“ชาคริต” อยากให้แม่สู้อีกนิด รับเครียดแม่ป่วยตรอมใจเข้า รพ. สมองพัฒนาไปสู่จิตสำนึกเดิมที่ไม่อยากอยู่ ไม่กลัวแม่คิดสั้น ลั่นฟุ้งซ่านจนปวดก้านสมอง ไม่พร้อมให้หมอวินิจฉัย เพราะไม่อยากรับรู้ ชี้ เป็นโรคกรรมพันธุ์ ถ้าเป็นด้วยถือว่าเป็นวิบากกรรม
ธุรกิจร้านอาหารก็เติบโต ผลงานในวงการบันเทิงก็มีให้เห็นไม่ขาด ซึ่งพระเอกหนุ่ม “ชาคริต แย้มนาม” เผยว่า สาเหตุที่ทำงานเยอะๆ เพราะไม่อยากฟุ้งซ่าน หลังคุณแม่ป่วยเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง รับสมองพัฒนาขึ้นแต่กลับดึงไปสู่จิตสำนึกเดิมที่ไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้
“ธุรกิจร้านอาหารตอนนี้ดีครับ แต่ร้านคริตเช่นตอนนี้ขอย้ายโลเกชั่นนิดหนึ่งเดี๋ยวหาทำเลดีๆ ในที่ที่คนจับต้องได้มากขึ้น เพราะเดี๋ยวนี้ค่าครองชีพมันแพง เราเองก็ไม่ได้อยากจะขายอาหารแพง เราอยากให้ทุกคนจับต้องได้ ตอนนี้ก็ขอปิดไปแป๊บหนึ่งแล้วเดี๋ยวหาที่ใหม่ลงตอนนี้ก็มองอยู่หลายที่เหมือนกัน”
“งานเยอะ ละครก็เยอะซึ่งก็ดีครับถ้าเกิดไม่มีงานก็ฟุ้งซ่าน ผมเป็นคนชอบทำงานและโชคดีที่มีงานทำตลอดก็ต้องขอบคุณผู้ใหญ่พี่ๆ เพื่อนๆ ทุกคนให้ความไว้วางใจ อย่างละครตอนนี้ก็ถ่ายอยู่ 2 เรื่อง คือมาตุภูมิแห่งหัวใจและคู่ล่าสองโลก จากนี้ยังมีเป็นต่อและทำรายการอีก 4 รายการ”
เผยต้องทำงานเยอะเพราะไม่อยากเครียด หลังแม่เข้าโรงพยาบาล กลับไปสู่จิตสำนึกเดิมที่ไม่อยากอยู่
“ทำงานเยอะมันก็ทำให้เราไม่เครียดนะครับ ช่วงสัปดาห์ก่อนคุณแม่ของผมก็กลับไปที่โรงพยาบาลอีกแล้วผมก็เครียด เพราะตัวเขาเองมีความต่อต้านหลายอย่าง เราก็ต้องเข้าใจเขาแต่ชีวิตมันต้องเดินต่อไปครับ”
“คือสุขภาพเขาโอเคหมดแต่ตอนนี้พอสมองเขาพัฒนามากขึ้นเขาก็เหมือนกลับไปสู่จิตใต้สำนึกอีก ที่เขาไม่อยากเป็นแบบนี้แหละ ที่เขาเคยบอกว่าถ้าให้เป็นแบบนี้ให้ตายเลยดีกว่า เพราะคุณแม่ไม่เคยกลัวอะไรเลยสิ่งนี้คงเป็นสิ่งเดียวที่เขากลัวที่จะเป็นมากที่สุด ทุกครั้งที่สมองเขาคิดได้เยอะมันก็จะดิ่งกลับไป ที่จิตใต้สำนึกตรงนี้ซึ่งมันก็ลำบาก แต่เราก็ต้องทำใจและทำให้ดีที่สุดในส่วนของเรา”
