xs
xsm
sm
md
lg

“ทีวีบูรพา” มั่นใจฟันกำไร 250 ล้าน ลั่นถึงเวลาปรับตัว มีเดียตกต่ำ แม้แต่ช่อง 3 ยังกำไรลดลง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เช็ค สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ
“ทีวีบูรพา” แถลงข่าวชูคอนเทนต์ สร้างพันธมิตรใหม่ หวังขยายไปหลายช่องทางมากขึ้น เผยมีเดียตกต่ำ ขนาดช่อง 3 ยังกำไรลดลง แต่มั่นใจทีวีบูรพาจะมีรายได้ 250 ล้านในปีนี้ ชี้เปลี่ยนผู้บริหารเป็นคนรุ่นใหม่ คาดเจาะกลุ่มตลาด หวังให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ “เช็ค สุทธิพงษ์” ย้ำยังไม่วางมือ แต่ถอยมาดูภาพรวม ลั่นจุดยืนทีวีบูรพายังฝังอยู่ใน DNA ต้องทำรายการเพื่อตอบแทนสังคม

เปิดแถลงข่าวกันไปเป็นที่เรียบร้อย สำหรับบริษัท ทีวีบูรพา จำกัด ในงาน TVB BUSINESS DIRECTION 2017 ณ ห้อง The Residence 302 ชั้น M โรงแรมแกรนด์ไฮแอท เอราวัณ ซึ่งนำทีมโดย “เช็ค สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ” ประธานบริษัท และ “ก้อง ชนวัฒน์ วาจานนท์” กรรมการผู้จัดการ ที่ออกมาเผยว่าทีวีบูรพามีการปรับฐานธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับกระแสมีเดียที่เปลี่ยนไป โดยปี 2017 นี้ชูกลยุทธ์ CONTENT EVERYWHERE และ PARTNER CENTRIC ร่วมกับพันธมิตรสร้างคอนเทนต์ที่แตกต่าง ขยายไปสู่หลายช่องทาง

ซึ่งนอกจากจะยังคงร่วมงานกับช่อง 9 MCOT HD ที่มีรายการเดิมอย่าง คนค้นฅน, กบนอกกะลา และ คนมันส์ พันธุ์อาสาแล้วก็จะมีรายการ SELFIE PROJECT เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งรายการ นอกจากนั้นยังได้ร่วมงานกับช่อง 7 HD กับสารคดีชุด THAI WILDLIFE รวมไปถึงช่อง NOW 26 กับสารคดีธรรมชาติและสัตว์ป่า พร้อมทั้งยังขยายไปสู่ PLATFORM SATTLELITE และ CABlE TV อาทิ ช่อง PSI สาระดี หมายเลข99, ช่อง NEWS ONE, ช่องเจริญเคเบิ้ล และพันธมิตรออนไลน์ อาทิ Manager Online, sanook.com ฯลฯ

ทั้งนี้ “เช็ค” หัวเรือใหญ่ได้เผยว่า การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของบริษัทในครั้งนี้นอกจากจะลุยด้านการตลาดและเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้นแล้ว ยังมีการเปลี่ยนกลุ่มผู้บริหารเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่เข้ามาดูแลอีกด้วย

“การเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ เลยคือเปลี่ยนผู้บริหารครับ เป็นน้องๆ ผู้บริหารรุ่นใหม่ที่เข้ามา ซึ่งก็สร้างความเปลี่ยนแปลงในเรื่องของตัวการจัดองคาพยพข้างใน นอกจากนี้ที่สำคัญอีกอันหนึ่งก็คือนโยบาย จะว่าเปลี่ยนเลยก็ไม่ใช่ เพราะตัวดีเอ็นเอรากเหง้าเดิมเราก็ยังรักษาไว้ แต่หมายความว่าเราคลี่คลายหรือเราดิเวอร์ล็อบไปจากเดิม คือเดิมที่ผมอยู่ก็จะทำคอนเทนต์เป็นหลัก ทำคนค้นฅน ทำกบนอกกะลา แล้วก็อยู่กับตรงนั้น แต่ตอนนี้เราอาศัยต้นทุนเดิมในเรื่องของชื่อเสียงของความน่าเชื่อถือ ความเชี่ยวชาญชำนาญในงาน ความกว้างขวางในงานพวกนั้นมาต่อยอดกับตัวความเปลี่ยนแปลงที่มันเกิดขึ้นครับ”

