xs
xsm
sm
md
lg

คัมภีร์เรียลิตี้เมืองไทย “หนุ่ม-กิติกร เพ็ญโรจน์” จาก AF สู่มาสเตอร์เชฟไทยแลนด์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“หนุ่ม-กิติกร เพ็ญโรจน์”
ย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ชื่อนี้ได้รับการกล่าวขานอย่างหนาหูในแวดวงรายการทีวี ในฐานะที่เป็นผู้บุกเบิกการประกวดร้องเพลงในรูปแบบเรียลิตี้ครั้งแรกในเมืองไทย ที่รู้จักกันในนามของ AF หรือ “Academy Fantasia” ซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบของรายการประกวดร้องเพลงที่มีอยู่ดาษดื่นแทบจะทุกช่องทีวีในขณะนี้
“ตอน AF นั่น ถือว่าเป็นไอเดียรวมของทีมทั้งหมด จริงๆ แล้วไอเดียก็คือว่า เรียลิตี้ช่วงนั้นมันยังใหม่มาก คือในแง่ของการพัฒนารายการเนี่ย สมัยก่อนก็จะเป็น Contest ประมาณ 10-20 ปีที่แล้วก็จะเป็นการประกวดปกติวันเดียวจบ อาจจะเข้ามาหลายๆ คนประกวดเป็นรอบๆ แต่รายการประเภทนั้นก็เริ่มเก่า แล้วก็กลายมาเป็นรายการประเภทเรียลิตี้ คือเป็นการประกวดเหมือนเดิม แต่ทำยังไงให้คนเข้าถึงผู้เข้าประกวด ได้สามารถที่จะจับต้องผู้เข้าประกวดได้มากขึ้น ไม่ใช่แค่ดูว่าเค้าเก่งอย่างไร แต่เห็นว่าเค้าเป็นคนยังไง มีความใกล้ชิดกับผู้เข้าประกวดมากขึ้น คนดูสามารถที่จะใกล้ชิดกับเค้า จนเหมือนจะกลายเป็นพี่น้อง เป็นญาติ เป็นแฟนคลับ เมื่อมันเกิดเป็นลักษณะแบบนี้ได้ มันก็ทำให้การติดตาม การร่วมเชียร์ต่างๆ ได้มากกว่าเดิม เพราะเหมือนกับว่าคนที่เรารู้จักกำลังประกวดอยู่ อันนี้ก็เป็นรูปแบบของรายการเรียลิตี้โชว์”
เรียกได้ว่าตอนนั้นกระแสเรียลิตี้บูมมาก จากผลพวงของรายการ AF และได้รับความนิยมต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
“ตอนนั้นเป็นรายการที่ประสบความสำเร็จค่อนข้างมาก เพราะทุกคนก็นั่งกินข้าวกับเด็ก AF นอนดู AF ตื่นมาก็ดู AF ต่ออีก มันก็เป็นกระแส ก็เลยทำให้รายการทุกๆ ประเภทในปัจจุบันที่เป็นการประกวด ไม่ว่าจะเป็นร้องเพลงก็ดี หรือการประกวดรูปแบบต่างๆ ก็วิ่งมาในเส้นของเรียลิตี้เกือบหมด เพราะเราต้องการให้คนดูเนี่ย รู้สึกเป็นญาติ หรือผูกติดกับผู้เข้าแข่งขันมากกว่าการประกวดรูปแบบเดิม ถึงทำให้รูปแบบการประกวดแบบเรียลิตี้ยังคงได้รับความนิยมในปัจจุบัน
ในภาพรวมของเรียลิตี้ ในเมืองนอกดังมาก่อนเราเยอะ และก็มีกระแสต่อเนื่องมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นการที่ เรียลิตื้เข้าเมืองไทยเนี่ย ณ ช่วงนั้นทุกคนก็เชื่อว่ามันน่าจะเกิดความนิยมไม่ต่างจากที่เกิดในต่างประเทศ แต่มีแค่อารมณ์เดียวที่กังวลว่ามันอาจจะไม่ดัง เพราะในต่างประเทศ เรียลิตี้เค้ามีตบตีกัน แต่คนไทยไม่กล้าที่จะแสดงออก เพราะฉะนั้นความสนุกของเรียลิตี้อย่างหนึ่ง ก็คือมันต้องเห็นตัวตนที่แท้จริงของผู้เข้าแข่งขัน แต่คนไทยไม่ค่อยแสดงออก แต่พอทำแล้ว ถึงจุดหนึ่ง มันก็มีการแสดงออกในอีกรูปแบบหนึ่ง แต่มันอาจจะไม่เหมือนกับต่างประเทศทีเดียว ฝรั่งเค้ามีทะเลาะวิวาทกัน แต่คนไทยกลับกลายเป็นรักกัน กลายเป็นร้องห่มร้องไห้ เป็นดราม่าอีกรูปแบบหนึ่ง ก็ถือว่าโอเค.”
