“โอริเวอร์” เปิดใจพร้อม “มาร์ค” น้องชาย ขอบคุณโซเชียลกระหน่ำแชร์ข่าวจนเจอคู่กรณี ขับรถชนหลานดับคาที่ ลั่นอโหสิหลังอีกฝ่ายเข้ามอบตัว - กราบขอขมาศพ บอกเวรต้องระงับด้วยการไม่จองเวร แต่เรืองคดีปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมาย ยันไม่เรียกร้องแต่ขอรอดูความรับผิดชอบจากอีกฝ่าย
จากกรณีที่โลกโซเชียลร่วมแรงร่วมใจช่วยกันล่าตัวรถกระบะซึ่งเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ก่อนหลบหนี ผู้เจ็บเป็นหญิง ชื่อ “น.ส.อรณี เพ็งทรัพย์” อายุ 23 ปี ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ซึ่งต่อมาเพจคนข่าวบางปะกง ระบุว่า เป็นลูกสาว “มาร์ค บีเวอร์” น้องชายนักแสดงดัง “โอริเวอร์ บีเวอร์” โดยเจ้าตัวโพสต์ข้อความสะเทือนใจว่า “ลูกสาวทิ้งผมไปแล้ว” และหากใครมีกล้องหน้ารถหรือจำทะเบียนรถได้ขอให้แจ้งเข้ามา
ล่าสุด วันนี้ (23 มี.ค.) โอริเวอร์ และ มาร์ค ได้ออกมาเปิดใจในงานบวงสรวงละคร “เล็บครุฑ” สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 ถึงความคืบหน้าอุบัติเหตุ เผยคู่กรณีได้เข้ามากราบขอขมาศพแล้ว ขอบคุณทุกคนที่แชร์ข่าว ชี้ เป็นประโยชน์เพราะทำให้อีกฝ่ายเข้ามามอบตัว
โอริเวอร์ : “หลังจากที่ได้ลงโซเซียลไปก็ขอบคุณที่ช่วยกันแชร์ ผมว่าเรื่องที่ช่วยกันแชร์มันมีประโยชน์นะ เพราะหลังจากนั้น เขาก็ได้เข้าพบกับน้องชายผม ได้พูดคุย และกราบขอขมาศพเรียบร้อย ซึ่งทางเราก็คิดว่าต่อให้ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ หรือไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่คนก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว คือมันมีประโยคหนึ่งที่เราคุยกันในครอบครัวว่าเวรต้องระงับด้วยการไม่จองเวรดีกว่า ชาติที่แล้วคงมีเวรมีกรรมที่ ณ ตรงนั้น เวลานั้นพอดี และก็อโหสิกรรมให้กัน ซึ่งมันคดีอาญา แน่นอนยอมความไม่ได้ ก็ต้องเป็นเรื่องของทางตำรวจไป และผลสุดท้ายเขาจะถูกตัดสินยังไง ก็ต้องอยู่ในขั้นตอนของศาลต่อไป ซึ่งเขามาเขาก็เข้ามากราบและมาพูดคุย”
“ส่วนเรื่องการแชร์ในโลกโซเซียล ผมต้องขอบคุณที่ทุกคนช่วยกันแชร์ เราครอบครัวบีเวอร์ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยเป็นหูเป็นตา ที่ทำให้ได้พบกับคู่กรณี และอย่างที่บอกจากนี้เป็นเรื่องของทางกฎหมาย ขอบคุณทุกสื่อครับ ซึ่งระยะเวลาการแชร์เราแชร์ไปตอนบ่าย 2 และพอวันรุ่งขึ้นประมาณเที่ยงๆ ทางสถานีตำรวจเขาก็โทร.มาแจ้ง และคนนั้นเขาบอกว่าเห็นในสื่อเยอะ เขาจึงเข้ามอบตัว ซึ่งถ้าไม่ได้สื่อช่วย มันก็อาจจะตามยากมากขึ้น”
ไม่ติดใจ ไม่เรียกร้อง แต่ขอรอดูว่าอีกฝ่ายจะรับผิดชอบอะไรบ้าง
มาร์ค บีเวอร์ : “ซึ่งทางคู่กรณีก็เข้ามากราบ เข้ามาพูดคุย เขาเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ผมก็โอเคนะครับ เราก็อโหสิกรรมให้เขาอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทางด้านกฎหมาย คือเขาก็ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าวินาทีนั้นมันเร็วมาก พอเขาทับเสร็จ ลูกสาวผมก็เสียชีวิตคาที่เลย เขาก็ขับเลยไปด้วยความตกใจ ผมก็เข้าใจว่าเขาอาจจะทำอะไรไม่ถูก เขาก็เลยขับต่อไป”
“คือ ทางครอบครัวเราไม่ได้ติดใจอะไร เพราะเราได้อโหสิกรรมให้เขาไปแล้ว แต่ตอนนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทางด้านกฎหมายดำเนินคดีไป เพราะมันเป็นคดีอาญา ซึ่งมันก็อึ้งนะครับ ส่วนในเรื่องของความรับผิดชอบ เรายังไม่ได้คุยกันถึงตรงนั้น ก็ต้องดูว่าเขาจะเข้ามารับผิดชอบอะไรบ้าง แต่ผมก็ไม่ได้เรียกร้องและติดใจอะไร ส่วนสภาพจิตใจตอนนี้ก็ดีขึ้นนิดหนึ่ง (สีหน้าเศร้าซึม)”