น่าสนใจทีเดียวจากกรณีที่ดีเจภรรยาสวยอย่าง “เพชรจ้า วิเชียร กุศลมโนมัย” ได้มีการโพสต์ข้อความลงไอจีตอบข้อสงสัยชาวโซเชียลที่ตั้งกระทู้ถามว่าเจ้าตัวประกอบธุรกิจอะไรถึงได้รวยนัก รวยหนา?
ทั้งนี้ ดีเจดังก็ได้ชี้แจงในทำนองบอกกล่าวเป็นเคล็ดลับ โดยระบุว่า หากใครทำงานประจำต่อให้ขยันก็ไม่รวยแน่ ต้องหาธุกิจเสริม หรือกล้าที่จะลงทุนในช่องทางที่จะได้เงิน เช่น ตนเองที่ชอบสะสมนาฬิกา ฯ พร้อมกันนี้ เจ้าตัวยังสำทับด้วยว่าทุกคนที่อยากรวยจะต้องกล้าที่จะเสี่ยง ขยันและเอาใจใส่ในสิ่งที่ตนเองทำให้มากที่สุด ซึ่งเคล็ดลับตรงนี้ไม่มีทางเรียนลัดแต่อย่างใด
อ่านแล้ว เห็นแล้ว ก็ต้องบอกว่าน่าชื่นชมในความคิดของเจ้าตัวมากๆ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น “พระยาเผือก” ก็รู้สึกว่าสิ่งที่เจ้าตัวบอกนั้น มันยังขาดบางส่วนที่ดีเจดังอาจจะลืมไปหรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนเรื่องของความเป็นดารา มีชื่อเสียง มีคนรู้จัก ซึ่งมีโอกาสที่จะเข้าถึงข้อมูลหรือแม้กระทั่งแหล่งเงินที่จะไปลงทุน ฯ
ที่สำคัญ เจ้าตัวจะลืมไปหรือเปล่าว่าตัวเองมีต้นทุนมาจากการที่บิดามีธุรกิจ มีหุ้นในบ่อนกาสิโนที่มาเก๊า รวมถึงตนเองก็เคยเปิดผับขายเหล้า ขายเบียร์ ในย่านมหาวิทยาลัยโดยมีพี่ชายลงทุนให้มาแล้ว
พูดถึงเรื่องธุรกิจของคนบันเทิง ก็ให้นึกไปถึงกรณีหนุ่ม “ฟิล์ม รัฐภูมิ” หลังเจ้าตัวในฐานะประธานกรรมการ บริษัท เพย์ออล กรุ๊ป จำกัด ต้องตกเป็นหนึ่งในบุคคลที่ถูกทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ฟ้องร้อง เนื่องจากบริษัทมีการดำเนินธุรกิจบริการทางการเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ “อี-มันนี่” (e-Money) โดยไม่ขออนุญาต
หลังตกเป็นข่าวทางด้านของนักร้องหนุ่มได้มีการโพสต์คลิปพูดถึงเรื่องนี้ ซึ่งเห็นคำชี้แจงของเจ้าตัวด้วยการระบุว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้นมาจากการไม่แม่นข้อกฎหมาย เนื่องด้วยธุรกิจนี้เป็นของใหม่มากๆ แล้วก็ต้องบอกว่าทะแม่งๆ
ย้อนกลับไปบริษัทนี้มีการให้บริการ “อี-มันนี่” มานานกว่า 1 ปีแล้ว ทำไมถึงไม่รู้เรื่อง แล้วจู่ๆ ทำไมถึงอยากจะไปขออนุญาต แล้วทำไมไปขออนุญาตผิดประเภท กระทั่งนำมาซึ่งการตรวจสอบและการฟ้องร้องดังกล่าว
แม้โทษของคดีนี้จะอยู่ที่จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือทั้งจำและปรับ ซึ่งแน่นอนว่ากระจอกเมื่อเทียบกับกำไรที่บริษัทได้มา ขณะที่เรื่องติดคุกนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่มีใครติดแน่ๆ แต่กระนั้นด้วยความที่ความผิดมันสำเร็จรูปอยู่เห็นๆ “พระยาเผือกเอง” ก็อยากจะให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเอาจริงเอาจังกับคดีนี้รวมถึงใส่ใจคดีในลักษณะนี้ให้มากๆ
โดยเฉพาะกับพฤติกรรมของคนบันเทิงบางส่วนที่เปิดบริษัทนั้น เปิดบริษัทนี้ ทำธุรกิจที่ส่อว่าจะเป็นขายตรงด้วยการอาศัยความพอที่จะมีชื่อเสียงตนเอง บอกตรงๆ พวกนี้ล่ะที่ “พระยาเผือก” เกลียดมากๆ