“ฉะนั้นตัวทีวีบูรพาในยุคใหม่นี้ก็จะเป็นทีวีบูรพาที่ยังอาศัยตัวรากฐานอันเดิม แต่ว่าแตกขยายออกไปให้สอดคล้องกับความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น โดยที่รักษาตัวดีเอ็นเอนั้นเอาไว้ครับ ในการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารครั้งนี้ เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตามมันก็ต้องเป็นเรื่องของการทำธุรกิจ ทีนี้ในช่วงเวลา 2 - 3 ปีที่ผ่านมาความเปลี่ยนแปลงจากคนทำรายการโทรทัศน์เดิม ที่เมื่อก่อนก็ทำเพื่อเอาเรตติ้ง ถ่ายมีเดียอย่างเดียว แต่การเปลี่ยนแปลงที่มันเกิดขึ้นนี้มันเปลี่ยนตัวโมเดลธุรกิจตรงนั้นไปอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะการที่จะต้องต่อสู้กับการที่เราอยู่ในช่องที่ไม่ใช่ช่องที่เรตติ้งดี มูลค่าของมีเดียมันต่ำมากจนไม่สามารถที่จะเป็นจริงได้”

“เราไม่ได้ทำงานที่เป็นงานแมสและเป็นงานที่มีเรตติ้งอย่างละคร อย่างเกมส์อะไรพวกนั้น แต่เราทำสารคดี เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราไม่เปลี่ยนแปลงมันก็จะไม่เป็นจริง เราเปลี่ยนแปลงก็เพื่อที่จะทำให้ความเป็นจริงในเรื่องของธุรกิจกับความเป็นจริงในเรื่องของการทำงานสารคดีหรือว่าการทำงานในส่วนของเรายังอยู่ได้ ฉะนั้นตรงนี้มันก็ต้องการความเปลี่ยนแปลงที่นอกจากจะพาเราไปพบกับตลาด พบกับลูกค้าที่ต้องการแล้ว มันก็ต้องอาศัยวิธีคิด วิธีดีไซน์ วิธีทำให้ทั้งจุดแข็งจุดอ่อนของเรามันรวมกันเข้ามาเป็นความเป็นจริงที่ทำให้เราสามารถที่จะเดินไปข้างหน้าได้ในยุคของความเปลี่ยนแปลงนี้ครับ”

ยันไม่ทิ้งกลุ่มแฟนรายการเดิม และตนยังไม่ได้วางมือ แค่ถอยไปดูภาพรวมเท่านั้น
“เราไม่ได้ทิ้งกลุ่มแฟนรายการเดิมนะครับ แต่เราขยายฐาน ขยายกลุ่มมากกว่า กับแฟนรายการเดิมที่เป็นแฟนดั้งเดิมมาจากคนค้นฅน กบนอกกะลา เราก็ยังเชื่อมโยงกันอยู่ ทั้งด้วยกิจกรรมต่างๆ และที่สำคัญคือตอนนี้เรามีออนไลน์ เรามีแฟนเพจ เรามีอะไรอีกเยอะแยะ ก็ให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น”

“ถามว่าผมวางมือเลยมั้ย ถ้าหมายถึงว่าเราถอยออกไปเลยก็คงไม่ใช่อย่างนั้นครับ เพียงแต่ว่าเราถอยกลับมาทำหน้าที่ในส่วนที่เราได้จัดองคาพยพแล้ว เหมือนกองทัพที่ต้องมีเสนาธิการ ต้องมีนักรบ ต้องมีคนคอยส่งเสบียง คือเราทำงานเป็นทีมกันมากขึ้น และเราก็โฟกัสกันเป็นเรื่องๆ แทนที่จะเหมาทุกตำแหน่งเหมือนเมื่อก่อน ไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือครับ แต่เป็นการปรับตัวให้มันสอดคล้องกับตัวเงื่อนไขความเป็นจริงครับ”

