เพิ่งจะยืนยันความแข็งแกร่งของ 3 คลื่นวิทยุในมือ ทั้ง Chill 104.5 , 94 Efm. และ Green Wave 106.5 ไปหมาดๆ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ในฐานะหัวเรือใหญ่ของเอ ไทม์ มีเดีย สำหรับ “พี่ฉอด-สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจ จีเอ็มเอ็ม มีเดีย บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) โดยครานั้น CEO หญิงที่ทั้งเก่ง และแกร่ง กล่าวว่าทั้ง 3 คลื่นดังกล่าวมีฐานคนฟังกว่า 19 ล้าน จากทุกแพลตฟอร์มทั้งออนแอร์และออนไลน์ สวนกระแสภาวะซบเซาของสื่อTraditional Media ทุกประเภทในปีทีผ่านมา และย้ำด้วยความมั่นใจว่าปี 2560 สื่อวิทยุยังเป็นสื่อที่มีอิทธิพลเข้าถึงกลุ่มผู้ฟังได้ตลอดทุกช่วงเวลา
แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ต้องยอมรับว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป เดี๋ยวนี้หาคนที่จะเปิดวิทยุฟังแบบเอาเป็นเอาตายเหมือนเมื่อก่อนน้อยมาก พอๆ กับที่คนดูทีวีน้อยลง แล้วหันไปเสพความบันเทิงผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ไม่ว่าจะดูรายการย้อนหลัง หรือเปิดเพลงฟัง ก็ล้วนแล้วแต่ผ่านยูทูบ หรือแอปพลิเคชั่นกันจนหมดสิ้น
ข้อสังเกตอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดๆ เลยก็คือ ยุคนี้จะหาดีเจ ที่โด่งดัง และประสบความสำเร็จในบทบาทดีเจเพียวๆ แทบไม่มีแล้ว แม้กระทั่งดีเจในคลื่นของเอไทม์เอง แทบจะทั้งหมด ล้วนแล้วแต่ต้องขยายฐานความนิยมของตัวเองด้วยแขนงงานอื่นๆ เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรายการทีวี , เล่นละคร ฯลฯ เพราะคนติดดีเจกันน้อยลง ไม่เหมือนยุคเฟื่องฟูของรายการวิทยุ ที่ดีเจ ส่วนใหญ่อยู่ในบทบาทที่เรียกว่าเป็น Teen Idol ของคนฟังกันเลยทีเดียว
แม้กระทั่งตัวคลื่นเอง ก็ยังต้องมีการต่อยอดไปสู่รายการทีวี อย่างคลื่น Efm ก็มีรายการ Efm On TV รวมไปถึงรายการ “แฉ” หรือคลื่น Green Wave ก็มีการนำคอนเทนต์หลักของคลื่นอย่าง Club Friday มาสร้างมูลค่าเพิ่ม สู่รายการวาไรตี้ทอล์กโชว์ Club Friday Show (Base on Celeb Story) ซึ่งก็สอดคล้องกับข้อสังเกตข้างต้น เพราะแม้กระทั่งดีเจ ระดับเก๋าเกมอย่างดีเจ พี่ฉอด และดีเจ พี่อ้อยเอง ยังต้องมาทำหน้าที่เป็นพิธีกรเปิดเรื่องจริงจากหัวใจคนดัง รวมไปถึงซิรี่ส์ยอดฮิตอย่าง Club Friday The Series ที่ดำเนินมาถึงซิรี่ส์ที่ 8 แล้ว ซึ่งก็ต้องถือว่าเป็นคอนเทนต์ที่พีคที่สุดในช่อง Gmm 25 เลยก็ว่าได้ นอกจากนั้นอาจหมายรวมการแตกหน่อสู่ธุรกิจโชว์บีช คอนเสิร์ต เพื่อเป็นการขานรับความเปลี่ยนแปลงของกลุ่มผู้บริโภค และเป็นการหารายได้ชดเชยธุรกิจวิทยุ
สำหรับค่ายเอไทม์ มีเดีย ที่ถึงแม้จะก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของวงการวิทยุ ภายหลังจากลาจากของสไมล์ เรดิโอ ก็ใช่ว่าจะอยู่อย่างเสวยสุขบนบัลลังก์ทอง แล้วก็ไมได้แข็งแกร่งดังคำของพี่ฉอดเสียทีเดียว เพราะถ้ายังจำกันได้ คลื่นดังในตำนานอย่าง Hot Wave 91.5 ยังถึงคราวต้องอำลาหน้าปัดไปเมื่อปี 2555 โทษฐานเป็นคลื่นที่ไม่ทำรายได้ ซึ่งก็คงเป็นเหตุผลที่ไม่ต่างจากการยุบคลื่นซี้ด ของ อสมท. ที่เป็นข่าวฮือฮาเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว
