“เป้ย” เผยชีวิตที่เปลี่ยนไปเพราะลูก ใจเย็น ปล่อยวางมากขึ้น เตรียมอธิบายให้ลูกฟังถึงภาพล้างรถสุดเอ็กซ์ในอดีตว่าคนเราก็มีผิดพลาดกันได้
“เป้ย ปานวาด” จากสาวแซ่บผู้สร้างปรากฏการณ์ล้างรถมอเตอร์ไซค์หุบๆ อ้าๆ สะเทือนวงการบันเทิง แต่ตอนนี้กลายเป็นคุณแม่ที่เลี้ยงลูกดูแลอยู่อย่างดี สอนให้ลูกทำงานเก็บออมและรู้จักอดทน ไม่เหมือนลูกคุณหนู แต่งตัวก็เรียบร้อยมิดชิดไม่เหลือคราบนางร้ายเซ็กซี่สุดแซ่บเลย มีมุมมองชีวิตที่เปลี่ยนไป ใจเย็นมากขึ้น ปล่อยวาง เรียกว่าชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่คนเราลบอดีตไม่ได้เรื่องนี้เป้ยเข้าาใจและเตรียมจะอธิบายให้ลูกฟังถึงเหตุผลในการล้างรถสุดเซ็กซี่ว่าคนเราก็มีการผิดพลาดกันได้
“ตอนนี้สามารถแบ่งเวลาได้เยอะมากขึ้น จากที่แต่ก่อนเราก็ต้องโฟกัสที่ลูกเป็นหลัก ตอนนี้ลูกเข้าเรียนแล้วก็สามารถแบ่งเวลาให้ลูก สามี และทำธุรกิจ ตอนนี้ทุกอย่างลงตัวมากๆ ส่งลูกเสร็จก็แว๊บมาดูแลธุรกิจ ประชุมมาก ไปรับลูก แล้วตอนเย็นก็มาดูแลธุรกิจอีก ซึ่งตอนเย็นเราก็จะได้เจอกับสามี เพราะเราทำธุรกิจด้วยกัน แต่ก่อนเราไม่เคยคิดเลยว่าเราจะต้องทำขนาดนี้ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาทำธุรกิจมากมายหลายอย่าง เราก็ร่วมหุ้นกับเพื่อนๆทำธุรกิจ ซึ่งก็แบ่งหน้าที่กันเป็นทีมเวิร์ค ทุกอย่างมันก็ลงตัว เราเองเริ่มมากจากศูนย์ไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้เลย ตอนนี้ก็ค่อยๆ เรียนรู้ไป”
“หลายคนคิดว่าเป้ยสบายแล้ว คนก็ถามกันเยอะว่าทำไมเป้ยต้องทำอะไรมากมายขนาดนี้ ที่ทำเพราะเป้ยอยากมีคุณค่า เราอยากสร้างคุณค่าให้ตัวเรา มีคุณค่ากับตัวเองมันไม่พอ แต่ถ้าเราสามารถช่วยสามี ช่วยครอบครัวได้เราก็ยินดีทำ ตอนนี้ลูกก็โตแล้วจะมาอยู่บ้านเฉยๆ โดยที่ไม่ทำอะไรเลยมันไม่ใช่ เป้ยไม่อยากทำตัวให้ตัวเองดูไม่มีอะไรเลย การที่เราทำงานเยอะๆ มันก็สร้างรายได้ให้ตัวเอง สร้างคุณค่าให้ตัวเรา คนที่บอกว่าเป้ยได้สามีรวยแล้วไม่ต้องทำอะไรก็ได้สำหรับเป้ยคิดว่ามันไม่ใช่ ตัวเป้ยก็ต้องมีของตัวเองด้วยเหมือนกัน สมัยนี้เราต้องช่วยกัน ส่งเสริมซึ่งกันและกัน ยิ่งพอเราได้ทำงานด้วยกัน เวลาที่มันต้องแชร์มันก็ไม่ต้องแบ่งมาก แล้วเราก็เรียนรู้ซึ่งกันและกันมากขึ้น”
มีลูกมุมมองชีวิตเปลี่ยน โตขึ้น รู้จักปล่อยวาง คิดใหม่ทำใหม่ ไม่คาดหวังกับชีวิตมากจนเกินไปเหมือนเมื่อก่อน