จากที่เคยเป็นแกนนำบุกเบิกรายการเรียลิตี้ประกวดร้องเพลง มาถึงจุดที่รายการประเภทนี้ “เกร่อ” อยู่ในทีวีแทบจะทุกช่อง เขาก็ฉีกตัวเองออกมาสู่การประกวดรูปแบบอื่น โดยนำฟอร์แมตมาจากต่างประเทศ นั่นก็คือรายการ “มาสเตอร์เชฟ ไทยแลนด์” ทั้งนี้เพื่อสร้างความแตกต่าง และทำให้ตัวเองโดดเด่นจากคนอื่น
“ผมมอง 2 ประเด็นนะครับ ประเด็นที่หนึ่ง ก็ดูว่ารายการประเภทประกวดเนี่ย ถ้าเป็นประกวดปกติมันก็คงเหมือนเดิม ไม่ค่อยที่จะมีจุดขายเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นประกวดประเภทที่เป็นเรียลิตี้ มันก็น่าที่จะทำให้คนดูสามารถที่จะเข้าถึงได้มากกว่า ฉะนั้นก็มองว่า การประกวดที่เป็นลักษณะของเรียลิตี้ก็น่าจะมีการตอบรับของผู้ชมที่มากกว่า
ประเด็นที่สองมาดูว่าสิ่งที่ประกวด ประเด็นแรกคือรูปแบบการประกวด ประเด็นที่สองคือประกวดอะไร ฉะนั้นถ้าเราจะทำรายการที่เกี่ยวกับการประกวด ก็ต้องมาดูจากประเด็นที่หนึ่งว่า ฉันว่าฉันมาทางเรียลิตี้ดีกว่า เพราะคิดว่าคนดูน่าจะจับต้องผู้เข้าแข่งขันได้มากกว่า ติดตามเชียร์ได้มากกว่า แต่ทีนี้ก็ต้องมาดูต่อว่าจะประกวดเรื่องอะไร เพราะปัจจุบันก็จะประกวดร้องเพลงค่อนข้างเยอะมาก เมื่ออะไรก็แล้วแต่มันมีเยอะในตลาด มันก็มีความเฝือของมันอยู่ เพราะฉะนั้นทางเราก็ตัดสินใจที่จะวิ่งเส้นการประกวดในทางเรียลิตี้ แต่ประกวดเรื่องการทำอาหาร เพื่อจะฉีกจากสิ่งที่เค้าประกวดกันในท้องตลาด นี่คือความตั้งใจของเรา เพราะสุดท้ายแล้ว ถ้าเราจะทำ ก็ต้องทำให้แตกต่าง ไม่ใช่ว่าไปทำเหมือนๆ ทุกๆ คน มันก็ไม่โผล่ออกมา เราก็เลยเลือกมาในมุมของการประกวดแบบเรียลิตี้ ไม่ใช่ประกวดแบบธรรมดา ประกวดอะไร ? ประกวดอาหาร เพราะไม่มีคนจัดประกวดเรียลิตี้แบบอาหารที่ชัดเจน และโดยพื้นฐานเราก็ทำรายการประเภทอาหาร คือรายการ “๐เชฟกระทะเหล็ก” เพราะฉะนั้นเรามีพื้นฐานในเรื่องของบุคลากรที่อยู่ในด้านอาหารอย่างเพียงพอ เราสามารถนำจุดเข็งตรงนั้นมาต่อยอดในการทำรายการเรียลิตี้แข่งขันประเภทอาหารได้ดีกว่าคนอื่น”
โดยจุดเด่นของรายการ ก็คือการนำคนธรรมดามาพัฒนาสู่การเป็นเชฟมืออาชีพ เหมือนเช่นที่ AF นำคนธรรมดามาสานฝันสู่การเป็นศิลปินนั่นเอง
