ค่าตัวหลักล้านอาจจะเป็นเรื่องธรรมดาๆ ของฮอลลีวูด แต่ความจริงแล้วมีนักแสดงแค่หยิบมือที่ได้รับเงินค่าจ้างต่อการเล่นหนังหนึ่งเรื่องระดับนั้น ซึ่งนี่คือ 10 นักแสดงดังที่ได้เงินน้อยอย่างเหลือเชื่อ จากบทบาทการแสดงที่โด่งดังของพวกเขา และเธอ
บางคนเลือกลดค่าตัวเพื่อหาโอกาสก้าวหน้า, บางคนยอมรับเงินระดับขั้นต่ำตามมาตรฐานเพื่อช่วยเหลือคนทำหนัง และบางคนก็ต้องจำใจรับค่าตัวน้อยนิด เพราะเป็นหนังเรื่องแรกๆ ตั้งแต่ยังไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรเลย
เจมี ดอร์แนน – 250,000 จาก Fifty Shades of Grey
นิยายเรื่อง Fifty Shades of Grey ขายดี และโด่งดังถล่มทลายอยู่แล้ว จนผู้สร้างภาพยนตร์เชื่อว่าเมื่อหยิบหนังสือเล่มนี้มาสร้างเป็นหนัง ก็ไม่จำเป็นต้องทุ่มเงินจ้างดาราชื่อดังให้มารับบทคู่พระนางแต่อย่างใด
โดยตอนแรกทาง Sony ได้ว่าจ้างให้ ชาร์ลี ฮุนนัม แต่สุดท้ายแม้จะปรากาศอย่างเป็นทางการแล้ว ฮุนนัม ก็กลับถอนตัวจากหนังเรื่องนี้ไป เพราะติดถ่ายทำซีรีส์เรื่องหนึ่งอยู่พอดี จึงมีการดึงตัวนักแสดงหนุ่ม เจมี ดอร์แนน ซึ่งแทบไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างเลยให้มารับบทนี้แทน
ข่าวบอกว่า ดอร์แนน ได้รับค่าตัวจากหนังไปแค่ 250,000 เหรียญฯ เท่านั้น พร้อมโอกาสหากหนังได้ทำเงิน และได้สร้างภาคต่อ ดอร์แนน กับสาว ดาโกตา จอห์นสัน ที่แสดงด้วยกันก็จะสามารถเรียกได้ค่าเพิ่มขึ้นได้อีกมหาศาล ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะทั้งคู่จะได้รับค่าตัว 7 หลักจาก Fifty Shades of Dark หลัง Fifty Shades of Grey กวาดเงินไป 520 ล้านเหรียญฯ
ฮิลารี สแวงค์ รับ 3,000 เหรียญฯ จาก Boys Don't Cry
ฮิลารี สแวงค์ เป็นที่รู้จักจากหนังเด็กเรื่อง The Next Karate Kid และก็คงจะมีชะตากรรมเหมือนดาราวัยรุ่นหลายๆ คนที่หายหน้าหายตาไปเมื่อโตขึ้น
แต่การตัดสินใจเล่นหนังคนข้ามเพศเรื่อง Boys Don't Cry คว้ารางวัลออสการ์ได้อย่างเหลือเชื่อ และกลายเป็นดาราขายฝีมือที่มีงานมาจนถึงปัจจุบัน แต่ สแวงค์ กลับได้ค่าตัวจาก Boys Don't Cry แค่วันละ 75 เหรียญฯ เมื่อหนังปิดกล้องก็ได้เงินเพิ่มไปอีกนิดหน่อยรวมแล้วเป็น 3,000 เหรียญฯ ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับทุน 2 ล้านเหรียญฯ และรายได้รวม 11 ล้านเหรียญฯ
โดยเธอให้สัมภาษณ์หลังจากนั้นว่าตอนนั้นเธอมีงานไม่มากนัก ค่าตัวจากหนัง Boys Don't Cry ก็ยังไม่พอสำหรับการทำประกันสังคมเลย แน่นอนว่า Boys Don't Cry เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของ สแวงค์ แต่เธอก็ยังยืนยันว่าตนเอง และนักแสดงหญิงจำนวนมาก ได้รับค่าตัวน้อยเกินไป และน้อยกว่านักแสดงชายอย่างชัดเจน
