น่าสนใจไม่น้อยสำหรับตัวเลขเรตติ้งจากการสำรวจของ “เอซีเนลสัน” ในช่วงระหว่างวันที่ 1 - 28 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นช่วงเวลาตั้งแต่เวลา 6.00 - 24.00 น. และช่วงเวลาไพรม์ไทม์ 18.20 - 22.20 น.
ที่ผ่านมา เราจะพบคุ้นเคยว่าภาพรวมทั่วประเทศ หรือแยกเฉพาะต่างจังหวัดช่อง 7 เป็นที่หนึ่ง ขณะที่ในส่วนของในมืองหรือในเขตกรุงเทพฯ นั้น ช่อง 3 จะมาเป็นอันดับหนึ่ง โดยมีช่อง 7 สลับขึ้นมาเป็นครั้งครา
ทว่า ถึงตอนนี้หาได้เป็นเช่นนั้นอีกต่อไปแล้วหลังการเข้ามาของช่อง “เวิร์คพอยท์”
หลังจากขยับตัวทีละนิดๆ จนค่อยๆ มีตัวเลขที่สูงขึ้นๆ เรื่อยๆ กระทั่งตามช่อง 3 มาแบบหายใจรดต้นคอและแซงช่อง 3 จนขึ้นมาอยู่อันดับที่ 2 ในบางครั้ง แต่ตอนนี้หากวัดกันจากตัวเลขที่ออกมาปรากฏว่าในเขตกรุงเทพมหานครนั้น เวิร์คพอยท์ ทีวี ถึงกับแซงทั้ง 3 และ 7 ขึ้นไปอยู่อันดับที่หนึ่งในช่วงเวลาไพรม์ไทม์กันเลยทีเดียว
มองผิวเผินอาจจะเป็นเรื่องชวนเซอร์ไพรส์ไม่น้อย แต่กระนั้นถ้าว่ากันจริงๆ แล้วก็หาได้เป็นเรื่องที่ชวนประหลาดใจแต่อย่างไร
เพราะที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าเวิร์คพอยท์ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อรายการ โดยเฉพาะเกมโชว์คอยสร้างคอนเทนต์ป้อนให้กับแทบจะทุกช่องอยู่แล้ว
พูดง่ายๆ ก็คือ มีสินค้าดีๆ อยู่กับตัวอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นพอมีร้านค้าเป็นของตัวเอง มันจึงไม่ใช่เรื่องลำบากแต่อย่างใดในการที่จะเรียกลูกค้าให้เดินเข้ามาซื้อสินค้า ผิดกับร้านค้าอื่นๆ ที่ทำเป็นแต่ชั้นวางของแล้วเอาสินค้าชาวบ้านมาวางขาย ครั้นพอเค้ายกสินค้าไปขายร้านตัวเอง ร้านพวกนี้ที่ไม่เคยทำของขายเองเลยแต่ที่ทำมาหากินได้เพราะคอยเก็บค่าเช่าก็เลยไม่เป็น
ไม่เชื่อก็ลองให้ไปดูช่องอย่างโมเดิร์นไนน์ ทีวี หรือ ช่อง 5 ดูก็ได้ว่าตอนนี้เรตติ้งหลุดไปไหนต่อไหนแล้ว
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ก็คือ ช่วงเวลาในการขึ้นไปเป็นที่หนึ่งของเวิร์คพอยท์ฯ ที่ถูกเรียกกันว่า “ไพรม์ไทม์” ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา “อาวุธ” ที่ช่อง 7 และช่อง 3 หรือแม้กระทั่งช่องอื่นๆ เองก็ตามใช้ฟาดฟันห้ำหั่นเพื่อเรียกตัวเลขเรตติ้งนั่นก็คืออาวุธที่เรียกว่า “ละคร” นั่นเอง
แต่เวิร์คพอยท์ฯ กลับต่างออกไป ด้วยการหันมาใช้อาวุธที่ตนเองถนัด นั่นคือ รายการและเกมโชว์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น ไมค์หมดหนี้, เท่งโหน่งวิทยาคม, ปริศนาฟ้าแลบ, ซูเปอร์ MUM, I can see your voice thailand, The Mask Singer หน้ากากนักร้อง, ไมค์ทองคำ, ไมค์ทองคำเด็ก, เดี่ยวดวลไมค์ ไทยแลนด์ ฯ
สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าจริงๆ แล้วที่ผ่านมาที่ดูเหมือนว่าทำไมคนไทยติดละครน้ำเน่ากันจังจนช่วงเวลาตรงนี้กลายเป็นช่วงเวลาเงินเวลาทองนั้น ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะไม่มีอะไรจะดูนั่นเอง
ครั้นพอมีอะไรที่เป็นของใหม่มาให้เลือกหลายคนจึงไม่รอช้าที่จะกระโจนเข้าไปหา
วันนี้พฤติกรรมการเสพของคนดูทีวีได้เปลี่ยนไปพอสมควร งานนี้ถ้าช่องไหนมัวแต่ยึดติดกับรูปแบบเดิมๆ โดยเฉพาะความคิดที่ว่าละครน้ำเน่าหรือดาราเท่านั้นคือตัวเรียกเรตติ้ง รับรองตกกระป๋องแน่นอน...