“จุดเด่นของรายการ มาสเตอร์เชฟ ถ้าให้เปรียบเทียบเหมือนอะไร ก็เหมือนกับรายการเรียลิตี้ร้องเพลงประเภทหนึ่งที่ดังๆ แต่เผอิญว่าเป็นรายการเรียลิตี้ที่แข่งขันเกี่ยวกับอาหารรายการแรก เปรียบเทียบกับ AF ก็คือนำคนธรรมดาที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักร้องมาเข้าบ้าน AF แล้วก็พัฒนาตลอด 10 กว่าวีคเพื่อที่จะกลายเป็นนักร้องที่ดีที่สุด อันนั้นคือคอนเซ็ปท์ของ AF คอนเซ็ปท์ของมาสเตอร์เชฟก็ทางเดียวกัน คือการนำคนธรรมดาๆ ไม่เคยเป็นเชฟมาก่อน แต่มีความใฝ่ฝันที่จะอยู่ในสายอาหารเชฟ หรือธุรกิจด้านอาหารทั้งหมดมาเข้าบ้านมาสเตอร์เชฟ ซึ่งก็จะมีกูรูต่างๆ หรือผู้รู้ หรือกรรมการ หรือแม้กระทั่งเทรนเนอร์ต่างๆ ที่จะคอยช่วยให้คำแนะนำ แล้วก็คอยสอน ตลอดระยะเวลา 17 อาทิตย์ จนคนธรรมดาคนหนึ่งกลายเป็นมาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะเห็น ก็คือคนธรรมดาที่มีความรักในอาหาร แต่ไม่เคยอยู่ในธุรกิจอาหาร กลายมาเป็นเชฟที่มีความสามารถ แล้วก็สามารถที่จะมีอาชีพ หรือมีอนาคตอยู่ในสายอาหารที่เรียกว่าประสบความสำเร็จได้
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในรายการก็คือ เราจะมีกรรมการซึ่งเป็นเชฟ เป็นผู้รู้ทางด้านอาหารมาคอยคอมเม้นท์ แล้วก็มีการคัดออกทีละคนๆ มีการให้โจทย์ต่างๆ
จุดสำคัญของมาสเตอร์เชฟคืออะไร มาสเตอร์เชฟเป็นรายการลิขสิทธิ์ที่ผลิตมาแล้วกว่า 50 ประเทศทั่วโลก แล้วก็ได้รับความนิยมอันดับต้นๆ ในทุกๆ ประเทศ สาเหตุที่ประสบความสำเร็จ เพราะว่ามันเห็นการเดินทางของคนธรรมดา เหมือนกับ AF นั่นล่ะ เห็นความพยายามที่จะเดินตามฝันเพื่อจะได้เป็นเชฟตามที่เค้าต้องการ อันที่สอง ก็คือโปรดักชั่น เรียกได้ว่าเป็นบิ๊กโปรดักชั่นมาก คนส่วนใหญ่ก็คงจะงงว่า ทำไมทำอาหาร ต้องทำขนาดนี้ มันไม่ใช่เวทีคอนเสิร์ต แต่กลายเป็นว่าเวทีมาสเตอร์เชฟ จะแพงกว่าเวทีคอนเสิร์ตซะอีก เพราะว่าเราต้องเนรมิตสตูดิโอหนึ่งให้กลายเป็นซูเปอร์มาร์เก็ต ให้กลายเป็นครัวใหญ่ที่สามารถเข้าทำการแข่งขันได้ 50 – 100 คน แล้วก็ต้องมีอุปกรณ์สำหรับคนที่รักในการทำอาหารต้องหยิบเลือกใช้ได้หมด และต้องเอื้อสำหรับการทำอาหารในทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นไทย ฝรั่ง จีน เพราะฉะนั้นมันถึงเป็นรายการที่โปรดักชั่นใหญ่ มันถึงทำให้รายการนี้เป็นที่จดจำของคนทั่วโลก ซึ่งการแข่งขันก็จะมีทั้งแบบเดี่ยว และแบบทีม เพราะเป็นการเตรียมความพร้อมของคนธรรมดาให้เป็นเชฟที่ดีที่สุด”