แม็ตทิว แม็คคอนาเฮย์ รับ 200,000 เหรียญฯ จาก Dallas Buyers Club
แม็ตธิว แม็คคอนาเฮย์ เป็นหนุ่มหล่อจากยุค 90s ที่มีผลงานเด่นๆ ในหนังแอ็กชั่น และตลกโรแมนติก อาจจะไม่เคยดังเป็นพลุแตก แต่ก็มีค่าตัวระดับเกิน 10 ล้านเหรียญฯ มานาน
โดยผู้สร้างหนัง Magnum P.I. ที่ดัดแปลงมาจากซีรีส์สุดฮิต เคยเจรจาให้ แม็คคอนาเฮย์ มารับบทนำในหนังเรื่องนี้ด้วยค่าตัว 15 ล้านเหรียญฯ แต่เขาเลือกที่จะปฏิเสธ และหันไปรับเงินแค่ 200,000 เหรียญฯ ในการแสดงเป็นผู้ติดเชื้อ HIV ในหนัง Dallas Buyers Club แทน หนังเรื่องนี้ยังใช้เวลาเตรียมถ่ายทำนาน จน แม็คคอนาเฮย์ ต้องให้เวลากัขั้นตอนต่างๆ ของ Dallas Buyers Club นานถึง 3 ปี
แต่ท้ายที่สุดผลที่ออกมาก็ไม่เลวเลยจริงๆ หนังคว้า 2 รางวัลด้านการแสดงของออสการ์ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือรางวัลนักแสดงนำชายของ แม็คคอนาเฮย์ นั่นเอง
โอปราห์ วินฟรีย์ รับ 35,000 เหรียญฯ จาก The Color Purple
หนึ่งในสตรีที่รวยที่สุดในโลก เคยรับค่าตัวแค่ 35,000 เหรียญฯ ในการรับบทเป็นหญิงผิวดำที่ถูกทารุณกรรมในหนัง The Color Purple ของ สตีเวน สปีลเบิร์ก โดยตอนนั้น โอปราห์ ยังไม่ได้ทรงอิทธิพล, มีชื่อเสียง และมีรายได้มหาศาลอย่างในปัจจุบันซึ่งว่ากันว่าเธอมีทรัพย์สินประมาณ 3,000 ล้านเหรียญฯ แต่การตัดสินใจรับบทในหนัง The Color Purple ก็ถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะแม้ค่าตัวจะไม่ได้สูงอะไร แต่ก็ทำให้ โอปราห์ ได้ชื่อว่าครั้งหนึ่งเคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์
คริส อีแวนส์ รับ 300,000 เหรียญฯ จาก Captain America
Marvel ใช้เวลาคัดเลือกผู้ที่จะมารับบทเป็น "กัปตันอเมริกา" อยู่ค่อนข้างนาน มีชื่อนักแสดงเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย จนสุดท้ายมาลงตัวที่ คริส อีแวนส์ ที่เคยสวมชุดรัดรูปเป็น "ฮิวแมนทอร์ช" ใน Fantastic Four มาแล้ว
อีแวนส์ ถือว่ามีชื่อเสียงอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วพอสมควร จนหลายคนแทบไม่เชื่อว่าเขาจะได้รับค่าตัวจากการแสดงเป็น "กัปตัน" ครั้งแรกใน Captain America: The First Avengers ไปแค่ 300,000 เหรียญฯ เท่านั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของนักแสดงในหนังของ Marvel ที่จะได้ค่าตัวในหนังเรื่องแรกค่อนข้างน้อย แต่จะได้เซ็นสัญญาระยะยาว และจะได้ค่าตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามชื่อเสียงที่เพิ่มมากขึ้น
