ฟังจะจะ “บอย ถกลเกียรติ” ยันแท็กซี่ไม่ได้รีดเงิน แต่เสนอชดใช้ให้เอง รับผิดบันดาลโทสะก่อน ใช้เท้าถีบรถ ฉุนเปิดไฟว่างแต่ไม่รับ ซัดคู่กรณีทำเกินกว่าเหตุท้ายิงต่อหน้าลูก บอกไม่เอาเรื่องแต่ต้องลงบันทึกประจำวัน ลั่นตอนแรกจะเรียกใช้บริการอูเบอร์ แต่ลูกสาวห้ามบอกผิดกฎหมาย โวยถูกจำกัดสิทธิ ตนและแท็กซี่เป็นแค่เหยื่อของระบบ
กลายเป็นข่าวดังชั่วข้ามคืน สำหรับกรณีที่มีคลิป “บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสถานีโทรทัศน์ช่องวัน 31 ถูกคนขับรถแท็กซี่ขู่ยิง พร้อมสั่งให้ยกมือไหว้ และรีดเงินอีก 1 พันบาท เนื่องจากไม่พอใจที่อีกฝ่ายทุบรถเหตุบอยโบกแล้วแท็กซี่ไม่ยอมจอด โดยพลเมืองดีรายงานว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นต่อหน้าลูกสาวของผู้จัดคนดัง ซึ่งหลังคลิปดังกล่าวว่อนเน็ต ก็กลายเป็นกระแสสังคม ถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมาก
ล่าสุด วันนี้ (3 เม.ย.) เวลา 11.00 น. บอยได้นัดสื่อมวลชนแถลงด่วน ณ สตูดิโอ GMM Grammy ชั้น 2 ในรายการเที่ยงรายวัน โดยยอมรับผิดว่าตนเองก็บันดาลโทสะก่อน
“เหตุเกิดเมื่อคืนวันเสาร์ (1 เม.ย.) ประมาณ 1 ทุ่ม ผมขอเล่าล่ะกันว่า ทำไมผมต้องไปอยู่ตรงนั้น จริงๆ มันใกล้บ้านผม ตรงนั้นสุขุมวิท 33 ผมก็เดินมาตั้งแต่เอ็มโพเรียม จนสุขุมวิท 33 จนขากลับ มีงานที่บ้าน มีญาติผู้ใหญ่รออยู่ที่บ้าน ผมและลูกสาวคนโตไปดูหนังกันก่อน เสร็จแล้วต้องไปเอาอาหารจากร้านซอย 33 หลังจากดูหนังเสร็จแล้วตอนแรกจะเรียกอูเบอร์ แต่ลูกสาวบอกว่าอูเบอร์ผิดกฎหมาย (หัวเราะ) เลยโอเคไม่เรียกก็ได้ ขาไปเราเดินไปแล้วกัน ขากลับเราก็เลยเรียกแท็กซี่ เพราะขากลับมันเรียกแท็กซี่ลำบาก”
“ก็มาเจอเคสที่คนกรุงเทพฯ เจอบ่อย คือ แท็กซี่ไม่ไป มีคันหนึ่งผ่านมาก็เรียก เขาถามว่าไปไหนก็บอกว่าไปตรงนี้ บ้านอยู่ใกล้ๆ เขาก็บอกว่าไม่ไป อันนั้นคันหนึ่งแล้ว ผมก็รู้สึกว่าเฮ้ย มันเป็นประเด็นสังคมอยู่ ทุกวันนี้เป็นปัญหากันอยู่ ทำไมมาตอกย้ำไอ้ความไม่ดีของสิ่งตรงนี้ เป็นสิ่งที่เราก็อึดอัดมาซักพัก ไม่ไปไม่เป็นไร พออีกคันมาผมก็โบก คันนี้คือคันคู่กรณี คันนี้ไม่จอด ขับผ่านเลย พอขับผ่าน สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวผม คือ การโกรธ และเราอึดอัด”