และแม้จะเป็นการนำรูปแบบมาจากต่างประเทศ แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับรสนิยมของคนไทย โดยการสอดแทรกเข้าไปในโจทย์การแข่งขันอย่างแนบเนียน
“สำหรับการปรับเปลี่ยน ในแง่ของคนธรรมดาที่ตามความฝันเราไม่เปลี่ยนแน่ เราจะไม่เอาเชฟมาแข่ง เป็นคนธรรมดาที่มีพรสวรรค์ ไม่เคยเป็นเชฟที่ร้านอาหารดังๆ อันนี้ยังคงอยู่ คอนเซ็ปท์ที่สอง คือในแง่ของโปรดักชั่นใหญ่ยังคงอยู่ เรียกว่าเป็นโปรดักชั่นที่เป็นสแตนดาร์ดต่างประเทศ เพราะฉะนั้นเรื่องโปรดักชั่นเราไม่ด้อยแน่ๆ
แต่ที่พยายายามปรับปรุงให้เข้ากับคนไทย คือเราเชื่อว่าอาหารไทย คืออาหารที่เป็น Top 5 ของโลก เพราะฉะนั้นเราก็จะให้ความสำคัญกับอาหารไทยมาก เพราะอยากจะโปรโมทความเป็นไทย อีกจุดหนึ่งก็คือวัตถุดิบ จะมีการนำวัตถุดิบท้องถิ่นของไทยมาใส่ในโจทย์ต่างๆ เพื่อให้มาสเตอร์เชฟไทยแลนด์มีความความแตกต่างในแง่ของการนำเสนอ”
สิ่งที่เขาคาดหวังสำหรับรายการนี้ นอกเหนือจากเร็ตติ้งของรายการ ก็คือ.... “ผมอยากเห็นคนธรรมดาที่พลิกจากวันแรกที่เดินเข้าบ้านมาสเตอร์เชฟแล้วออกไปเป็นเชฟในร้านอาหารดังได้เลย แล้วก็สามารถเป็นเจ้าของหนังสือที่เป็นสูตรอาหารของเค้าเอง หรือแม้แต่การอยากเป็นเจ้าของร้านอาหารของตัวเอง ซึ่งทางเราก็มี คอนเนคชั่นที่พร้อมจะให้คำปรึกษา และผลักดัน เพื่อให้เค้าได้ประสบความสำเร็จจริงในด้านของอาหารตามที่เค้าฝันไว้
ถามว่าคาดหวังมั้ย พูดเลยว่าคาดหวังสูงแน่ๆ เพราะเป็นรายการที่เชื่อว่าน่าจะลงทุนสูงที่สุดของปีนี้ในประเทศไทย แต่แน่นอนว่าการลงทุนสูง ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นรายการที่คนชอบนะ แต่เชื่อว่าถ้าเราลงทุนให้ดีที่สุด เพื่อที่ว่าอย่างน้อยคุณภาพของเราไม่ด้อยกว่าคนอื่น แต่เราก็คงมีวิธีการที่เราจะใส่ครีเอทีฟเข้าไปเพื่อทำให้คนดูมีความสุข จุดสุดท้ายความฝันก็คือว่าให้รายการนี้เป็นรายการอาหารที่ทำให้คนทั่วไปสามารถที่จะเข้าถึงหรือว่าจับต้องได้ แล้วก็ร่วมลุ้น ให้กำลังใจให้ผู้เข้าแข่งขันที่เป็นคนธรรมดาให้ได้กลายเป็นเชฟ”
อดไม่ได้ที่จะถามว่า หลังจากรายการประกวดทางด้านอาหารแล้ว มีโครงการที่จะกลับมาทำรายการประเภทประกวดร้องเพลง ที่เคยบุกเบิกไว้หรือไม่ ?
