เรียกว่าเป็นนางเอกเบอร์ต้นๆ ของช่อง 3 ที่อายุน้อยที่สุดเลยก็ว่าได้ สำหรับ "พรีม รณิดา เตชสิทธิ์" กับผลงานล่าสุด 3 เรื่อง เรือนประดับดาว, ชั่วโมงต้องมนต์ และ เสน่ห์รักนางซิน ที่จะจ่อคิวรอวันออกอากาศในเร็วๆ
วันนี้ "นัดคุย" ขอพามาเปิดเรื่องเล่าของชีวิตนักแสดงสาววัยเพียง 20 ปี "พรีม รณิดา" ที่ต้องก้าวมาเป็นหัวหน้าครอบครัวตั้งแต่วัยรุ่น หลังพ่อแม่แยกทางกัน และต้องการหารายได้เพื่อหวังจะช่วยครอบครัวดูแลพี่ชายที่เป็นดาวน์ซินโดรม ซึ่งการพูดคุยหลังจากนี้จะทำให้คุณรู้ว่าทำไมถึงถูกยกให้เป็นลูกกตัญญูตัวจริง
"พรีมทำงานตั้งแต่อายุ 14 ปี พอเราได้มีโอกาสเข้ามาทำงานในวงการนี้ มันเหมือนพรีมก็กลายเป็นหัวหน้าครอบครัว มันทำให้ชีวิตครอบครัวของพรีมสบายขึ้น ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองก็สามารถหาเงินเลี้ยงคุณแม่กับพี่ชายที่เป็นโรคดาวซินโดมได้ อย่างเมื่อก่อนคุณแม่เขาทำงานประจำ แต่พอพรีมมาทำงานตรงนี้ พอเริ่มเข้าที่เข้าทางพรีมก็เลยตัดสินใจเป็นคนทำงานดูแลครอบครัวเองส่วนคุณแม่ก็ให้มาดูแลพี่ชายเลยค่ะ"
"อย่างช่วงนี้ถ่ายละครหนักก็ไม่ค่อยมีเวลาว่างพาที่ชายไปข้างนอก แต่หากวันไหนที่พรีมอยู่บ้าน พรีมจะนั่งอยู่กับเขาแล้วให้เขาอ่านหนังสือให้เราฟัง อย่างที่บอกว่าเด็กพิเศษ ดาวซินโดม ออทิสติก หรือคนพิการ ในเมืองไทยจะไม่ค่อยพูดถึงเรื่องพวกนี้มาก และคนไทยบางคนไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วโรคนี้มันละเอียดขนาดไหน บางคนเขาจะคิดว่าต้องได้รับการรักษาแบบใช้ยาอย่างเดียว มันดูเหมือนค่าใช้จ่ายต้องสูง ทั้งที่จริงแล้วเด็กพวกนี้เขามีความสามารถ และใช้ชีวิตปกติได้แบบพวกเราทุกคน"
เปิดใจเรียนรู้และอยู่ร่วม ให้โอกาสพัฒนาเด็กพิการ
"เมื่อก่อนพรีมว่าคนไทยยังมีความเขินอายกับเรื่องพวกนี้ เขาเลยไม่กล้าที่จะพูดถึงเรื่องเด็กพิการ และไม่ค่อยกล้าให้เด็กพิเศษพวกนี้ออกไปข้างนอกมากหนัก ก็เลยไม่ค่อยชินกับการใช้ชีวิตแบบปกติอย่างพวกเราได้ แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไป เด็กวัยรุ่นยุคนี้เขาเริ่มชิน เพราะเขาเห็นจากข่าวเมืองนอกด้วยความที่โลกเปิดกว้างขึ้น มันกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนโอเคแล้ว"
"อย่างเมื่อก่อนเวลาที่พรีมพาพี่ชายไปเดินห้างคนไม่รู้ ยิ่งเด็กๆ บางทีเราเจอเด็กๆ วิ่ง แล้วเขาก็จะมองและเขาจะวิ่งไปหาแม่และถามแม่ว่าทำไมพี่คนนี้เป็นแบบนี้ ซึ่งบางทีเราเจอจนชิน ถามว่าบ่อยมั้ยก็ไม่บ่อย ทั้งคุณแม่และพรีมเหมือนพร้อมที่จะให้คำอธิบายได้ตลอดเวลา บางทีพรีมก็เคยเจอเด็กๆ เราเห็นเขายืนสังเกตพี่ชายเราอยู่ไกลๆ เราก็เดินเข้าไปถามเลยว่าน้องสงสัยอะไรรึเปล่า พรีมและคุณแม่ก็พร้อมที่จะเข้าไปอธิบายให้เขาเข้าใจว่าพี่เขาไม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ เขามีความพิเศษ เราก็จะอธิบายให้เขาฟัง พอเขารู้ เขาก็จะโอเคๆ และปกติ"