แต่หลายฝ่ายก็คิดว่า อีแวนส์ ได้ค่าตัวจากหนังเรื่องนี้น้อยเกินไปอยู่ดี โดยต่อมาเขาได้รับเงิน 2.5 ล้านเหรียญฯ จากบทใน The Avengers น้อยกว่าที่ สการ์เล็ต โจแฮนสัน ได้รับประมาณครึ่งหนึ่ง และน้อยเป็น 1 ใน 20 ของ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ดาวเด่นของ The Avengers ที่รับเงินไปแบบเต็มๆ 50 ล้านเหรียญฯ จากหนังรวมตัวซูเปอร์ฮีโร่ภาคแรก
บาร์กฮัด อับดี รับ 65,000 เหรียญฯ จาก Captain Phillips
ผู้อพยพชาวโซมาเลีย บาร์กฮัด อับดี ได้รับเลือกให้แสดงบทเด่นเป็นโจรสลัดในหนัง Captain Phillips ของ พอล กรีนกราสส์ ที่ใช้ทุนสร้างประมาณ 55 ล้านเหรียญฯ และทำรายได้ทั่วโลกไป 218 ล้านเหรียญฯ แต่แม้จะได้รับบทเด่นเรียกว่าเป็นนักแสดงนำอีกคนของเรื่อง อับดี กลับได้รับค่าตัวแค่ 65,000 เหรียญฯ น้อยกว่า ทอม แฮงค์ ที่แสดงคู่กันแบบเปรียบเทียบกันไม่ได้
โดยตามข้อมูลแล้วตามมาตรฐานของสมาชิกนักแสดงนั้น อับดี ที่เป็นนักแสดงหน้าใหม่เพิ่งมีงานเรื่องแรกต้องได้รับค่าตัวจากหนังทุนสร้างระดับนี้ 60,000 เหรียญฯ ขึ้นไป ซึ่งผู้สร้างก็เพิ่มให้เขาอีกนิดหน่อย ซึ่งก็ยังถือว่าน้อยมาก แม้ อับดี ที่กลายเป็นดาราดังระดับโลก ยังต้องมีปัญหาทางการเงินอยู่ต่อไป ต้อนไปลุ้นรางวัลออสการ์ที่เขาได้ชิงในสาขานักแสดงสมทบ อับดี ต้องเช่าสูทไปเอง และพักอยู่กับเพื่อนสนิท แทนที่จะเป็นโรงแรมหรูๆ อย่างดาราที่มาลุ้นออสการ์คนอื่นๆ
ลินด์ซีย์ โลฮาน รับ 2,300 เหรียญฯ จาก The Canyons
ลินด์ซีย์ โลฮาน หวังว่าหนังอินดี The Canyons ผลงานการเขียนขทของ เบร็ต อีสตัน เอลลิส จะช่วยส่งให้เธอกลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง อาจจะได้ชิงรางวัลในเทศกาลภาพยนตร์ และได้รับข้อเสนอในหนังเรื่องใหม่ หลังมีแต่ข่าวฉาวจนชื่อเสียงที่กำลังมาดีๆ แทบจะดิ่งลงเหว
โดย โลฮาน ยอมรับค่าตัวระดับขั้นต่ำของวงการแค่ 100 เหรียญฯ ต่อวัน รวมแล้วเบ็ดเสร็จได้เงินไป 2,300 เหรียญฯ จากการทำงาน 23 วัน แต่สุดท้ายหนังก็ล้มเหลวทั้งเรื่องรายได้ และกระแสวิจารณ์ ถึง โลฮาน จะได้ค่าตัวที่แทบจะเรียกว่าเป็นเศษเงินหากเทียบกับสมัยเธอรุ่งสุดๆ แต่คนที่ช้ำกว่าก็คือผู้สร้าง
โจนาห์ ฮิลล์ รับ 60,000 เหรียญฯ จาก The Wolf Of Wall Street
โจนาห์ ฮิลล์ อยากจะลบภาพตัวตลกหุ่นตุ้ยนุ้ยจากหนังวัยรุ่น Superbad ใจจะขาด และคงไม่มีโอกาสไหนจะดีกว่าการได้เล่นหนังของ มาร์ติน สกอร์เซซี อย่าง The Wolf of Wall Street แม้เขาจะได้ค่าตัวแค่ 60,000 เหรียญฯ เท่านั้นก็ตาม น้อยกว่านักแสดงนำอย่าง ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ที่ได้รับเงินแบบเต็มๆ ไป 10 ล้านเหรียญฯ แต่ ฮิลล์ ก็พิสูจน์ว่าเขาตัดสินใจถูก เพราะเขาได้ชิงออสการ์จากหนังเรื่องนี้ และกลายเป็นนักแสดงเต็มตัว ไม่ใช่แค่ตัวตลกปล่อยมุขในหนังฮาๆ อีกต่อไป