“แต่การจะเดินไปข้างหน้าต่อมั้ยมันอยู่ที่ตัวเขาแต่ทุกคนก็คอยเป็นกำลังใจให้เขาอยู่ตลอด เราอยากให้เขาสู้อีกหน่อยที่กลับมาถึงจุดนี้ได้นั่นหมายถึงมันสามารถหายได้ เขาเองก็เหมือนท้อไม่กินข้าว ไม่กินยาเหมือนจะตรอมใจแล้วก็ไปซะยังงั้น เราก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นแต่เราก็ต้องคอยลุ้น มีอะไรให้ลุ้นทุกวันแต่ตอนนี้คุณแม่เพิ่งกลับมาพักที่บ้านได้ หลังจากไปพักที่โรงบาลเป็นอาทิตย์ ร่างกายของเขาตอนนี้มันกลับมาดีทั้งหมดแต่มันติดอยู่ที่ตัวเขาเองซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุดและเขาเป็นคนที่เวลาตัดสินใจแล้วเด็ดขาด เวลาคิดจะทำอะไรเราก็ทำซึ่งเป็นสิ่งที่เรายังรับไม่ได้ มันยังมีเวลาอีกเยอะเรายังไม่เห็นความจำเป็นว่าเขาต้องไปตอนนี้ แต่คงไม่ถึงขนาดคิดสั้น อย่างที่บอกว่ามันอยู่ในจิตใต้สำนึกของเขาอยู่แล้วเพราะที่บ้านก็เป็นกันเพราะเป็นโรคกรรมพันธุ์"
ปวดก้านสมอง ไม่พร้อมให้หมอวินิจฉัยเพราะไม่อยากรับรู้
“ก็ต้องทำงานแหละครับ นี่ก็ปวดก้านประสาทมาหลายวันแล้ว แต่เราก็ตรวจสุขภาพเช็กร่างกายปกติแต่ยังไม่ได้มีการวินิจฉัยเฉพาะอะไรขนาดนั้นเพราะตอนนี้ยังไม่อยากรู้อะไร ถามว่าผมกลัวจะเป็นเหมือนแม่มั้ยผมไม่กลัวหรอกครับถ้าเป็นมันก็คงเป็นวิบากกรรม”
หวิดน็อก ต้องจ้างพยาบาลช่วยดูแล รับไม่ได้คุย “วุ้นเส้น วิริฒิพา ภักดีประสงค์” เมียเก่าแล้ว
“ก็มีคนดูแลครับ เพราะเราเองก็ทำงานเยอะการจะเอาตัวเราไปอยู่กับเขาตลอดเวลาเลยมันก็เป็นไปไม่ได้ เราก็พยายามไปหาเขาแต่เขาก็มีพยาบาลที่คอยดูแลอยู่แล้ว เรียกว่าเป็นอาการที่คนรอบข้างก็ต้องระวังตัวเองไปด้วย เพราะมันค่อนข้างเซ้นซิทีฟ ทุกก้าวเดินของเขามันต้องระมัดระวังตลอด เราก็เครียดนะ เพราะมันวางตัวยาก บางวันเราคิดว่าจะทำงานเสร็จไวจะรีบกลับไปหาเขาแต่ก็ดันเสร็จช้าก็โทษตัวเอง แต่เราก็ต้องมาบอกตัวเองว่าบางวันเราก็ต้องพักบ้าง เพราะบางครั้งร่างกายเรามันก็โอเวอร์โหลดไปแล้วทำให้เราน็อก มันก็ยากที่จะต้องยอมรับว่าเราก็ต้องทำให้ดีที่สุด เมื่อมีเวลาให้เขาเราก็ให้เขา เมื่อถึงเวลาทำงานแล้วก็ต้องทำงานถ้าเราไม่ทำก็ไม่มีใครดูแล ต้องทำให้ดีที่สุด”
“ตอนนี้ไม่ได้คิดนะครับเพราะผมอยู่กับเพื่อนก็โอเค เราก็ทำงานทุกวันไม่ได้มีใครเข้ามาพูดคุยอะไรมากมาย (วุ้นเส้น วิริฒิพาถามไถ่อาการคุณแม่บ้างมั้ย?)ไม่มีครับไม่ได้ถามแล้วก็ไม่ได้คุยครับ”