“ถ้าจะเรียกให้จอด ถ้าเป็นคนเดินผ่านเราจะบอกว่าเฮ้ย หยุด พอเป็นรถ ผมบันดาลโทสะ อันนี้ผมผิด ผมพยายามจะเรียก มือไม่ได้เดี๋ยวรถชน ผมก็ใช้เท้า ซึ่งอันนี้ไม่มีใครทราบ ตัวแท็กซี่ก็ไม่ทราบใช้เท้าสะกิดเรียก แต่แรงไม่แรงก็ไม่รู้ยังไง ซึ่งก็เหมือนไปเตะรถเขา ไม่ได้ทุบ พอเขาจอด สิ่งที่ผมทำ ผมเปิดประตูเพื่อเข้าไปนั่ง เพื่อที่จะใช้บริการ ผมต้องการอย่างนั้น จอดแล้วใช่มั้ย จะเข้าไปใช้บริการ แต่แท็กซี่เดินอ้อมมา สีหน้าโกรธมาก แล้วถกเถียงกันว่าทุบรถผมทำไม ผมก็บอกว่าแล้วทำไมไม่จอด ไฟก็เปิดอยู่ว่าว่าง เขาบอกผมอาจจะกำลังไปรับผู้โดยสารอื่น เราก็บอกแต่ไฟคุณบอกว่าว่าง คุณก็ปิดไฟสิ ก็เถียงกัน จนมีประโยคหนึ่งจากแท็กซี่ที่บอกว่าเรามายิงกันซักนัดมั้ย ผมว่ามันแรงไป ลูกสาวผมก็อยู่ตรงนั้น”
“ลูกสาวบอกว่าพ่อ ไปเถอะ ผมก็มีส่วนผิดที่ไปทำร้ายรถเขา รถใครๆ ก็รัก ผมก็เข้าใจได้ แต่พอบอกยิงผมซักนัดมั้ย ผมก็โอเค ผมขอโทษ ลูกอยู่ตรงนั้น ลูกอยู่ตรงนั้น ชีวิตลูกสำคัญสำหรับผม พอก็โอเค ผมขอโทษแล้วกัน เขาก็บอกว่าไหว้สิ ผมก็ไหว้ ในคลิปไม่เห็นเพราะตอนนั้นแพนไปถ่ายที่ทะเบียนรถพอดี ตอนนั้นหน้าลูกหน้าภรรยาหน้าครอบครัวลอยมาเต็มไปหมด พอไหว้เสร็จแล้ว ผมก็คิดว่าผมเป็นต้นเหตุเหมือนกัน ผมก็เสนอว่าจะให้ผมชดใช้เท่าไหร่ นี่คือสิ่งที่ออนไลน์พาไปเบนกับแท็กซี่คนนั้นเกินกว่าเหตุ ผมเป็นคนเสนอเอง เขาไม่ได้เรียกร้องก่อน อันนี้ต้องแฟร์ๆ กัน ผมก็เลยให้ไปพันหนึ่ง”
ซัดทั้งตนและแท็กซี่เป็นเหยื่อของระบบ ทำไมต้องออกกฎหมายจำกัดไม่ให้ประชาชนมีทางเลือก
“จริงๆ ถามว่าผมติดใจอะไรมั้ย ผมไม่ติดใจ เข้าใจได้นะ ขับรถอยู่แล้วมีคนมาตึ้งก็ต้องโกรธเป็นธรรมดา แต่เราต้องแยกทีละประเด็น ไฟก็เปิดว่าง แต่ไม่รับ มันก็หลายๆ คัน โอเค ก่อนหน้านั้น ก็คือ สองคันที่ไม่รับ การที่ผมเหมือนไปทำลายทรัพย์สินเขา ผมก็ออปเฟอร์ตรงนั้นไป บอกว่าจะชดใช้ก็น่าจะจบ แต่มันมีอีกประเด็นที่ว่า มายิงกันซักนัดมั้ยเรารู้สึกว่ามันน่าจะเกินกว่าเหตุ แล้วมีเด็กอยู่ตรงนั้นด้วย”
“สิ่งที่คิดว่าเป็นประเด็นใหญ่กว่าที่ บอย ถกลเกียรติ ทะเลาะกับแท็กซี่ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรขนาดนั้น แต่เรื่องใหญ่จริงๆ คือ ทั้งผมและคนขับแท็กซี่เราเหยื่อของระบบ เพราะทุกวันนี้เรามีทางเลือกที่จะใช้บริการอะไรก็ได้ แต่กฎหมายกำลังจำกัดทางเลือกของประชาชน มันมีทั้งออนไลน์ บริษัทโน้นบริษัทนี้ คือ ถ้าวันไหนผมไม่มีรถ ผมก็ขึ้นมอเตอร์ไซค์ บางทีเรียกแท็กซี่ บางทีก็ออนไลน์เรียก ผมก็มีหลายออปชัน แต่วันนั้นผมขึ้นมอเตอร์ไซค์ไม่ได้ เพราะมีลูก มีของพะรุงพะรัง ไม่เอารถไปเพราะแยกกันไปกินข้าวก่อน แล้วแยกกันหลายๆ คน มีผมกับลูกสาวที่แยกไปดูหนังก่อน ขากลับต้องเดินไปเอาอาหาร เพราะมีญาติผู้ใหญ่มาทานข้าวที่บ้าน”