แบรด พิตต์ รับ 6,000 เหรียญฯ จาก Thelma & Louise
เมื่อเกือบ 30 ปีก่อน แบรด พิตต์ เคยมีรูมเมตเป็นนักแสดงที่ชื่อว่า นิโคลาส คัลล์เซน ทั้งสองได้รับเลือกให้ไปออดิชั่นบทสมทบในหนังเรื่องหนึ่ง แต่ในวันสำคัญนั้น คิลล์เซน กลับตื่นสายจึงพลาดโอกาสดังกล่าวไปอย่างน่าเสียดาย ขณะที่ พิตต์ ได้บทในหนังซึ่งก็คือเรื่อง Thelma & Louise ไปในที่สุด
บทตัวประกอบสร้างสีสันบทนี้ยังถือว่าทำให้ พิตต์ เป็นที่รู้จักขึ้นมาอย่างเป็นทางการ และเป็นบันไดขั้นแรกของเส้นทางซูเปอร์สตาร์ของเขาเลยก็ว่าได้แม้จะได้ค่าตัวจากบทนี้แค่ 6,000 เหรียญฯ แต่ก็เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของ พิตต์ ขณะที่ คัลล์เซน ไม่เคยได้แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในวงการภาพยนตร์ และเสียชีวิตลงด้วยวัย 48 ปี เมื่อปี 2015 ด้วยสาเหตุซึ่งเชื่อกันว่าเป็นการเสพยาเกินขนาด ระหว่างเดินทางมาเมืองไทย
บิล เมอร์เรย์ รับ 9,000 เหรียญฯ แต่ควักกระเป๋า 66,000 เหรียญฯ ช่วยเหลือกองถ่าย Rushmore
เมื่อหลายปีก่อนเอเยนต์ส่วนตัวของ บิล เมอร์เรย์ แนะนำให้เขาอ่านบทหนังรื่อง Rushmore ของคนทำหนังหน้าใหม่โนเนมที่ชื่อว่า เวส แอนเดอร์สัน ที่เพิ่งจะแจ้งเกิดจากหนังเล็กๆ เรื่อง Bottle Rocket โดยตัวของ แอนเดอร์สัน ที่ทั้งไร้ประสบการณ์ และไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้างก็ทำใจล่วงหน้าเอาไว้แล้วว่า เมอร์เรย์ คงไม่รับแสดงหนังเรื่องนี้แน่ แม้เขาจะเขียนบทตัวละครนี้โดยคิดถึง เมอร์เรย์ มาตลอดก็ตาม
แต่สุดท้าย เมอร์เรย์ ที่ว่ากันว่าเจ้าอารมณ์ ทำอะไรตามใจ จนมีปัญหาส่วนตัวกับเพื่อนร่วมงานเสมอ ถึงขั้นที่ แดน แอครอยด์ ตั้งฉายาให้ว่าเป็น "เมอริเคน" กลับตัดสินใจรับงานแสดงหนังเรื่อง Rushmore ด้วยค่าตัวต่ำสุดตามมาตรฐานของสมาคมนักแสดงที่ 9,000 เหรียญฯ ไม่เท่านั้นเมื่อ Disney นายทุนใหญ่สั่งตัดงบ จน แอนเดอร์สัน ไม่สามารถเช่าเฮลีคอปเตอร์มาถ่ายทำฉากสำคัญได้ เมอร์เรย์ ก็ควักกระเป๋าช่วยค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปถึง 75,000 เหรียญฯ จนพูดได้ว่าเขาขาดทุนจากการเล่นหนังเรื่อง Rushmore ไปถึง 66,000 เหรียญฯ
