บวชไม่ได้ ก็ขอประพฤติตัวแบบพระซะหน่อยแล้วกัน บวชที่ใจเอา ก็กินมื้อเพลมื้อเดียว หลังบ่าย ๆ ไปแล้วก็อนุญาตให้ตัวเองกินได้นิดหน่อยถ้าเกิดรู้สึกหิวขึ้นมา แต่หลังหกโมงเย็นจะไม่กิน ก็เป็นอย่างนี้มาตลอด เพราะเรื่องของเรื่องคือมันไม่ย่อย
อีกเหตุผลที่กินมื้อเดียวในแต่ละวัน ก็คือ….. “เรื่องที่สองคือมันไม่มีตังค์ เพราะเราไม่ได้ทำงาน กินมื้อเดียวก็ประหยัดดี จริงๆ นะผมไม่เคยใช้เงินแบบนี้มาก่อน ผมมีความรู้สึกว่า ทำไมเราใช้ได้ ทำไมเราอยู่ได้ วันละ 100 บาท วันละ 50 บาท ซึ่งแต่ก่อนนี้โอ้โห สังคมสารพัด ออกไปเที่ยวกลางคืน ออกไปหาเพื่อนฝูงนักดนตรี แต่เราทำงานมาได้ เราก็ใช้ไป ไม่ได้คิดอะไรมาก พอมาอยู่จริงๆ โห วันละ 50 บาทก็อยู่ได้เว้ย ก็อยู่ไปทุกวัน กินข้าวแค่มื้อเดียว”
“ผมไม่มีรายรับ ผมไม่มีรายได้ พูดตรงๆ ว่าผมก็อาศัยเงินจากพ่อแม่พี่น้องพันธมิตรเขาบริจาคให้ตั้งแต่เข้าโรงพยาบาล ผมก็ค่อย ๆ ใช้ทีละเล็กทีละน้อย วันละ 50 บาท มันจะไปหมดอะไรเร็ว แต่ผมไม่ได้ได้เงินเยอะอะไรขนาดนั้นนะ ไม่กี่แสนหรอกตอนที่เข้าโรงพยาบาลแรก ๆ มันได้มาแค่แสนสองแสนอะไรงี้เอง มันไม่ได้เป็นล้าน ผมก็ใช้ตรงนั้นทีละเล็กละน้อย เผอิญว่าผมโชคดีจริง ๆ ที่ว่ายังมีญาติ ๆ ทางฝ่ายคุณแม่ คือป้าลูกพี่ลูกน้อง เขาก็ยังถามว่าเป็นยังไงบ้าง เขาก็ช่วยออกค่าอพาร์ตเมนต์ให้ เขาก็ยังพอส่งสตางค์ให้ผมสามพันสี่พันอะไรเงี้ย ผมไม่มีรายรับอะไร แต่ก็พออยู่ได้”
“ส่วนงานเพลงผมก็ยังพยายามจะกลับมาทำอยู่นะ แต่จะอธิบายยังไงให้คนเข้าใจกระบวนการทำเพลง ผมกำลังพยายามอยู่นั่นแหละที่จะกลับมาทำงานเพลงให้ได้ ทีนี้ผมมีวิธีคิดอยู่ว่า ผมอาจจะรับงานมา แล้วผมโปรดิวซ์ อันนี้พอไหว เพราะว่าเดี๋ยวนี้โลกโซเชียลมันก็สื่อสารกันทางออนไลน์หมด ผมมีน้องทีมนักดนตรี หรือทีมเพื่อน ๆ ผมคอยทำดนตรี ผมอาจจะยังเล่นเปียโนเองไม่ได้ เราก็สามารถจะคุยกับเพื่อนเราได้ออนไลน์ แต่ถ้าให้เล่นเอง มันยังเล่นไม่ได้แน่ ๆ แต่ว่าล่าสุดภูมิใจมาก ไปติดซีรีย์หนังจีน เขาแปลเป็นไทยดีมาก ผมชอบเรื่องมังกรหยก ผมก็เลยขอเพลงเขามา ขอคำแปลเขามา แล้วผมก็เอาไปให้น้องผมร้องให้ แล้วก็ไปส่งให้เขา ที่ทำอย่างนี้ไม่ใช่อะไร ทำเพราะว่า หนึ่ง อยากจะทดสอบตัวเองว่า ถ้าเราทำงานกันแบบนี้ โดยวิธีส่งงานกันแบบนี้ จะเวิร์คจริงมั้ย อย่างที่สองคือ ผมมีความรู้สึกว่าผมได้รับความบันเทิงจากช่องของเขา แปลหนังเรื่องนี้มาให้เราดู ผมก็ลองทำอะไรของผมดูนี่แหละ แล้วเพลงก็เพราะด้วยแหละ เดี๋ยวคอยตาม ๆ ละกัน ผมก็ส่งเพลงลงในเฟซบุ๊กผมนั่นแหละ ได้ดูกันยังล่ะ มังกรหยกปีล่าสุดเลย 2017 สนุกดีนะ”
