xs
xsm
sm
md
lg

ตกลงนี่ละคร หรืองานแสดงประกอบแสงสีเสียง?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online



ประเดิมเปิดซิงคอลัมน์ใหม่วันนี้ ขอว่าด้วยเรื่องราวของละครพีเรียด “ฟอร์มยักษ์” ที่หลายคนเฝ้าจับตาหลังมีการโหมโปรโมตกันมาตั้งแต่มีการประกาศสร้างที่รูดม่านเปิดฉากไปเป็นที่เรียบร้อยเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา...

ไม่รู้ว่าใครที่มีโอกาสได้ชมจะคิดอย่างไร แต่สำหรับ “พระยาเผือก” แล้ว ค่อนข้างไปในทางที่ผิดหวัง

โดยเฉพาะความประดักประเดิดของงานสร้างในหลายๆ จุด ที่ถูกติติงมาแล้วตั้งแต่ต้น กระทั่งผู้สร้างเองต้องออกมาชี้แจงอย่างมีอารมณ์ในทำนองว่าเรื่องมากไปหรือเปล่า จะมาจับผิดอะไรนักหนากับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พร้อมสำทับด้วยว่าละครถูกสร้างมาเพื่อความสนุก ถ้ารู้สึกว่าไม่สนุกก็ไม่ต้องดู

แต่เอาเข้าจริงๆ เห็นได้ชัดว่าแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่เรื่องเล็กๆ เหล่านี้ก็ทำให้การดูละครเสียอารมณ์ได้ด้วยเช่นกัน

บอกตรงๆ วันเสาร์ที่ผ่านมา “พระยาเผือก” รำคาญมากๆ กับ “ร่ม” ที่นักแสดงกางเข้าฉาก คือ ระหว่างไปเอาร่มบ่อสร้างมาประดับตกแต่งใหม่ กับเอาร่มสมัยปัจจุบันมาพันๆ ตรงด้ามจับ แต่ปล่อยให้แกนกับโครงเหล็กหราแบบที่เห็นในละคร ถามหน่อยว่าอันไหนมันน่าจะเข้ากับเนื้อเรื่องของความเป็นพีเรียดมากกว่ากัน

แม้กระทั่งฉากในสวนดูแล้วก็ประดักประเดิดกับสไตล์การตกแต่งของสวน หรือแม้กระทั่งพันธุ์พืชของต้นไม้ ดอกไม้ยังไงพิกล จนอดสงสัยไม้ได้ว่าจริงๆ แล้วก่อนถ่ายทีมงานมีการทำเป็นสตอรี่บอร์ด มีการออกแบบไว้ก่อนมั้ยว่าฉากท้องพระโรงต้องเป็นแบบนี้ ฉากวังต้องเป็นแบบนี้ ฉากสวนดอกไม้ต้องเป็นแบบนี้ เสื้อผ้าต้องออกแนวนั้น แนวนี้ ฯ

หรือว่าไปหาโลเกชันมาก่อน เออที่นั่นสวยดีเอาเป็นฉากนั้นก็แล้วกัน เออ วันนนี้สวยดีเอาเป็นฉากนี้เลยแล้วกัน ฯ

อันที่จริง ไม่ว่าจะเป็นหนัง ละคร ลิเก หรือการแสดงใดๆ ก็ตาม การที่คนดูจะรู้สึกสนุกได้ก็เพราะคนดูต้องมีอารมณ์ร่วมตามไปด้วย

และการที่คนดูจะมีอารมณ์ร่วมไปได้นั้น มันก็ต้องเกิดจากการแสดงของนักแสดงเองที่เล่นได้สมบทบาทที่ได้รับ ตลอดจนองค์ประกอบอื่นๆ ทั้งเรื่องของเสื้อผ้า โลเกชัน ที่จะว่าไปแล้วอาจจะไม่จำเป็นจะต้องแบบว่าถูกต้องเป๊ะในความเป็นจริง 100% เลยด้วยซ้ำไป เพียงแต่เอาให้แค่ว่าดูรวมๆ แล้ว มันต้องไม่เลยเถิดไปถึงขนาดมีอะไรแปลกๆ ขัดหูขัดตาใช่หรือไม่

การออกตัวว่าละครเรื่องนี้คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน “เมืองสมมติ” ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตเองทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะต้องมาถูกวิจารณ์ในเรื่องของความถูกต้องของ “เวลา” และ “สถานที่” ทำนองว่าจริงๆ แล้วคนยุคนั้นเค้าต้องแต่งตัวแบบนั้น คนยุคนนี้เค้ามีวัฒนธรรมแบบนี้ ยุคนั้นไม่มีไอ้นั่นไอ้นี่ ยุคนั้นไม่ได้พูดอย่างนั้นอย่างนี้ ฯ

แต่กระนั้นในความเป็น “เมืองสมมติ” “เหตุการณ์สมมติ” ก็ควรจะมีคอนเซ็ปต์หรือเอกลักษณ์ในเชิงที่มันเป็นเหตุเป็นผลกัน ไม่ใช่ว่านึกอยากจะทำอะไรก็ทำก็ได้ ประมาณว่า ยุคคนยังนั่งเสลี่ยง แต่พอตกดึกท้องพระโรง ตำหนัก ฯ กลับสว่างไสวเรืองรองด้วยแสงสปอร์ตไลท์สาดส่องอย่างที่เราเห็นตามสถานที่ท่องเที่ยวโบราณๆ มันก็กระไรอยู่

ตัวละครแต่งตัวประดับเพชรพลอยเวอร์วัง มีตำแหน่งเป็นถึงพระมเหสี พระธิดา ฯ แต่ต้องมาแสดงแบบทำหน้าทำตาเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟัน ด่ากันแว้ดๆๆ ไล่ตบ ไล่ตีกัน ยกเท้าโดดถีบกัน อันนี้ก็ไม่ผิดหรอกถ้ามองเหตุผลที่ว่าก็ตัวละครเหล่านี้มันเต็มไปด้วยความอิจฉา ริษยา แก่งแย่งชิงดี แต่ถามหน่อยว่ามันสมควรหรือจำเป็นที่จะต้องเอามัน เอาแรงเข้าว่าถึงขนาดนี้มั้ย? แล้วภาพที่ออกมามันดูเหมาะสมหรือเปล่า?

เอาเป็นว่า “พระยาเผือก” เองก็ขอทำตามคำบอกกล่าวของผู้จัดเค้าแล้วกัน กล่าวคือ จากนี้ไปคงจะไม่เหลียวมองละครเรื่องนี้อีกแล้ว แม้จะเพิ่งเริ่มต้นและเนื้อหานั้นยังอีกยาวไกล เพราะดูแล้วไม่สนุกจริงๆ

ส่วนผู้อ่านที่ดูแล้วสนุกสนาน มีความสุข ก็ติดตามกันต่อไป...
กำลังโหลดความคิดเห็น