“คนจะมองว่าตอนนี้ชีวิตเป้ยสวยหรูเป้ยสบายแล้ว เอาจริงๆ มันไม่มีอะไรหรอกที่จะสวยหรูเพอร์เฟค ทุกบ้านทุกครอบครัวก็ต้องมีอะไรติดขัดบ้าง มันก็เป็นชีวิตคนเนอะ แต่ทุกอย่างเราก็ต้องจับมือกันเดินข้ามไปให้ได้ถ้าคิดจะเป็นครอบครัวกันแล้ว เป้ยมองว่าถ้าเรามัวแต่ย้ำอยู่กับปัญหา มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น สิ่งที่เราทำได้คือมองข้าม บางอย่างถ้าเลือกไม่มอง เดินผ่านมันไป ก้าวผ่านมันไปเพื่อให้เราไปข้างหน้าด้วยกันได้ก็ทำไปเลย เป้ยยอมรับว่าตัวเองเปลี่ยนไปมากจากเมื่อก่อน เมื่อก่อนจะเป็นคนที่ชอบคิดมาก ย้ำอยู่กับความคิดเดิมๆ เก่าๆ เอาเรื่องเก่ามาคิดทำให้เรารู้สึกไม่โอเค เป็นคนที่คิดเร็วทำเร็ว แต่ด้วยอายุที่มันโตขึ้นทำให้เราเริ่มรู้จักการปล่อยวาง คิดใหม่ว่าบางอย่างมองข้ามได้ก็มองข้าม เริ่มเข้าใจว่าคนเรามีหลายประเภท เราก็ต้องปรับเปลี่ยนความคิดเข้าใจที่จะมองโลกในหลายรูปแบบ”
“ลูกเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตเป้ย อะไรก็ตามที่ลดปัญหาการทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัวหรือกับคนอื่นๆ เราจะตั้งสติและถอยมามองปัญหา สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวคือหน้าลูก ซึ่งมันเป็นไปตามอัตโนมัติ ตรงนี้เป้ยเลยเข้าใจว่าเรามาถึงอีกจุดนึงของชีวิตที่เราโตขึ้น ทุกวันนี้ที่เจอปัญหามันก็มีนะโมเม้นต์ที่ว่าฉันไม่ไหว ฉันไม่เอาแล้ว มันยังมีอยู่ แต่สักพักเราจะหยุดนิ่ง ให้เวลาตัวเราอยู่กับตรงนั้น ผ่านไปสักพักเราจะคิดได้ ที่ไม่ไหวก็จะเปลี่ยนไป ถ้าเป็นเป้ยเมื่อก่อน ไม่เอาก็คือไม่เอาเลย พร้อมชน พร้อมเชิด ไม่สนใจ พอได้ย้อนมองตัวเองรู้สึกว่าเรามาไกลมากเลยนะ เป้ยเบาขึ้น ช้าขึ้น ไกล่เกลี่ยมากขึ้น”
“ทุกวันนี้เป้ยพยายามจะไม่คาดหวังอะไรที่มันสูงเกินไป ไม่คาดหวังว่าเขาจะอย่างนั่นอย่างนี่ให้เรา ไม่ว่าจะสามีหรือกับใครก็ตามแต่ แม้แต่ลูกเองเป้ยก็ไม่คาดหวัง เป้ยปล่อยวางให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ถ้าเจอเรื่องราวหรือสถานการณ์อะไรก็ตาม ก็คิดว่าเราจะเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องและตรงที่สุด จะไม่พยายามทำอะไรที่มันลัดขั้นตอน ทำอะไรที่มันไม่ดี”
ดีใจโซเชียลเป็นจุดเปลี่ยนภาพลักษณ์จากนางร้ายสตอเบอร์รี่มาเป็นแม่ตัวอย่าง
“เอาจริงๆ ที่เห็นทุกวันนี้นี่คือตัวตนจริงๆ ของเป้ย แต่ด้วยความที่เมื่อก่อนมันไม่มีโซเชียลให้คนได้เห็นชีวิตของเรา คนก็จะมองเราจากภาพข่าวที่เรามี ภาพงานแรงๆ ของเรา แต่ไม่รู้ว่าชีวิตจริงๆ ของเราเป็นยังไง ตอนนี้คนก็เห็นความเป็นเรามากขึ้น ซึ่งเราไม่เคยเห็นเราในมุมนี้ คนก็จะบอกว่าเราเปลี่ยนไป ซึ่งจริงๆ นี่คือตัวเป้ย แต่ด้วยเวลาผ่านไปเราก็โตขึ้นด้วย ความคิดเรามันก็เปลี่ยน แต่เราก็ดีใจนะที่คนมองเราเปลี่ยนไป เป้ยก็รอวันนี้มานานด้วยการเชื่อเสมอว่าคนเรามันเป็นอย่างไรกาลเวลาก็จะพิสูจน์ตัวมันเอง”