“สิ่งที่ผมอยากตั้งคำถาม คือ ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ มันสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่ระบบคืออะไร ตัวเลือกเรามี แต่เหมือนกฎหมายกำลังจำกัดตัวเลือก ไม่งั้นผมก็เรียกอย่างอื่นแล้วถ้าลูกไม่บอกว่าพ่อมันผิดกฎหมายนะ”
ยันไม่อยากเอาเรื่อง แต่ต้องลงบันทึกประจำวัน
“จริงๆ ไม่อยากเอาเรื่องอะไรเลย เพราะผมเข้าใจได้ และผมอยากจะขอโทษคนขับแท็กซี่คนนั้นที่ผมก็มีส่วนผิด ในเรื่องการบันดาลโทสะผมก็เป็นคนเริ่ม อันนี้ผมขอโทษในสิ่งที่ทำ แต่ก็อย่างที่บอกต้องแยกแยะ คุณเปิดไฟว่าง ถามว่าอยากจะเอาผิดมั้ย ผมไม่อยากเอาผิดอะไรใคร แต่ผมต้องทำอะไรในเชิงกฎหมายมั้ย ถ้าจะให้ถูกต้องผมต้องลงบันทึกประจำวันแต่ไม่ต้องการเอาผิดอะไรใคร ลงบันทึกประจำวันเพื่อเป็นเรคคอร์ดเฉยๆ ว่ามีกรณีนี้เกิดขึ้น แต่ไม่ได้ต้องการเอาผิดอะไร เพราะผมว่าเป็นเรื่องที่มีความผิดกันทั้งคู่ ซึ่งล่าสุดแท็กซี่ก็ออกมาชี้แจง โดนปรับ และโดนพักใบอนุญาตไปแล้ว ผมก็ขอโทษเหมือนกัน ผมก็เห็นใจ ผมว่าเราเป็นเหยื่อของระบบ”
“ตอนแรกเรียกแล้วไม่ไปตอนนั้นเราก็โกรธ แต่ผมโกรธง่ายหายเร็ว ผมเปิดประตูจะขึ้นไปใช้บริการ แต่เขาเดินออกมา ผมก็คิดว่าซวยแล้ว (หัวเราะ) ที่มีข่าวว่าน้องร้องไห้ ก็ครับ (หัวเราะ) ลูกผมก็บอกว่าไปเถอะ ก็สงสารมากตรงนั้น ก็น่ากลัวอยู่ จริงๆ ไม่ใช่จะต้องขึ้นคันนี้ แต่ถ้าใครรู้จักผมดี ผมเป็นคนที่หลักการมาก่อน ถ้าคุณทำอาชีพนี้ ไฟว่างก็ต้องรับ ไม่งั้นคุณต้องปิดไฟ ผมจะเป็นคนหงุดหงิดเรื่องหลักการ แล้วจะมาออกในแต่ละเคสๆ ไป เรื่องลงบันทึกประจำวันก็ยังไม่ได้ไปครับ”
“ส่วนประเด็นเรื่องปืนที่บอกว่าพูดไม่ตรงกัน ณ เวลานั้นก็ต้องดูนะ เวลาภาษาไทยเราพูด มันไม่มีประธาน ไม่มีกรรม การที่บอกว่ามายิงกันซักนัดมั้ย เราไม่รู้อะไรคือประธาน อะไรคือกรรม (หัวเราะ) ถ้าด้วยความถูกต้องก็ต้องลงบันทึกประจำวันแต่จริงๆ ไม่ได้ต้องการสานต่ออะไรเลย จริงๆ ถ้าไม่มีเป็นเรื่องเป็นราวที่ออกมาในออนไลน์มันก็จบแล้ว ผมก็ต้องขอโทษที่ผมก็มีความโมโหและไปทำลายทรัพย์สินตรงนั้นแต่ก็เป็นบทเรียนกันทั้งหมด สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นประเด็นใหญ่กว่านั้นไม่ใช่บทเรียนของผมและคนขับแท็กซี่ แต่คิดว่าน่าจะเป็นบทเรียนระบบ ในเมื่อมีตัวเลือกเยอะแยะ ทำไมต้องจำกัดตัวเลือกเรา”