“คือจริงๆ ผมก็ชอบคอนเทนต์อยู่ 2 อัน คือเพลงกับอาหาร ก็คงต้องสลับไปสลับมา ดูว่าอันไหนมีโอกาสที่จะทำได้ชัดเจนกว่ากัน ซึ่งในช่วงเวลาตอนนี้ เนื่องจากคนทำเพลงเยอะ เพราะฉะนั้นถ้าเราสร้างความแตกต่าง โดยการที่เราทำคอนเทนต์เกี่ยวกับอาหารมาทำเป็นโปรดักชั่นใหญ่อย่างที่คนอื่นไม่สามารถทำได้ ก็จะเป็นจุดแตกต่าง อย่างตอนเราเชฟกระทะเหล็ก เราก็ประสบความสำเร็จดี จากรายการก็กลายไปเป็นร้านอาหาร ก็ได้รับผลตอบรับดี เพราะเป็นรายการที่เป็นความแตกต่างจากตลาดในตอนนั้นแต่ในอนาคต เราก็อาจจะมองแล้วจังหวะเวลา อาจจะกลับไปทำรายการเพลงอีก”
และที่จะไม่ถามไม่ได้ ก็คือผลกระทบในฐานะผู้ผลิตรายการทีวี หลังจากการเดินทางเข้ามาสู่ยุคทีวีดิจิตอล ดังที่ทราบกันดีว่า มีผู้ผลิตหลายราย ที่แพ้ภัยตัวเองไปไม่น้อย

“ถามถึงผลกระทบของวงการทีวี ยอมรับว่าหวั่นนะครับ ผมบอกกับทุกเล่มว่า ผมโกรธมากเลย ประเด็นคือถ้าเปิดดิจิตอลขึ้นมา สมมติว่าเปิดมา 100 ช่อง แล้วเค้าอยู่ได้เพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ นั่นหมายถึงว่า ไม่ได้ถูกคิดแล้วก่อนจะเปิด คือถ้าอยู่ได้ 50 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าคุณทำการบ้านมาดีก่อนจะปล่อยโปรเจ็กต์นี้ออกมา แต่ถ้าไม่ถึง แสดงว่าคุณไม่ได้ศึกษาให้ดี แล้วก็ปล่อยภาระให้ผู้ประกอบการซึ่งผมถือว่าไม่ถูกต้อง

ถามว่ามันส่งผลกระทบอะไรต่อเรา ? มันกระทบอย่างมากในระยะเวลาปี สองปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านั้นรายการทีวีกำลังมา ทุกคนก็พร้อมจะสร้างรายการใหม่ ด้วยคอนเซ็ปท์ หรือการลงทุนที่สูง เพื่อให้ได้คุณภาพที่ทัดเทียมต่างประเทศ เพราะว่าตลาดมันดี ลงทุนเท่าไหร่ ถ้าฟอร์แมทดี สปอนเซอร์เข้า แต่หลังจากดิจิตอลปั๊บ วิธีการทำงานเปลี่ยนไปหมด เพราะว่าเงินมีอยู่เท่าเดิม แล้วต้องกระจายออกตามทุกๆ ช่องที่มี เงินร้อยบาทก็จะต้องถูกแชร์ออกไปไม่รู้ตั้งกี่ช่อง ทำให้วิธีการทำงานก็คนทีวี ก็คือทำเพื่อรอด เคยมีคุณภาพแบบนี้ ก็ลดคุณภาพ ลดเงินลงทุนลง เพื่อประหยัดต้นทุน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือการพัฒนาทางด้านทีวีหยุดชะงักมาหลายปีแล้ว เพราะไม่มีใครกล้าเสี่ยงที่จะลงทุน ทำให้เพื่อนบ้านนำเราไปหมดแล้ว เพราะเราไม่พัฒนา
