ความรู้สึกแรกเมื่อเห็นช่องทีวีในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ยิงทีเซอร์ความยาว 45 วินาที นำเสนอภาพผู้ชายที่อำพรางตัวเองใต้ผ้าปิดใบหน้า กำลังร่ายรำด้วยท่วงท่าของการไหว้ครูมวยไทยอันอ่อนช้อย ขณะเดียวกันก็แลดูแข็งแกร่งในคราเดียวกัน ก็ให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจไปกับภาพที่นำเสนอ เทคนิคการถ่ายทำ รวมถึงสไตล์การตัดต่อ ที่บอกเลยว่า โค-ตะ-ระ อินเตอร์มาก คือมีรสนิยม ดูแพง เหมือนดูหนังต่างประเทศระดับเกรดเอยังไงยังงั้น
และยิ่งสะดุดตามากยิ่งขึ้น เมื่อเห็นโลโก้เจ้าของผลงานปรากฏในท้ายทีเซอร์ เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ
Tony Jaa
ด้วยความไม่รู้จริงๆ ให้ตายเถอะ ตอนแรกเข้าใจว่า ค่ายจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ซื้อลิขสิทธิ์หนัง “องค์บาก” มาผลิตเป็นซิรีส์ฉายในช่องตัวเองซะด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น ก็ต้องแอบหัวเราะเบาๆ ว่าสาแก่ใจจริงๆ เพราะตอนแรกโปรเจ็กต์ภาพยนตร์เรื่องนี้ “ปรัชญา ปิ่นแก้ว” เคยนำเสนอจะสร้างให้กับจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ สมัยที่บาแรมยูเป็นบริษัทในเครือ แต่ก็ไมได้รับการตอบสนอง จนต้องหอบโปรเจ็กต์ไปนำเสนอค่ายสหมงคลฟิล์ม กระทั่งโกยสร้างได้ถล่มทลาย และสร้างให้ “จา-พนม ยีรัมย์” โด่งดังทั้งในประเทศ และในระดับอินเตอร์ ในนามของ “โทนี่ จา”
แต่ความเข้าใจในเบื้องต้นนั้นผิดถนัด !! เมื่อได้รับการเฉลยในเวลาต่อมาว่า ทีเซอร์ที่ยิงกันกระหน่ำในช่องทีวีเครือ จีเอ็มเอ็มแกรมมี่ แท้จริงแล้ว คือการโปรโมตผลงานเพลงซิงเกิ้ลแรกในชีวิตของ “จา พนม” ที่ชื่อเพลง “ลุย เฮ ลุย” (GROUNDBREAKING) ภายใต้สังกัด GRAND MUSIK ในเครือจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ ซึ่งเป็นลาเบลที่ผลิตผลงานของนักร้องเบอร์ต้นๆ ของเมืองไทยหลายต่อหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ดา เอ็นโดรฟิน , แบงค์ วงแคลช , บอย Peacemaker
หลายคนอาจคิดไม่ถึง หรือเดาไม่ออกว่า นี่คืออีกหนึ่งความสามารถของจา พนม นอกเหนือจากการแสดงภาพยนตร์บู๊แอ็คชั่นแนวโลดโผน แบบเล่นจริง เจ็บจริง ไม่ใช้แสตนด์ อิน และไม่ใช้สลิง
ในเชิงบู๊แอ็คชั่น จา พนม มี “บรู๊ซ ลี” เป็นฮีโร่ในดวงใจ ขณะที่ในสายเพลง เขาก็มี “ไมเคิล แจ็คสัน” เป็นไอดอล
“ผมไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องสูงถึงร้อยล้านวิวอะไรขนาดนั้น ขอแค่คนได้เห็นนวัตกรรมที่เราได้สร้างคิด ได้คิดค้นสิ่งใหม่ ซึ่งเป็นรากของคนไทย นั่นก็คือการนำท่ามวยไทย ศิลปะแม่ไม้มวยไทยมาประสานให้เกิดพลัง ทุกสิ่งทุกอย่างมีความหมาย ดังนั้นอย่างที่ทุกคนเห็น เวลาผมทำหนังก็จะเป็นอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง แต่เวลาผมทำเพลงก็จะเป็นศิลปะอีกแขนงหนึ่งเหมือนกัน ทั้งสองอย่างสามารถไปด้วยกันได้ ศิลปะไม่มีคำว่าสิ้นสุด”
นั่นคือถ้อยคำเปิดใจของจา พนมในงานเปิดซิงเกิ้ลแรกในชีวิต ในงาน TONY JAA SHOW ON STAGE ซึ่งต้องยอมกราบในกลยุทธ์ทางการตลาดของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ที่เข้าใจเลือกสถานที่จัดงานได้เข้ากับภาพลักษณ์ของเขา นั่นคือเปิดตัวบนสังเวียนมวย ณ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ สตูดิโอ ในรายการ MX MUAY XTREME