“ถามว่าจะไม่ขึ้นแท็กซี่อีกเลยมั้ย ก็ไม่ครับ พูดตรงๆ ผมเจอกรณีแท็กซี่ไม่ไปน้อยมาก ต่างจากคนอื่น เราก็ได้รับข่าวสาร อ่านมาเยอะแยะว่าเป็นประเด็นใหญ่ของสังคม ก็เลยรู้สึกว่าเฮ้ย ทำไมต้องมาเป็นแบบนี้ มันยิ่งทำให้อาชีพนี้หมดความน่าเชื่อถือ แต่ไม่ถึงกับไม่ขึ้นแท็กซี่อีก ส่วนเรื่องที่จะจุดกระแสให้อูเบอร์กลับมาให้บริการต่อไปได้มั้ย ผมไม่มีหน้าที่ทำตรงนั้น ผมแค่เป็นหนึ่งเสียงที่อยากฝากไปถึงผู้ที่รับผิดชอบที่จะทำให้กฎหมายเปลี่ยนแปลงอะไรก็แล้วแต่ ส่วนลูกกับภรรยาก็ตกใจเป็นปกติครับ คนที่ถ่ายคลิปเขาก็ถามตามที่บอก ส่วนเรียกรถแท็กซี่ตรงทางโค้งจริงมั้ย รถก็เลี้ยวออกมาจากซอยแล้ว ก็ตามที่บอกเมื่อกี้เลยนะครับ”
สำหรับคนขับแท็กซี่คู่กรณี “นายรุ่งนคร ดลกุล” ได้เดินทางเข้าพบ “นายณันทพงศ์ เชิดชู” รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เพื่อให้ปากคำ โดยทางกรมขนส่งฯ ได้เปรียบเทียบปรับ 2 ข้อหา ฐานไม่รับผู้โดยสาร ปรับ 1,000 บาท และ แสดงกิริยาและใช้วาจาไม่สุภาพ ปรับ 1,000 บาท โดยพักใบอนุญาต 30 วัน และให้เข้าร่วมอบรมเสริมสร้างจิตสำนึกในการให้บริการผู้โดยสารด้วย จำนวน 3 ชั่วโมง
ด้านแท็กซี่ก็อ้างว่าจุดที่ผู้จัดคนดังเรียกนั้นเป็นจุดที่จอดไม่ได้จึงไม่จอด พร้อมส่งสัญญาณมือบอกไปแล้ว แต่กลับได้ยินเสียงคนทุบรถ จึงลงไปสอบถามว่าทุบรถตัวเองทำไม พร้อมขอความเห็นใจว่าตัวเองก็รักทรัพย์สินเหมือนคนอื่นๆ จากนั้นผู้อีกฝ่ายจึงเสนอชดใช้เงินจึงเรียกเงิน 1,000 บาท และคิดว่าเรื่องจะจบแล้ว
ส่วนข่าวที่เผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นเรื่องเข้าใจผิด ยืนยันว่า ไม่ได้ข่มขู่ผู้โดยสาร แต่พูดว่าถ้าคุณทำอย่างนี้ ยิงผมเลยดีกว่า ซึ่งตัวเองเป็นคนบุคลิกภาพแบบนี้เป็นคนพูดไม่หวาน แต่มีความจริงใจ พร้อมฝากถึงคนที่โพสต์คลิปว่าหากไม่ทราบความจริงให้หยุดการกระทำที่ทำให้คนอื่นเสียหาย และได้เข้าพบพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อแล้วเมื่อวานนี้
ก่อนขอความเห็นใจ ฝากถึงคุณบอยว่าเป็นคนมีฐานะร่ำรวย แต่ตัวเองเป็นคนหาเช้ากินค่ำ ต้องมาวิ่งแก้ข่าว ส่งผลกระทบต่อตัวเองและครอบครัวเพราะได้รับความเดือดร้อน