ฉะนั้นถามว่าผมหวั่นมั้ย ? หวั่นมาหลายปีแล้ว และก็เชื่อว่าในอนาคตก็ยังมองภาพไม่ออกว่าทีวีจะดีขึ้นมั้ย เพราะทุกอย่างมันเปลี่ยนไป อนาคตแพลตฟอร์มอาจจะเปลี่ยนเป็นออนไลน์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องคิดก็คือว่า เราก็ต้องมองว่า เราจะเอา คอนเทนต์ของเราไปอยู่ในแฟลตฟอร์มออนไลน์ยังไง เพื่อให้อยู่ให้ได้ แต่ถ้าเรายังอยู่ในทีวี สิ่งที่เราต้องคิดก็คือ เราก็ยังต้องชัดเจนก่อนว่าเราก็ต้องทำคุณภาพให้ดีที่สุด แล้วก็หวังว่าสิ่งที่เราทำออกมา ถึงแม้ว่าจะต้องลงทุน แต่ก็เชื่อว่าถ้ามันมีคุณภาพ มันก็จะอยู่ได้ สมมติว่าใน 100 % จะตายไป 90 เราก็จะต้องอยู่ใน 10 % ให้ได้ แต่ถ้าเกิดเราไม่ลงทุน เราไปลดคอร์ส เราก็อาจจะไปอยู่ใน 90 นั้น
แล้วการจะอยู่ใน 10 % ก็ไม่ช่ว่าโปรดักชั่นดีอย่างเดียว คุณภาพดีอย่างเดียว แต่ความแตกต่างก็ต้องมีชัดเจน ซึ่งคอนเทนต์ที่มองไว้ นอกจากอาหารแล้ว ก็อาจจะมองไปที่กีฬา ก็จะเป็นอีกทางหนึ่งที่รายการไทยยังไม่ได้จับ ก็คงมีทั้งฟอร์แมตต่างประเทศ และคิดเอง ถามว่าทำไมไม่คิดเอง คิดเองถูกกว่า ผมขอถามกลับว่า ที่บอกว่าคิดเองอ่ะ คุณลอกเค้ามั้ย ? ถ้าคุณลอกเค้า ก็ซื้อเถอะครับ คนเค้าจะได้ไม่เกลียดคนไทย เราต้องซื่อสัตย์กับจุดตรงนี้ คุณจะดัดแปลงเค้าก็ได้ แต่คุณต้องซื้อเค้า”

เรียกว่าต้องซื่อสัตย์ทั้งกับคนดู และซื่อสัตย์กับตัวเอง ซึ่งถือเป็นคัมภีร์สำคัญในการผลิตรายการของ “หนุ่ม- กิติกร เพ็ญโรจน์” ในนามของบริษัท เฮลิโคเนีย เอช กรุ๊ป จำกัด

ที่มา นิตยสาร ผู้จัดการ 360 องศา สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 387 15-21 เมษายน 2560





กำลังโหลดความคิดเห็น