4 ปีผ่านไป ไวเหมือนโกหก ... คำพูดนี้ แม้จะพูดกันจนเกร่อ แต่ก็อธิบายความรู้สึกที่มีต่อหนังเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะรสชาติความสนุกของภาคแรก เหมือนว่าเพิ่งผ่านไปไม่นาน และถึงจะผ่านไปแล้ว แต่เชื่อว่าหลายๆ ท่าน ยังคงจดจำความสนุกสนานของเรื่องราวเหล่าพิทักษ์จักรวาล “ประหลาดๆ” ที่สร้างความประทับอกประทับใจให้กับคนดูผู้ชมแบบที่เรียกได้ว่า มีคะแนนเป็นเอกฉันท์
จำได้ว่า เมื่อปี 2104 ตอนที่เห็นรูปลักษณ์หน้าตาของเหล่าฮีโร่พิทักษ์จักรวาลแรกๆ หลายคนก็คงรู้สึกแปลกๆ และคิดว่า มันจะไปทรงไหนนะ หรือหนักสุดๆ ก็คือ “จะรอดไหม” เพราะก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่า มาร์เวลจะประสบความสำเร็จมากๆ กับพวกฮีโร่หน้าตาหล่อๆ เท่ๆ ทั้งไออ้อนแมน กัปตันอเมริกา เทพเจ้าธอร์ หรือแม้แต่สาวสวยทรงเสน่ห์อย่างแบล็กวิโดว์ ฯ คำถามก็คือ แล้วพวกตัวประหลาดๆ เหล่านี้ มันจะมาไม้ไหน?
แต่คำถามและความสงสัยก็ได้รับการคลี่คลายไปเป็นที่เรียบร้อยในปีนั้น และเป็นการยืนยันว่า “ของแปลก” “ของประหลาด” ก็เป็นที่รักได้เช่นกัน
เสน่ห์อันเหลือร้ายของหนังเรื่องนี้อยู่ที่อารมณ์ขันหรือความตลกชนิดที่เหนือความคาดหมายไปไกลมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพราะความที่ไม่ต้องเก๊กหล่อเก๊กสวยแบบฮีโร่เรื่องอื่นๆ ดังนั้นแล้ว หากจะทำอะไรรั่วๆ หลุดๆ เพื่อสร้างพลังความตลกขบขัน ก็เป็นสิ่งที่ทำได้โดยง่าย คำว่า “ฮีรั่ว” จึงเดินเคียงข้างมากับคำว่า “ฮีโร่” แบบระยะประชิด เมื่อเอ่ยถึงสมาชิกพิทักษ์จักรวาลสายพันธุ์นี้
ในภาคที่ 2 ภารกิจพิทักษ์จักรวาลได้รับการสานต่อแบบยิ่งใหญ่กว่าเดิม และถ้าล้มเหลว นั่นก็หมายถึงความเปลี่ยนแปลงที่ยากจะยอมรับได้ ภารกิจนี้ดำเนินไปควบคู่กับการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ของ “สตาร์ลอร์ด” ที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาเพียรค้นหาว่า บิดาบังเกิดเกล้าของเขานั้นเป็นใคร กระทั่งภาคนี้ได้มาพบ สิ่งที่ดูเหมือนจะต้องจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง เพราะเจอบุพการี ครอบครัวเจอกัน สุขสันต์หรรษา แต่การณ์จะเป็นเช่นนั้นจริงไหม ระยะเวลา 135 -136 นาทีของหนัง จะค่อยๆ เผยปริศนาที่ยากจะหยั่งถึง
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งซึ่งเป็นแกนหลักของเรื่อง เพราะอันที่จริง หนังยังมีแง่มุมอีกมากมายให้เราติดตาม เรียกว่าทุกบทบาทตัวละคร ต่างก็มีเรื่องราวแยกย่อยเป็นของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น “กาโมร่า” ที่ไม่เพียงจะมีเรื่องรักหรือความสัมพันธ์กับสตาร์ลอร์ดเป็นเหมือนสปอตไลท์ฉายเด่นให้เห็นเป็นพักๆ หากแต่ยังมีพล็อตรองที่เกี่ยวข้องกับ “เนบิวล่า” ที่เปรียบเสมือนหนึ่งพี่น้องซึ่งชิงดีชิงเด่นกันมาตั้งแต่เล็กจนโต
ขณะที่เรื่องราวของแร็คคูนอย่าง “ร็อกเก็ต” มีบาดแผลที่ถูกเผยจนนำไปสู่ความรู้สึกถึงการมีเพื่อนใหม่ เนื้อหาในส่วนของ “แดร็กซ์” ก็เหมือนจะฉายแววแห่งความหวานของความรักขณะที่ความเจ็บปวดแต่หลังยังตามติดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เด็ดขาดก็คือ เจ้าเบบี้กรู๊ทตัวน้อยที่มากับความฮาแบบน่ารัก ไร้เดียงสาเพราะความเป็นเด็ก ฉากที่ถูกใช้ให้ไปเอาหงอนบนหัวของ “ยอนดู” นั้น จะเป็นอีกฉากที่อยู่ในความทรงจำอย่างไม่ต้องสงสัย หรือไม่ต้องอะไรมาก คำพูดประโยคเดียวที่ว่า “ไอ แอม กรู๊ท” นี่ล่ะ จะเป็นคำระดับตำนานที่เราจำได้เมื่อนึกถึงหนังเรื่องนี้และตัวละครตัวนี้
สรุปโดยรวมแล้ว ผมเห็นว่า ในภาคส่วนของเนื้อหา มีความเข้มข้นดีงาม ไม่แพ้ความตลกขบขัน ถือว่าเป็นหนังที่ครบรส ดูแล้วได้ทั้งความบันเทิง และมุมมอง ความซึ้ง
ปี 2560 ยังอีกหลายเดือน แต่ตอนนี้ก็ติ๊กชื่อ “การ์เดี้ยนส์ อ๊อฟ เดอะ แกแล็คซี่” ไว้ในตำแหน่ง “หนังดีๆ ที่น่าจดจำ” อีกหนึ่งเรื่องของปีนี้ไว้ได้เลย