สุดท้าย Rushmore ทำให้ เวส แอนเดอร์สัน กลายเป็นยอดผู้กำกับดาวรุ่งแห่งยุค และประสบความสำเร็จต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และ เมอร์เรย์ ก็แทบจะปรากฏตัวในหนังของ แอนเดอร์สัน ทุกเรื่องหลังจากนั้น
บางคนเลือกลดค่าตัวเพื่อหาโอกาสก้าวหน้า, บางคนยอมรับเงินระดับขั้นต่ำตามมาตรฐานเพื่อช่วยเหลือคนทำหนัง และบางคนก็ต้องจำใจรับค่าตัวน้อยนิด เพราะเป็นหนังเรื่องแรกๆ ตั้งแต่ยังไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรเลย
เจมี ดอร์แนน – 250,000 จาก Fifty Shades of Grey
นิยายเรื่อง Fifty Shades of Grey ขายดี และโด่งดังถล่มทลายอยู่แล้ว จนผู้สร้างภาพยนตร์เชื่อว่าเมื่อหยิบหนังสือเล่มนี้มาสร้างเป็นหนัง ก็ไม่จำเป็นต้องทุ่มเงินจ้างดาราชื่อดังให้มารับบทคู่พระนางแต่อย่างใด
โดยตอนแรกทาง Sony ได้ว่าจ้างให้ ชาร์ลี ฮุนนัม แต่สุดท้ายแม้จะปรากาศอย่างเป็นทางการแล้ว ฮุนนัม ก็กลับถอนตัวจากหนังเรื่องนี้ไป เพราะติดถ่ายทำซีรีส์เรื่องหนึ่งอยู่พอดี จึงมีการดึงตัวนักแสดงหนุ่ม เจมี ดอร์แนน ซึ่งแทบไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างเลยให้มารับบทนี้แทน
ข่าวบอกว่า ดอร์แนน ได้รับค่าตัวจากหนังไปแค่ 250,000 เหรียญฯ เท่านั้น พร้อมโอกาสหากหนังได้ทำเงิน และได้สร้างภาคต่อ ดอร์แนน กับสาว ดาโกตา จอห์นสัน ที่แสดงด้วยกันก็จะสามารถเรียกได้ค่าเพิ่มขึ้นได้อีกมหาศาล ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะทั้งคู่จะได้รับค่าตัว 7 หลักจาก Fifty Shades of Dark หลัง Fifty Shades of Grey กวาดเงินไป 520 ล้านเหรียญฯ
ฮิลารี สแวงค์ รับ 3,000 เหรียญฯ จาก Boys Don't Cry
ฮิลารี สแวงค์ เป็นที่รู้จักจากหนังเด็กเรื่อง The Next Karate Kid และก็คงจะมีชะตากรรมเหมือนดาราวัยรุ่นหลายๆ คนที่หายหน้าหายตาไปเมื่อโตขึ้น
แต่การตัดสินใจเล่นหนังคนข้ามเพศเรื่อง Boys Don't Cry คว้ารางวัลออสการ์ได้อย่างเหลือเชื่อ และกลายเป็นดาราขายฝีมือที่มีงานมาจนถึงปัจจุบัน แต่ สแวงค์ กลับได้ค่าตัวจาก Boys Don't Cry แค่วันละ 75 เหรียญฯ เมื่อหนังปิดกล้องก็ได้เงินเพิ่มไปอีกนิดหน่อยรวมแล้วเป็น 3,000 เหรียญฯ ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับทุน 2 ล้านเหรียญฯ และรายได้รวม 11 ล้านเหรียญฯ
โดยเธอให้สัมภาษณ์หลังจากนั้นว่าตอนนั้นเธอมีงานไม่มากนัก ค่าตัวจากหนัง Boys Don't Cry ก็ยังไม่พอสำหรับการทำประกันสังคมเลย แน่นอนว่า Boys Don't Cry เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของ สแวงค์ แต่เธอก็ยังยืนยันว่าตนเอง และนักแสดงหญิงจำนวนมาก ได้รับค่าตัวน้อยเกินไป และน้อยกว่านักแสดงชายอย่างชัดเจน