“เพลงนี้เนื้อเพลงได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวชีวิตของผมเอง และศิลปะการต่อสู้ของไทย ซึ่งผมภูมิใจกับการได้ใส่กลิ่นของความเป็นไทยเข้าไปอยู่ในเพลงของผม แค่นี้ผมก็แฮปปี้มาก ถือว่าบรรลุเป้าหมาย รวมทั้งการได้มาเจอทุกคนในแกรมมี่ ก็ถือเป็นโชคชะตา โชคชะตาที่เป็นจริงที่ได้มาทำผลงานเพลงนี้”
และเมื่อติดตามชมมิวสิกวิดีโอแบบเต็มๆ ก็ยังคงยืนยันความรู้สึกเดิม คือยอมใจในโปรดักชั่น ที่เทียบชั้นระดับสากล การเล่าเรื่องราวของภาพ ด้วยการเคลื่อนไหวของนักแสดง ที่ไม่ต้องผูกเป็น Story แต่ก็ชวนให้ติดตามตั้งแต่ต้นจนจบถ้าเป็นภาษาแฟชั่น ก็ต้องบอกว่า....น้อยแต่มาก เรียบแต่หรู
ในส่วนของจา พนม เอาจริงๆ คือไม่ได้คาดหวังเรื่องเสียงร้องอยู่แล้ว แต่ก็ถือว่าไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร แต่ที่โดดเด่นก็คือการ Movement ตามจังหวะ และทำนองเพลง ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเขามีทักษะในเรื่องนี้ในขั้นดีทีเดียว ซึ่งอาจจะส่งผลมาจากการฝึกในเรื่องคิวบู๊ การเคลื่อนไหวร่างกายมาตั้งแต่นมนาน จึงสามารถประยุกต์และนำมาปรับใช้กับการเคลื่อนไหวประกอบเพลงได้อย่างลงตัว เน้นความแข็งแรง และดูสง่า ไมได้เป็นท่าขายแบบ K Pop ซึ่งก็ถือว่าไม่ขัดหูขัดตากับภาพพจน์ความเป็นแอ็คชั่นฮีโร่ของจา
แต่ถ้าถามว่า....เพลงจะดังมั้ย !!???
สั้นๆ ง่ายๆ เลยนะ บอกเลยว่า...ยาก
เพราะด้วยแนวทางของเพลงไม่ใช่เพลงขาย ไม่ใช่เพลงแนวตลาด ประเภทตีหัวเข้าบ้าน ไม่ใช่เพลงที่คนจะเปิดฟังบ่อยๆ หรือคลื่นวิทยุจะเปิดกันถี่ๆ แต่เป็นเพลงแบบขายอิมเมจ เอาภาพมากกว่า หรือพูดง่ายๆ ว่าเน้นกล่อง ไม่ได้เน้นเงิน เหมือนตั้งใจปล่อยของ โชว์ของมากกว่า ซึ่งต้องบอกเลยว่า นานแล้วที่จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ไม่ได้ออกงานเพลงสไตล์นี้ หรือจะพูดให้ชัดๆ ก็คือ นานแล้วที่ไม่ได้ผลิตผลงานเพลงออกมา เพราะอย่างที่รู้ๆ กันว่า ยุคนี้เพลงขายไม่ได้ ค่ายเพลงก็เลยหันไปเอาดีทางการเป็นเจ้าของสื่อทีวีกันเสียหมด
ถามว่าถ้าเพลงไม่ดัง แล้วจะกระทบกับภาพลักษณ์ และชื่อเสียงของจาหรือเปล่า !!??
คือถ้าเป็นสมัยก่อน เพลงไม่ดัง อาจจะถูกมองว่าแป้ก ถูกมองว่าตกแล้ว หรือหัวเราะเยาะซ้ำ ว่าอยู่ดีๆ ไม่ว่าดีอะไรทำนองนั้น แต่ในกรณีของจา การออกเพลงในลักษณะเนื้อหาแบบนี้ ดนตรีแบบนี้ ก็มองเจตนารมณ์ออกแล้วว่าไม่ได้มุ่งหวังว่าจะขายโหลดกันถล่มทลาย หรือมียอดคนดูในยูทูปเป็นล้านๆ วิวอย่างที่บอกไปเมื่อข้างต้นอยู่แล้ว แต่ถ้าไปอยู่ในโปรดักชั่นที่ง่อยๆ นั่นต่างหากที่อาจจะทำให้เสียภาพ เพราะจาต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อม และองค์ประกอบที่ดูเป็นสากลแบบนี้น่ะเหมาะแล้ว
ขณะที่เมื่อตรองดูทิศทางแล้ว การจับมือกันระหว่างจีเอ็มเอ็มแกรมมี่กับจา พนมในคราครั้งนี้ อาจจะไม่ได้มุ่งหวังที่จะเน้นตลาดที่เมืองไทย แต่อาจจะมองไกลไปถึงการลุยตลาดเพลงสากลในภายภาคหน้า เหมือนที่เขาโกอินเตอร์จนประสบความสำเร็จในสาขานักแสดง โดยอาศัยชื่อชั้นที่เป็นที่ยอมรับกันดีอยู่แล้วในตลาดต่างประเทศ
หรือไม่เผลอๆ การออกซิงเกิ้ลเพลงนี้ อาจจะเป็นแค่การเปิดหัวแหวน เพื่อปูทางไปสู่การดีลกันทำโปรเจ็กต์อื่นๆ ที่ใหญ่กว่านี้ และอลังการงานสร้างมากกว่านี้
แต่ก็อยากฝากข้อคิดสะกิดใจสำหรับจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ว่า ต้องรัดกุมเรื่องสัญญาซึ่งกันและกันให้จงหนัก อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เหมือนเมื่อคราสหมงคลฟิล์ม ที่เคยเป็นกรณีพิพาทกันมาก่อน
ที่มา นิตยสาร ผู้จัดการ 360 องศา สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 386 8-14 เมษษยน 2560