“นอกจากคนมองเราในมุมที่เปลี่ยนไปแล้ว ที่ดีใจเข้าไปอีกคือคนมองว่าเราเป็นแม่ที่ดี เอาเรามาเป็นแบบอย่าง ต้องออกตัวไว้ก่อนว่าเป้ยก็ไม่ได้มีอะไร ไม่ใช่คุณแม่ที่เก่ง เพอร์เฟคอะไร เป้ยไม่ใช่แนวคุณแม่จ๋าที่จะแนะนำให้ลูกเก่ง เป็นอัจฉริยะอะไรขนาดนั้น แม่พยายามเป็นคุณแม่ที่เป็นเพื่อนกับเขา เราเลี้ยงลูกในความรู้สึกที่เรารู้สึกกับแม่ เป้ยรู้สึกว่าเป้ยกับแม่เป้ยเหมือนเพื่อนกันที่คุยกันได้ทุกเรื่อง เป้ยก็มาเป็นแม่กับโปรดแบบนั้น เป้ยไม่อยากให้ลูกเป้ยเป็นคนที่เก่งมากแต่อยากให้ลูกเป้ยเป็นคนดี เอาตัวรอดได้ก็พอ เป้ยจะสอนในเรื่องของทักษะชีวิต ให้เราอยู่รอดในสังคมนี้ได้ ส่วนเรื่องวิชาการอะไรให้เขาเลือกเอาเองเลย แม่เป้ยก็ไม่ได้บังคับให้เป้ยเก่งอะไร ซึ่งเป้ยว่าถ้าเราไม่บังคับเขาจะได้ไปเองของเขา แต่เป้ยไม่สปอยลูกนะ เป้ยเป็นแม่ที่ดุ”
ตั้งกฎ ไม่เลี้ยงลูกสปอย ลั่นไม่ใช่เป็นลูกดาราแล้วจะได้ทุกอย่าง สอนไม่ให้เป็นคุณหนู ต้องรู้จักทำงานบ้าน หาเงินเป็น
“คนก็จะคิดกันเนอะว่าเป็นลูกดาราสมัยนี้มีครบทุกอย่างของเล่นเสื้อผ้าราคาแพง ซึ่งสำหรับเป้ยมันไม่ใช่ทุกอย่างนะ เป้ยจะไม่ตามใจเลย อยากจะร้องกลางห้างก็ร้องไปเป้ยไม่สนใจ ถามว่าอายไหมอายนะ แต่เราต้องปล่อยถ้าเราอยากให้ลูกเราดี เขาร้องไห้จะเอานั่นเอานี่ให้ได้ เป้ยไม่ให้เลยนะ เป้ยสอนให้ลูกเป้ยช่วยตัวเอง ต้องทำได้ทุกอย่าง กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจานต้องทำเป็น เป้ยไม่ได้เลี้ยงลูกให้เป็นลูกคุณหนู เราเคยลำบากมาก่อน เราเป็นเด็กต่างจังหวัดต้องทำทุกอย่างเอง ซึ่งพ่อของเขาโตมาแบบลูกคุณหนูมีคนทำให้ทุกอย่าง เราก็คุยกันว่าลูกเราต้องลุยนะ ไม่เอาเป็นคุณชาย ต้องทำเป็นทุกอย่าง ลูกต้องรู้จักผิดหวังบ้างเหนื่อยเป็น ต้องอดทนและยอมลำบากเหมือนคนทั่วๆ ไป เวลาที่ลูกงอแงไม่ยอม ทำไมต้องมาทำ ทำไมต้องมากวาดบ้านด้วย ก็จะบอกลูกว่าโปรดนี่ลูกสบายมากแล้วนะ”