"คุณไพบูลย์บอกว่าถ้าทำธุรกิจแล้ว กำไรน้อยกว่า 20% เอาเงินไปเล่นหุ้นดีกว่า ดังนั้นทุกคนต้องทำยอดให้สูงสุดทำรายได้ให้มาก" หนึ่งในทีมบริหารของเอไทม์ เคยกล่าวไว้ในนิตยสารผู้จัดการในยุคสมัยที่เอไทม์รุ่งเรืองสุดๆ
ผ่านไปเพียงแค่ 3 เดือนนับจากคำสัมภาษณ์ของพี่ฉอดถึงความแข็งแกร่งของ 3 คลื่นวิทยุของเอไทม์ ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นอีกครั้งคราหนึ่งแล้ว นั่นคือการตัดสินใจคืนสัมปทานคลื่น 94 ให้กับกองทัพไทย โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนนี้ ฉะนั้นจึงเหลือคลื่นที่คงอยู่ในมือเพียง 2 คลื่น คือ 104.5 และ 106.5
สำหรับคลื่น 94 ปัจจุบันเป็นกองบัญชาการของ Efm ที่เตรียมการโยกย้ายไปปักหลักที่คลื่น 104.5 แทนที่ Chill ส่วนคลื่น Chill ก็จะผันตัวเองไปสู่ช่องทางออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบคลื่นแรกของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงคำรบ 3 หลังจากที่เพิ่งย้ายตัวเองมาจากคลื่น Fm. 89 มาอยู่ที่ Fm. 104.5 เมื่อตอนต้นปี เช่นเดียวกับคลื่น Efm ที่เปลี่ยนจากคลื่น 93.5 สู่ 94 และเตรียมย้ายหน้าปัดไปอยู่ที่ 104.5 แทนที่ Chill
นอกเหนือไปจากนั้นแล้ว ทางเอไทม์ ยังเตรียมการที่จะเปิดแอปพลิเคชัน มิวสิก แพลตฟอร์ม ในอีก 2 เดือนข้างหน้า เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคและเพื่อเป็นช่องทางการขยายฐานคนฟัง ส่วนการขายโฆษณานั้น จะเน้นการขายแบบเป็นแพ็กเกจระหว่างคลื่น Chill กับ EFm เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกการสื่อสารได้อย่างครบวงจร โดยเฉพาะในยุคที่แบรนด์ต่างๆ พุ่งงบไปที่ตลาดดิจิตอลมากยิ่งขึ้น โดยไม่วายย้ำความมั่นใจว่าธุรกิจวิทยุปีนี้ มีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้น 15%
มองในแง่มุมของธุรกิจ ก็เท่ากับว่าเอไทม์เอง ก็สามารถลดต้นทุนในการผลิตไปได้มากโขเลยทีเดียว เพราะไม่ต้องจ่ายเงินก้อนโตในการเช่าสัมปทาน ที่แม้ว่าจะถือครองกันมากว่า 10 ปีแล้วก็ตาม เป็นการบีบรัดตัวเองเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพของเศรษฐกิจที่ผันผวนอย่างรวดเร็ว และตลอดเวลา ซึ่งในยุคทองของเอไทม์ นั้น เคยมีคลื่นวิทยุในมือถึง 5 คลื่น ผ่านมรสุมลูกแล้วลูกเล่า จวบจนเหลืออยู่เพียง 2 คลื่น ซึ่งครั้งหนึ่ง พี่ฉอด เคยสะท้อนมุมมองความคิดเกี่ยวกับการทำธุรกิจวิทยุไว้ในนิตยสารผู้จัดการ ความว่า
"การทำวิทยุสักคลื่น ไม่สามารถบังคับคนฟังได้ มันเป็น know-how ที่ไม่ใช่ทุกคนจะทำวิทยุได้สำเร็จ ถามว่าเราได้คลื่นวิทยุมาใหม่จะทำสำเร็จหรือไม่ ยังตอบไม่ได้เลย มันไม่มีสูตรสำเร็จ ไม่มี 1 บวก 1 แล้วเป็น 2 เป็นช่วงเวลา บุคลากรเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก"
และสำหรับคลื่น 94 เดิมของ Efm นั้น ทางกองทัพไทยจะดึงกลับมาบริหารเอง โดยใช้ชื่อคลื่นว่า “บางกอก สไมล์” เตรียมดีเดย์ออกอากาศอย่างเป็นทางในวันที่ 1 เมษายน
ที่มา นิตยสาร ผู้จัดการ 360 องศา สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 385 1 – 7 เมษษยน 2560