แม็ตทิว แม็คคอนาเฮย์ รับ 200,000 เหรียญฯ จาก Dallas Buyers Club
แม็ตธิว แม็คคอนาเฮย์ เป็นหนุ่มหล่อจากยุค 90s ที่มีผลงานเด่นๆ ในหนังแอ็กชั่น และตลกโรแมนติก อาจจะไม่เคยดังเป็นพลุแตก แต่ก็มีค่าตัวระดับเกิน 10 ล้านเหรียญฯ มานาน
โดยผู้สร้างหนัง Magnum P.I. ที่ดัดแปลงมาจากซีรีส์สุดฮิต เคยเจรจาให้ แม็คคอนาเฮย์ มารับบทนำในหนังเรื่องนี้ด้วยค่าตัว 15 ล้านเหรียญฯ แต่เขาเลือกที่จะปฏิเสธ และหันไปรับเงินแค่ 200,000 เหรียญฯ ในการแสดงเป็นผู้ติดเชื้อ HIV ในหนัง Dallas Buyers Club แทน หนังเรื่องนี้ยังใช้เวลาเตรียมถ่ายทำนาน จน แม็คคอนาเฮย์ ต้องให้เวลากัขั้นตอนต่างๆ ของ Dallas Buyers Club นานถึง 3 ปี
แต่ท้ายที่สุดผลที่ออกมาก็ไม่เลวเลยจริงๆ หนังคว้า 2 รางวัลด้านการแสดงของออสการ์ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือรางวัลนักแสดงนำชายของ แม็คคอนาเฮย์ นั่นเอง
โอปราห์ วินฟรีย์ รับ 35,000 เหรียญฯ จาก The Color Purple
หนึ่งในสตรีที่รวยที่สุดในโลก เคยรับค่าตัวแค่ 35,000 เหรียญฯ ในการรับบทเป็นหญิงผิวดำที่ถูกทารุณกรรมในหนัง The Color Purple ของ สตีเวน สปีลเบิร์ก โดยตอนนั้น โอปราห์ ยังไม่ได้ทรงอิทธิพล, มีชื่อเสียง และมีรายได้มหาศาลอย่างในปัจจุบันซึ่งว่ากันว่าเธอมีทรัพย์สินประมาณ 3,000 ล้านเหรียญฯ แต่การตัดสินใจรับบทในหนัง The Color Purple ก็ถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะแม้ค่าตัวจะไม่ได้สูงอะไร แต่ก็ทำให้ โอปราห์ ได้ชื่อว่าครั้งหนึ่งเคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์
คริส อีแวนส์ รับ 300,000 เหรียญฯ จาก Captain America
Marvel ใช้เวลาคัดเลือกผู้ที่จะมารับบทเป็น "กัปตันอเมริกา" อยู่ค่อนข้างนาน มีชื่อนักแสดงเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย จนสุดท้ายมาลงตัวที่ คริส อีแวนส์ ที่เคยสวมชุดรัดรูปเป็น "ฮิวแมนทอร์ช" ใน Fantastic Four มาแล้ว
อีแวนส์ ถือว่ามีชื่อเสียงอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วพอสมควร จนหลายคนแทบไม่เชื่อว่าเขาจะได้รับค่าตัวจากการแสดงเป็น "กัปตัน" ครั้งแรกใน Captain America: The First Avengers ไปแค่ 300,000 เหรียญฯ เท่านั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของนักแสดงในหนังของ Marvel ที่จะได้ค่าตัวในหนังเรื่องแรกค่อนข้างน้อย แต่จะได้เซ็นสัญญาระยะยาว และจะได้ค่าตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามชื่อเสียงที่เพิ่มมากขึ้น