“ซึ่งบางทีพ่อเขาก็จะไม่เข้าใจ เราก็ต้องใจแข็ง เอาหัวชนฝาว่าไม่ได้นะ สังคมเดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปแล้ว เราไม่รู้เลยว่าอนาคตลูกเราจะไปเจอสังคมแบบไหน เราต้องเตรียมความพร้อมให้ลูกของเราในทุกด้าน การที่โปรดได้เรียนรู้การช่วยเหลือตัวเอง รู้จักลำบาก ผิดหวังเป็นมันจะเป็นภูมิคุ้มกันให้ลูกโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ ทุกวันนี้เป้ยก็ให้เขาช่วยงานมีค่าจ้างให้ มาพับกล่องขนมช่วยในร้านก็จะให้เงินวันละ 40 บาท ให้เขาไปหยอดกระปุก ตรงนี้เราต้องหัดให้ลูก เอาจริงมันไม่ได้ง่ายนะ แต่เราเอาประสบการณ์จากที่เราเรียนรู้มาจากแม่ ที่แม่เคยสอนเราเอามาสอนลูกอีกที”
เชื่อไม่ว่าอดีตแต่ละคนจะเป็นอย่างไร แต่ทุกคนสามารถสร้างสถาบันครอบครัวที่ดีได้
“หลายบ้านหลายครอบครัวก็มีเรื่องราวต่างกัน เป้ยเองพ่อแม่แยกทางกันแต่ตัวเป้ยไม่เคยขาดความอบอุ่น แม่เป้ยเป็นให้เป้ยได้ทุกอย่าง เป้ยว่าถ้าทุกอย่างมันเติมเต็มความรู้สึกของคนในครอบครัวแล้ว ทุกอย่างมันไม่ใช่ปัญหา มันขึ้นอยู่กับจิตสำนึกที่เราปลูกฝังกัน ถ้าเราคิดดี ทำดี อะไรไม่ดีเข้ามาก็ไม่กระทบ เป้ยอยู่กับแม่ เป้ยเห็นทุกโมเม้นต์ เห็นเขาร้องไห้ ทำงาน สู้งานอดทน ต่อให้ใช้ชีวิตคนเดียวแต่เขาก็สามารถเลี้ยงเป้ยมาโดยลำพังได้ ตรงนี้มันปลูกฝังมาถึงเรา มันทำให้เรามีความเชื่อที่ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นทุกอย่างจะผ่านไปได้เหมือนที่แม่เป้ยเคยผ่าน ไม่ว่าคุณจะขาดหรือไม่ขาดยังไงสำคัญที่ว่าเราจะปลูกฝังลูกเราอย่างไร เชื่อว่าถ้าลูกคิดได้คิดเป็นคิดในทางที่ถูกต้อง ทุกอย่างมันจะดี”
รับเคยคิดมากจะบอกลูกเกี่ยวกับอดีตตน แต่ตอนนี้มีคำตอบแล้ว
“เป็นคำถามในใจของเป้ยมาโดยตลอด ตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าเป้ยท้องแล้ว เป้ยก็ได้คำตอบว่าเป้ยจะบอกความจริงเขาทุกเรื่อง เป้ยจะเล่าให้เขาฟัง เป้ยจะไม่ปฎิเสธ ต่อให้เขาไปเห็นรูปอะไรต่างๆ ของเป้ยที่ไหน รูปล้างรถหรืออะไรก็ตาม เป้ยจะบอกลูกว่าคนเรามันสามารถผิดพลาดกันได้ ตอนนั้นแม่ยังเป็นเด็ก แม่อาจจะทำอะไรโดยที่ไม่ทันคิดทำให้มันเกิดสิ่งที่ผิดพลาด แต่แม่ก็เชื่อว่าแม่ทำดีที่สุดแล้วในตอนนั้น แต่แม่ทำได้เท่านี้ มันอาจจะมีเรื่องที่แม่ควบคุมไม่ได้อะไรก็ตามแต่ บางทีแม่อาจจะคิดน้อยอะไรก็ตามแต่ แต่ชีวิตคนเรามันมีผิดพลาดกันได้ ลูกก็เช่นกัน เราก็ต้องอธิบายให้เขาเข้าใจชีวิตว่าคนเรามันต้องมีทั้งถูกและผิด คิดว่าจะเป็นคนเปิดให้เขาดูเล่าให้เขาฟังด้วยซ้ำ ยอมรับที่ผ่านมากลัวเรื่องนี้มาก แต่เวลาผ่านไปทำให้เราคิดได้และไม่กลัวที่จะบอกกับลูก วันไหนที่เขาถามก็จะมีคำตอบให้เขา อยากให้เขาภูมิใจว่าทุกวันนี้แม่ก็เลี้ยงเขาได้ดี มันคืองานๆ นึง จบแล้วก็จบ แต่แม่ก็คือแม่อย่างที่ลูกเห็นอยู่ทุกวันว่าแม่เป็นคนยังไง”