เมื่อเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นจากอาการของคุณสมิทธิ์ก็อดดีใจด้วยไม่ได้ เมื่อถามถึงเป้าหมายที่อยากจะทำต่อไปหลังจากนี้ คุณสมิทธิ์เล่าว่าอยากจะกลับมาเล่นเปียโนให้ได้อีกครั้ง “สิ่งที่คิดจะทำหลังจากนี้ไป เอาชัด ๆ เป้าหมายคือผมอยากจะกลับมาเล่นเปียโนให้ได้ก่อนเลย เพราะว่าผมมีความรู้สึกว่าชีวิตผมเนี่ย มันเริ่มต้นมาจากการเป็นนักดนตรี เรียนมาตั้งแต่ 8 ขวบ จะเรียกว่ารักมั้ย มันคือชีวิตไปแล้วน่ะ เมื่อชีวิตมันหายไป ก็ไปตามชีวิตมันกลับมา เริ่มต้นจากการกดลิ่มคีย์ให้ได้มีเสียง ผมตั้งเป้าไว้ตรงนั้น พอมันกดได้ อะไรได้ เดี๋ยวอย่างอื่นมันก็ตามมาเองนั่นแหละ ผมคิดอย่างนั้นนะ ไม่ได้คิดว่าจะต้องกลับมาร้องเพลงตอนแก่หรอก แต่ว่าให้เล่นได้ พอมันเล่นได้ มันก็อาจจะไปทำอย่างอื่นได้ เช่น ไปเล่นดนตรีบำบัดให้ผู้ป่วย หรืออะไรยังงี้ มันก็สานต่อได้เอง ขอให้เล่นได้ดนตรีให้ได้ก่อน”
คุณสมิทธิ์เขียนไว้ในเฟซบุ๊กว่า "ผมจะเป็นผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากสโตรคที่มีความสุขที่สุดในทุก ๆ วันให้ได้ครับ...แต่จริง ๆ ผมโคตรมั่นใจเลยว่า ผมหายแน่ๆ"
เมื่อถามว่าอะไรที่ทำให้สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับโรคที่ตัวเองเป็นและมั่นใจว่าจะหายและกลับมาเล่นดนตรีได้อย่างแน่นอน คุณสมิทธิ์เล่าว่า “เพราะอาการมันดีอย่างนี้แล้วเนี่ย ไม่มั่นใจก็บ้าไปแล้วล่ะ ก็เห็นนะ มือมันก็เริ่มขยับ … เมื่อมันทุกข์มากๆ แล้วไปมองแต่ทุกข์ มันก็ทุกข์ เพราะฉะนั้น ในทุกข์ก็มีสุข ในสุขก็มีทุกข์ ผมพูดเนี่ยไม่ใช่ว่าผมฝึกมาเยอะอะไรหรอก หนังสือเล่มนี้ทั้งนั้นแหละ “จุดตะเกียงดีกว่าด่าความมืด” ของ อ.วรภัทร ภู่เจริญ ผมก็อ่านของผมไป ทำไมเราต้องไปมองแต่ความมืดล่ะ เราก็มองตะเกียง อย่างที่บอกแหละ ไปมองทุกข์มาก ๆ มันก็ทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านก็เห็นทุกข์ใช่มั้ย ท่านถึงค้นพบไอ้นู่นไอ้นี่ อันนี้เราก็แปลอะไรที่มันเป็นประโยชน์ต่อตัวเราทั้งนั้น มาใช้เป็นกำลังใจ”
“สุดท้ายผมก็อยากจะบอกว่าทุกคน ก็อยากจะให้พยายามด้วยตัวเองให้มากที่สุด แล้วก็ทุก ๆ อย่างมันมีเส้นทาง เส้นกลางของมัน ของผมบางทีมันสุดโต่งไปน่ะครับ อะไรที่คิดว่าดี ท่านก็เอาไปใช้ อะไรที่คิดว่ามันใช้ไม่ได้ ท่านก็ไม่ต้องใช้ แค่นั้นเองครับ ทุกเรื่องเลยนะ ผมว่าทุกๆ เรื่อง อะไรใช้ได้ก็เอาไปใช้ครับ ค่อย ๆ ทำไปเรื่อย ๆ เมื่อยก็หยุด แต่ขอให้ทำ เอดิสันยังบอกว่าทดลองมาตั้งร้อยครั้งยังล้มเหลว มีสักครั้งหนึ่งสำเร็จ มันก็สำเร็จอะเนอะ ผมคิดอย่างนี้แหละ”
หวังว่าเรื่องราวของผู้ชายคนนี้ “สมิทธิ์ บัณฑิตย์” จะเป็นกำลังใจ เป็นแรงบันดาลใจ ให้กับใครอีกหลาย ๆ คน ให้คิดบวกเข้าไว้ แล้วสู้ชีวิตต่อไป
อ่านข่าวประกอบ - แพทย์เผย “สมิทธิ์” เส้นเลือดสมองตีบเป็นอัมพฤกษ์ซีกซ้าย เร่งกายภาพบำบัด