แต่หลายฝ่ายก็คิดว่า อีแวนส์ ได้ค่าตัวจากหนังเรื่องนี้น้อยเกินไปอยู่ดี โดยต่อมาเขาได้รับเงิน 2.5 ล้านเหรียญฯ จากบทใน The Avengers น้อยกว่าที่ สการ์เล็ต โจแฮนสัน ได้รับประมาณครึ่งหนึ่ง และน้อยเป็น 1 ใน 20 ของ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ดาวเด่นของ The Avengers ที่รับเงินไปแบบเต็มๆ 50 ล้านเหรียญฯ จากหนังรวมตัวซูเปอร์ฮีโร่ภาคแรก
บาร์กฮัด อับดี รับ 65,000 เหรียญฯ จาก Captain Phillips
ผู้อพยพชาวโซมาเลีย บาร์กฮัด อับดี ได้รับเลือกให้แสดงบทเด่นเป็นโจรสลัดในหนัง Captain Phillips ของ พอล กรีนกราสส์ ที่ใช้ทุนสร้างประมาณ 55 ล้านเหรียญฯ และทำรายได้ทั่วโลกไป 218 ล้านเหรียญฯ แต่แม้จะได้รับบทเด่นเรียกว่าเป็นนักแสดงนำอีกคนของเรื่อง อับดี กลับได้รับค่าตัวแค่ 65,000 เหรียญฯ น้อยกว่า ทอม แฮงค์ ที่แสดงคู่กันแบบเปรียบเทียบกันไม่ได้
โดยตามข้อมูลแล้วตามมาตรฐานของสมาชิกนักแสดงนั้น อับดี ที่เป็นนักแสดงหน้าใหม่เพิ่งมีงานเรื่องแรกต้องได้รับค่าตัวจากหนังทุนสร้างระดับนี้ 60,000 เหรียญฯ ขึ้นไป ซึ่งผู้สร้างก็เพิ่มให้เขาอีกนิดหน่อย ซึ่งก็ยังถือว่าน้อยมาก แม้ อับดี ที่กลายเป็นดาราดังระดับโลก ยังต้องมีปัญหาทางการเงินอยู่ต่อไป ต้อนไปลุ้นรางวัลออสการ์ที่เขาได้ชิงในสาขานักแสดงสมทบ อับดี ต้องเช่าสูทไปเอง และพักอยู่กับเพื่อนสนิท แทนที่จะเป็นโรงแรมหรูๆ อย่างดาราที่มาลุ้นออสการ์คนอื่นๆ
ลินด์ซีย์ โลฮาน รับ 2,300 เหรียญฯ จาก The Canyons
ลินด์ซีย์ โลฮาน หวังว่าหนังอินดี The Canyons ผลงานการเขียนขทของ เบร็ต อีสตัน เอลลิส จะช่วยส่งให้เธอกลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง อาจจะได้ชิงรางวัลในเทศกาลภาพยนตร์ และได้รับข้อเสนอในหนังเรื่องใหม่ หลังมีแต่ข่าวฉาวจนชื่อเสียงที่กำลังมาดีๆ แทบจะดิ่งลงเหว
โดย โลฮาน ยอมรับค่าตัวระดับขั้นต่ำของวงการแค่ 100 เหรียญฯ ต่อวัน รวมแล้วเบ็ดเสร็จได้เงินไป 2,300 เหรียญฯ จากการทำงาน 23 วัน แต่สุดท้ายหนังก็ล้มเหลวทั้งเรื่องรายได้ และกระแสวิจารณ์ ถึง โลฮาน จะได้ค่าตัวที่แทบจะเรียกว่าเป็นเศษเงินหากเทียบกับสมัยเธอรุ่งสุดๆ แต่คนที่ช้ำกว่าก็คือผู้สร้าง
โจนาห์ ฮิลล์ รับ 60,000 เหรียญฯ จาก The Wolf Of Wall Street
โจนาห์ ฮิลล์ อยากจะลบภาพตัวตลกหุ่นตุ้ยนุ้ยจากหนังวัยรุ่น Superbad ใจจะขาด และคงไม่มีโอกาสไหนจะดีกว่าการได้เล่นหนังของ มาร์ติน สกอร์เซซี อย่าง The Wolf of Wall Street แม้เขาจะได้ค่าตัวแค่ 60,000 เหรียญฯ เท่านั้นก็ตาม น้อยกว่านักแสดงนำอย่าง ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ที่ได้รับเงินแบบเต็มๆ ไป 10 ล้านเหรียญฯ แต่ ฮิลล์ ก็พิสูจน์ว่าเขาตัดสินใจถูก เพราะเขาได้ชิงออสการ์จากหนังเรื่องนี้ และกลายเป็นนักแสดงเต็มตัว ไม่ใช่แค่ตัวตลกปล่อยมุขในหนังฮาๆ อีกต่อไป
