The Great Wall ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการเข้าฉายที่สหรัฐฯ ส่วนที่จีนแผ่นดินใหญ่หนังก็ไม่ได้สร้างความฮือฮาอะไรอย่างที่ผู้สร้างหวัง จนกลายเป็นเครื่องหมายคำถามว่าโมเดลธุรกิจหนัง “จีน - ฮอลลีวูด” ยังมีอนาคตที่สดใสหรือไม่?
The Great Wall ที่ระดมดาราชื่อดังจากทั้งฝั่งฮอลลีวูด และ จีน ทำเงินในสหรัฐฯ ไปแล้วแค่ 41 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น แต่ปัญหาใหญ่ก็คือหนังทำเงินที่จีนแผ่นดินใหญ่ไปแค่ 171 ล้านเหรียญฯ แม้จะไม่น้อย แต่ก็ยังสู้หนังจีนแท้ๆ อย่าง Kung Fu Yoga (250 ล้านเหรียญฯ) และ Journey to the West: The Demons Strike Back (247 ล้านเหรียญฯ) ไม่ได้ นอกจากนั้น ก็ยังทำเงินน้อยกว่าหนังฮอลลีวูดฟอร์มใหญ่เรื่องอื่นที่เข้าไปฉายในประเทศจีนด้วย
ด้วยทุนสร้างประมาณ 150 ล้านเหรียญฯ น่าจะทำให้ The Great Wall ขาดทุนไปประมาณ 75 ล้านเหรียญฯ แม้จะไม่ใช่หนังที่ขาดทุนอย่างย่อยยับ
แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น ก็คือ ก่อนหน้านี้ โมเดลธุรกิจของ The Great Wall ซึ่งเป็นหนังร่วมทุนสร่างระหว่าง Universal Pictures และ China Film Group เคยถูกมองว่าจะเป็นอนาคตของฮอลลีวูด แต่สุดท้ายทุกอย่างกลับพังไม่เป็นท่า!!!
โดยก่อนหน้านี้ ผกก. จางอีว์โหมว ก็เคยพยายามทำหนังจีนที่ใช้นักแสดงชาวตะวันตกมาแล้ว คือ The Flowers of War ที่แม้หนังจะพูดภาษาอังกฤษ แต่ก็สร้างจากเงินทุนของทางจีนทั้งหมด ซึ่งสุดท้ายผลงานเรื่องนี้ทำรายได้ในจีนไป 94 ล้านเหรียญฯ แต่ในสหรัฐฯ กลับทำเงินไปแค่ 311,000 เหรียญฯ ทั้งๆ ที่มี คริสเตียน เบลล์ เจ้าของบท “แบทแมน” ร่วมแสดง
ความล้มเหลวที่เกิดทำให้ฮอลลีวูดต้องมาขบคิดกันใหม่ เพราะดูเหมือนว่ามันจะไม่ง่ายอย่างที่คิด? กับการสร้างหนังเพื่อเอาใจผู้ชมในตลาดหนังอันดับ 1 (สหรัฐฯ) และอันดับ 2 (จีนแผ่นดินใหญ่) ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นอนาคตของวงการภาพยนตร์โลก
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือความล้มเหลว” ผู้บริหารของสตูดิโอใหญ่แห่งฮอลลีวูดคนหนึ่งกล่าว “เป็นหนังประเภทนี้เรื่องแรกเลยก็ว่าได้ หนังสร้างออกมาเพื่อพยายามเอาใจทุกคน แต่สุดท้ายกลับไม่ถูกใจใครเลย”
แน่นอนว่า เม็ดเงินมหาศาลทั้งในสหรัฐฯ และจีนแผ่นดินใหญ่ ที่เติบโตต่อเนื่องไม่หยุด ทำให้มีการร่วมมือของทั้งสองฝั่งมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นภาพยนตร์ที่ทางฝ่ายจีน และสหรัฐฯ ร่วมมือกันสร้างในทุกขั้นตอน ไม่ใช่เฉพาะด้านเงินทุนเหมือนยุคของหนัง Iron Man 3 หรือ Kung Fu Panda โดยหลังจากนี้จะมีหนังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ชื่อว่า The Flying Tigers ที่ Skydance กับ Alibaba สร้างร่วมกัน และได้ แรนแดลล์ วอลเลซ มาเขียนบท ส่วน Edge of the World ก็เป็นหนังรักที่ทาง Pegasus กับ China Film Group ร่วมลงขัน
ส่วนทาง Sony ก็ยังร่วมลงทุนสร้างหนังกับ Walian Wanda Group เช่นเดียวกับ Paramount ที่เลือกเป็นพันธมิตรกับ Shanghai Film Group และ Huahua Media Group
แต่สตูดิโอทั้งฝ่ายจีนแผ่นดินใหญ่ และ ฮอลลีวูด ยังคงต้องทำงานอีกเยอะ ในการค้นหาส่วนผสมที่ลงตัว เพื่อสร้างหนังที่ผู้ชมจากทั้งสองซีกโลก สามารถบันเทิงไปด้วยกันได้
“ถึงครั้งนี้จะพลาดไป แต่การรวมตัวของตลาดหนังอันดับ 1 และอันดับ 2 จะต้องเกิดขึ้นในสักวัน” เจฟฟ์ บ็อคก์ นักวิเคราะห์บ็อกซ์ออฟฟิศแสดงความเห็น
ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม