xs
xsm
sm
md
lg

เห็นแก่ลูกๆ หรือเห็นแก่ตัว?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online



ดูท่าจะแรงไม่เบาสำหรับปีไก่ปีนี้ เพราะเริ่มต้นปีได้ไม่ถึง 2 เดือนคู่รักคนบันเทิงระดับบิ๊กๆ ก็เลิกกันไปแล้วถึง 2 คู่แถมยังส่อแววว่าจะตามมาอีกไม่น้อย...

เริ่มกันตั้งแต่ในส่วนของนักแสดงดัง “หมิว ลลิตา” ที่ปิดฉากชีวิตคู่กับหนุ่ม “ก้อง นรบดี” หลังใช้ชีวิตร่วมกันมายาวนานกว่า 16 ปี พ่วงด้วยลูกอีก 2 ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำเอาหลายคนแปลกใจไม่น้อย เพราะภาพของทั้งคู่ในก่อนหน้านั้นได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในครอบครัวตัวอย่างกันเลยทีเดียว

อีกคู่ที่สิ้นสุดสถานะภาพคู่ผัวตัวเมียก็เป็นในรายของนักแสดงหนุ่มรุ่นเกือบใหญ่ “โอลิเวอร์ บีเวอร์” โดยเจ้าตัวได้ออกมายอมรับว่าได้ทำการหย่าร้างกับภรรยาสาวนอกวงการที่เพิ่งจะแต่งงานกันไปเมื่อ 3 ปีที่แล้วไปเป็นที่เรียบร้อย พร้อมยืนยันว่า การจากกันในครั้งนี้เป็นการจากกันด้วยความเข้าใจ ไม่มีปัญหาอะไรแต่อย่างใด

ส่วนอีกคู่ที่ดูโงนเงนโอนเอนอ้อนแอ้นและเป็นที่สนใจของใครหลายคนว่าจะลงเอยกันอย่างไรก็คงจะหนีไม่พ้นในรายของหนุ่ม “ไทด์ เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์” กับภรรยา “ยุ้ย คนึงนิตย์ ศิริพงศ์ปรีดา” ที่อยู่กินกันมานานร่วม 13 ปี

เรื่องของเรื่องก็มาจากการออกมาให้สัมภาษณ์ของฝ่ายชายที่ระบุชัดว่า แยกกันอยู่กับภรรยานานกว่า 3 ปีแล้ว รวมถึงใจที่หมดรัก รั้งก็ไม่มีประโยชน์ แถมยังบอกอีกว่ามีการพูดคุยว่าจะมีการหย่ากันให้เป็นทางการในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา อีกต่างหาก

อย่างไรก็ตาม หลังสิ้นคำสัมภาษณ์ของฝ่ายชาย ฝ่ายหญิงก็ได้ส่งหนังสือผ่านสื่อทันที ซึ่งข้อมูลที่ออกมานั้นต้องเรียกว่าพลิกจากฝ่ามือเป็นหลังเท้า โดยเจ้าตัวเผยว่า เรื่องแยกบ้านนั้นจริงๆ ครอบครัวมีบ้านสองหลังมาตั้งแต่แต่งงานกันแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังสวีตหวานบ้างเป็นครั้งคราว และหมาดๆ เมื่อปีใหม่ที่ผ่านมา ไม่ได้หมางเมินเหินห่างอย่างที่ฝ่ายชายบอกแต่อย่างใด

พร้อมสัมทับด้วยว่าสิ่งที่ฝ่ายชายกล่าวอ้างมานั้น ไม่เป็นความจริง และที่ตนต้องทำจดหมายชี้แจงก็เพราะหวั่นกระทบจิตใจลูกนั่นเอง

งานนี้ฟังจากน้ำเสียงของฝ่ายชายที่บอกว่ารั้งไปก็ไม่มีประโยชน์ แถมยังมีเรื่องของผู้หญิงเข้ามาด้วยแล้วสรุปได้อย่างเดียวว่า “หมดใจไปแน่” ขณะที่ในส่วนของฝ่ายหญิงก็ชัดเจนเช่นกันว่า (ยัง) ไม่หย่าและไม่คิดที่จะหย่า

ไม่อาจจะรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น? อะไรคือปัญหา? แต่ที่บอกได้ก็คือการออกมาให้ข่าวผ่านสื่อของทั้งสองนั้นหาใช่ทางออกที่ถูกที่ควรแต่อย่างไร

เพราะคนที่จะได้ผลกระทบตรงนี้ไปเต็มๆ ก็คือ ลูกๆ

ถึงตอนนี้ “หัวปิงปอง” อยากให้ทั้งคู่ท่องไว้ว่า “ความในอย่านําออก ความนอกอย่านําเข้า” หันหน้ามาจับเข่าคุยกันดีๆ ว่า จะเอาอย่างไร แม้สุดท้ายแล้วอาจจะต้องมีการฝืนใจกันบ้างแต่ก็จำเป็นต้องทำ

ไม่เช่นนั้นที่ทั้งสองบอกว่า “รักลูก” ก็ไม่ต่างอะไรจากลมปากที่พ่นออกมาเรื่อยเปื่อยหามีความหมายสาระอันใดไม่ เพราะจริงๆ แล้วทั้งคู่ต่างก็รักตัวเอง เห็นแต่ผลประโยชน์และความสุขของตัวเองเป็นที่ตั้งมากกว่า...
กำลังโหลดความคิดเห็น