แบรด พิตต์ รับ 6,000 เหรียญฯ จาก Thelma & Louise
เมื่อเกือบ 30 ปีก่อน แบรด พิตต์ เคยมีรูมเมตเป็นนักแสดงที่ชื่อว่า นิโคลาส คัลล์เซน ทั้งสองได้รับเลือกให้ไปออดิชั่นบทสมทบในหนังเรื่องหนึ่ง แต่ในวันสำคัญนั้น คิลล์เซน กลับตื่นสายจึงพลาดโอกาสดังกล่าวไปอย่างน่าเสียดาย ขณะที่ พิตต์ ได้บทในหนังซึ่งก็คือเรื่อง Thelma & Louise ไปในที่สุด
บทตัวประกอบสร้างสีสันบทนี้ยังถือว่าทำให้ พิตต์ เป็นที่รู้จักขึ้นมาอย่างเป็นทางการ และเป็นบันไดขั้นแรกของเส้นทางซูเปอร์สตาร์ของเขาเลยก็ว่าได้แม้จะได้ค่าตัวจากบทนี้แค่ 6,000 เหรียญฯ แต่ก็เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของ พิตต์ ขณะที่ คัลล์เซน ไม่เคยได้แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในวงการภาพยนตร์ และเสียชีวิตลงด้วยวัย 48 ปี เมื่อปี 2015 ด้วยสาเหตุซึ่งเชื่อกันว่าเป็นการเสพยาเกินขนาด ระหว่างเดินทางมาเมืองไทย
บิล เมอร์เรย์ รับ 9,000 เหรียญฯ แต่ควักกระเป๋า 66,000 เหรียญฯ ช่วยเหลือกองถ่าย Rushmore
เมื่อหลายปีก่อนเอเยนต์ส่วนตัวของ บิล เมอร์เรย์ แนะนำให้เขาอ่านบทหนังรื่อง Rushmore ของคนทำหนังหน้าใหม่โนเนมที่ชื่อว่า เวส แอนเดอร์สัน ที่เพิ่งจะแจ้งเกิดจากหนังเล็กๆ เรื่อง Bottle Rocket โดยตัวของ แอนเดอร์สัน ที่ทั้งไร้ประสบการณ์ และไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้างก็ทำใจล่วงหน้าเอาไว้แล้วว่า เมอร์เรย์ คงไม่รับแสดงหนังเรื่องนี้แน่ แม้เขาจะเขียนบทตัวละครนี้โดยคิดถึง เมอร์เรย์ มาตลอดก็ตาม
แต่สุดท้าย เมอร์เรย์ ที่ว่ากันว่าเจ้าอารมณ์ ทำอะไรตามใจ จนมีปัญหาส่วนตัวกับเพื่อนร่วมงานเสมอ ถึงขั้นที่ แดน แอครอยด์ ตั้งฉายาให้ว่าเป็น "เมอริเคน" กลับตัดสินใจรับงานแสดงหนังเรื่อง Rushmore ด้วยค่าตัวต่ำสุดตามมาตรฐานของสมาคมนักแสดงที่ 9,000 เหรียญฯ ไม่เท่านั้นเมื่อ Disney นายทุนใหญ่สั่งตัดงบ จน แอนเดอร์สัน ไม่สามารถเช่าเฮลีคอปเตอร์มาถ่ายทำฉากสำคัญได้ เมอร์เรย์ ก็ควักกระเป๋าช่วยค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปถึง 75,000 เหรียญฯ จนพูดได้ว่าเขาขาดทุนจากการเล่นหนังเรื่อง Rushmore ไปถึง 66,000 เหรียญฯ
สุดท้าย Rushmore ทำให้ เวส แอนเดอร์สัน กลายเป็นยอดผู้กำกับดาวรุ่งแห่งยุค และประสบความสำเร็จต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และ เมอร์เรย์ ก็แทบจะปรากฏตัวในหนังของ แอนเดอร์สัน ทุกเรื่องหลังจากนั้น