ใครเข้ามาจีบ...ต้องผ่านด่านพี่ชายก่อน
"เห็นพี่ชายแบบนี้ เขาหวงพรีมมากๆ เหมือนเขาจะรู้ว่าคนนี้ไม่ใช่แค่เพื่อนเราแน่ๆ คือเขาจะยิ้มมุมปาก แล้วสังเกตุท่าทางว่ายูสองคนไม่ใช่เพื่อนกันแน่ๆ เลย ถามว่าสนิทกับพี่ขนาดไหน บอกเลยว่าสนิทมากค่ะ มีอยู่ช่วงหนึ่งตอนเด็กๆ คือไม่มีใครคุยกับพี่ชายเราเลยสักคน พี่ชายพรีมเขาจะมีปัญหาในเรื่องของเพดานปาก บางคำพูดของเขาพูดออกมาได้ไม่ชัด แล้วตอนเด็กๆ พรีมเป็นคนเดียวที่ฟังเขารู้เรื่อง เหมือนพรีมเป็นตัวกลางระหว่างพี่ชายกับทุกๆ คน"
"ด้วยความที่โตขึ้นมาด้วยกัน เราก็เหมือนแบบอยู่ด้วยกันมาตลอด พี่ชายจะแอบถือเราเป็นไอดอลคนนึงนะคะ พรีมทำอะไรเขาจะทำตาม อย่างเวลาที่เขาไม่รู้ว่าต้องทำยังไง เขาก็จะหันหน้ามามองพรีมว่า พรีมทำยังไง เขาจะเลียนแบบทุกอย่าง มีอยู่ช่วงหนึ่งที่พรีมเห้อหูฟังมากๆ แบบขึ้นรถเราจะเสียบหูฟังตลอด พี่ชายเขาเห็นเราทำเขาก็เสียบหูฟังๆ เพลงตาม พรีมคุ้นเคยและชินกับเด็กที่เป็นดาวน์ซินโดรม คุ้นเคยกับพี่ชายตัวเองจนไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกหรือแตกต่างจากคนอื่นเลย เราซนกันมากเล่นเป็นคู่หูตลอด ตอนเด็กๆ คนก็คิดว่าเราสองคนเป็นแฝดกัน อยู่ด้วยกันตลอด ทำทุกอย่าง พี่เขาก็จะติดเรา หวงบ้าง ก็จะถามหาเรา พูดง่ายๆ พรีมค่อนข้างมีผลต่อชีวิตของเขาที่ผ่านมา "
แรงผลักดันเล็กๆ จากพี่ชาย.....สู่ความสำเร็จในวันนี้
"พรีมอยากบอกว่าพี่ชายเป็นเหมือนแรงผลักดันให้เราประสบความสำเร็จ เหมือนมีอะไรหลายอย่างในตอนเด็กที่พรีมได้ทำและสามารถทำได้เพราะพี่ชาย ซึ่งมันทำให้ทุกวันนี้สิ่งที่เราทำอยู่มันไม่ได้ลำบากเลย ถ้าเทียบกลับเด็กบางคนที่เกิดมาแล้วเขาไม่มีโอกาสเยอะเท่าเรา มันเลยเป็นแรงผลักดันอีกอย่างหนึ่ง"
"พรีมเลยอยากฝากให้ทุกคนเปิดใจรับพวกเขาที่เป็นเด็กพิเศษ อยากให้ทุกคนคิดว่าเขาก็เป็นคนธรรมดา เขาสามารถทำอะไรได้มากกว่าเราด้วยซ้ำ บางคนเขาทำงานออฟฟิศ อยากให้เปิดรับตรงนี้และลองเปิดใจกับเขาดู แล้วเราจะรู้เลยว่า เขาพร้อมที่ให้ใจกับเรากลับคืนมา(ยิ้ม) เหมือนอย่างทุกวันนี้ที่เราถ่ายละครกลับบ้านมาดึกๆ พี่ชายก็จะลงบันไดบ้านมารับเพื่อจะเข้ามาสวมกอดพรีมซึ่งมันเป็นกำลังใจที่ดีมาก มันหายเหนื่อยจากการทำงานเลยนะค่ะ"
"จริงๆ เท่าที่พรีมสัมผัสกับตัวเองมา พรีมรู้สึกว่ายารักษาที่ดีที่สุดของเด็กพิเศษคือ การดูแลเขาให้เหมือนคนปกติที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ อยากฝากให้คนไทยทุกคนลองเปิดใจกับเด็กพวกนี้ดูค่ะ ซึ่งเด็กพวกนี้เขามีอะไรที่มากกว่าที่เราคิด และเหมือนมีพลังบางอย่างที่เขาส่งมาให้เราโดยที่เราไม่รู้ตัว อย่างเช่นในเรื่องของความรัก ความใสซื่อและความซื่อสัตว์ที่เขากอดเราในแต่ละครั้ง คือเขากอดเราด้วยความจริงใจ มันเป็นอะไรที่สมัยนี้มันหายาก ก็อยากให้ทุกคนเปิดรับตรงนี้ดู แล้วเราจะรู้เลยว่าไม่ใช่แค่คุณที่ให้ความรักกับพวกเขา แต่เป็นพวกเขาจะให้ความรัก ความอบอุ่น กับคุณมากเสียกว่า(ยิ้ม)"
แยกคู่...แต่ครอบครัวไม่สลาย
ช่วงวัยรุ่นเป็นวัยที่ต้องการครอบครัวที่มั่นคงยิ่งกว่าวัยอื่นๆ การที่พ่อแม่หย่ากันทำให้พวกเขาสงสัยในเรื่องจิตใจของคน แม้ว่าจะเป็นสิ่งปกติที่เด็กทุกวัยจะแสดงอาการเจ็บปวด แต่วัยรุ่นมีโอกาสมากกว่าที่จะแสดงออกในทางที่เป็นอันตราย รวมไปถึงการประพฤตินอกลู่นอกทาง แต่สำหรับนักแสดงสาว "พรีม รณิดา" ไม่เคยเอาเหตุผลพ่อแม่แยกทางกันมาเป็นข้ออ้าง แต่เธอกลับใช้ความรักที่จะได้ดีและรักจากคนในครอบครัวมาเป็นแรงผลักดันให้ชีวิต
"ตอนนี้พรีมก็ยังมีการติดต่อกับคุณพ่ออยู่ บางเทศกาลคุณพ่อเขาจะมาหา คือคุณพ่อเขาอยู่ที่อิตาลี ส่วนเรื่องที่พ่อแม่แยกทางกัน พรีมว่าพรีมเป็นคนที่โชคดีที่พ่อแม่หย่ากันตอนที่เราโตแล้ว และพรีมสามารถรับรู้อะไรหลายๆ อย่างได้ พรีมยังมีสติและเข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่เป็นอย่างไร ถามว่าเสียใจมั้ย (อึ้งอยู่สักพัก) ก็มีนิดนึงนะค่ะ แต่อย่างที่บอกว่ามันเกิดขึ้นตอนที่พรีมสามารถเข้าใจทั้งสองฝ่าย แล้วคุณพ่อคุณแม่เขาจากกันด้วยดี เหมือนจากกันค่อยเป็น ค่อยไป มันเลยทำให้เรื่องดูสมูท ไม่ใช่ว่าจะหย่าก็หย่า"
"ซึ่งเรื่องมันเริ่มต้นจากการที่เหมือนคุณพ่อเขามีงานประจำอยู่ที่เมืองนอกอยู่แล้ว และพอเราย้ายมาอยู่ที่ประเทศไทย คุณพ่อเขาก็ไม่สามารถอยู่เมืองไทยได้ตลอด มันเลยเป็นเรื่องที่ค่อยห่างกันทีละนิดๆ แต่จริงๆ พรีมจะสนิทกับทั้งสองฝ่าย เหมือนเป็นพรีมคนเดียวที่ทั้งสองสามารถคุยกับเราได้ เพราะเขาไม่สามารถที่จะคุยกับพี่ชายได้ ก็เลยเป็นเราที่ค่อนข้างจะรับรู้ว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร ซึ่งพรีมเองก็เข้าใจในเหตุผลของทั้งคู่ พรีมเลยเป็นตัวกลางที่เราสามารถคุยได้ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ ล่าสุดคุณพ่อกลับมาก็คริสมาสต์ปีที่แล้ว ก็ได้ไปกินข้าวกันปกติค่ะ"
เหนื่อยแค่กายแต่ไม่เคย..."เหนื่อยใจ"
"ด้วยการที่เราต้องทำงานและเรียนไปด้วย แถมยังต้องมาเป็นเสาหลักของครอบครัวอีก ถามว่าเหนื่อยมั้ย จริงๆ พรีมทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว พรีมเหนื่อยแค่กาย แต่ไม่ได้เหนื่อยที่ใจขนาดนั้นค่ะ คือพรีมทำงานทุกวันนี้พรีมไม่ได้มองตัวเองด้วยซ้ำว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ แล้วพอได้มานั่งมองตัวเองทีหลัง คือเห้ยเรามีความรับผิดชอบมากขนาดนี้เลยหรอ แล้วที่บอกว่าเราต้องเป็นเสาหลักของที่บ้าน คำนี้ฟังดูยิ่งใหญ่มาก แต่พอพรีมได้มาทำจริงๆ มันเหมือนพรีมมีเป้าหมาย มันเลยทำให้พรีมรู้สึกดีในสิ่งที่เราทำลงไปในแต่ละวัน ซึ่งพรีมทำงานตรงนี้ พรีมรู้สึกว่าตัวเองสนุก พรีมเลยมองว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดีมากกว่าคนอื่นๆ (ยิ้ม)"