“จริงๆ เราเริ่มทำมา 2 ปีแล้ว แต่ว่าปีนี้เป็นปีที่เริ่มรับผลของการสร้างความเปลี่ยนแปลงครับ ผมค่อนข้างจะมั่นใจมากว่าในเรื่องของธุรกิจมันจะไปได้ดีกว่าสมัยที่ยังไม่เปลี่ยนนะครับ เพราะว่าตอนนี้ถึงแม้ว่าในเชิงของตัวเลขมันยังไม่สามารถที่จะบอกได้ว่ามันเข้าเป้าหรือไม่ แต่มันเห็นแนวโน้มแล้วล่ะ แต่ที่สำคัญก็คือเรื่องที่มันเป็นความรู้ เป็นการมองเห็น อย่างเมื่อก่อนเราอาจจะมองไม่ออกว่าจะต้องทำยังไง ลูกค้าจะอยู่ตรงไหน แต่ตอนนี้เรามองเห็นเรื่องพวกนี้หมดแล้ว ปีที่แล้วก็มีขาดทุนไปประมาณสัก 10 ล้าน เพราะว่าช่วงเหตุการณ์เมื่อปลายปีที่ผ่านมาลูกค้าก็ยกยอดมาเป็นต้นปีนี้ ถามว่ากระทบเยอะมั้ย ผมว่าน้อยกว่าที่คิดเยอะมากครับ ตอนแรกคิดว่าจะเยอะกว่านั้น”

มองวงการทีวีดิจิตอลยังต้องมีการปรับตัวอีก แต่เชื่อต่อไปจะดีกว่านี้
“มุมมองถึงวงการทีวีดิจิตอล ถ้าหากว่าเป็นเรื่องของความอยู่รอดเนี่ยผมไม่ห่วง เพราะว่าเราไม่ได้หวังว่าจะต้องได้มาก ได้เยอะ คือเราประมาณความต้องการของเราแบบพอดีๆ ไม่ได้สูงจนเกินเลย แต่ก็ไม่ได้ต่ำจนไม่สอดคล้องกับการที่มันจะต้องเติบโต หรือว่าการที่เราจะต้องตอบแทนพนักงานกับผู้ถือหุ้น ซึ่งบนตัวเลขที่เราตั้งไว้มันไม่ได้ตั้งขึ้นมาลอยๆ แต่เราตั้งเพราะมองเห็นศักยภาพ มองเห็นความเป็นจริงกับตัวความต้องการ เรามองความจริงร่วมตรงนี้ และที่สำคัญก็คือตัวทิศทางในอนาคตมันไม่ได้ชี้วัดกันที่การเปลี่ยนแปลง การอยู่รอด การดีขึ้น เลวลงในทีวีดิจิตอลอย่างเดียว เพราะว่าเราขยายความเสี่ยง เรากระจายความเสี่ยงของตัวธุรกิจของบริษัทออกไปที่หลายยูนิต”

“อย่างที่บอกว่าในดิจิตอลตอนนี้เริ่มปรับตัวแล้ว เราก็เริ่มที่จะมองเห็นแล้วว่าฝุ่นหายตลบตรงไหนที่เป็นกลุ่มตลาดของเรา ก็เริ่มเข้าไปคุย มันก็เริ่มสมประโยชน์กัน เพราะฉะนั้นคิดว่าในอีก 1 - 2 ปีข้างหน้านี้เราจะคลี่คลายขึ้น ค่อนข้างมั่นใจเลย โดยตัวการทำงานทั้งหมดที่ผ่านมาคิดว่ามันจะดีขึ้น และที่สำคัญคือจุดยืนของทีวีบูรพาเป็นจุดยืนที่มีความชัดเจนมาก แล้วเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ มันไม่ใช่แค่ตัวการพยายามสร้างภาพลักษณ์ให้เป็นอย่างนี้ แต่ดีเอ็นเอเราเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นตรงนี้เป็นสิ่งที่เราได้รับความเชื่อถือมาก และทิศทางในวันข้างหน้าผู้ประกอบการทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นรัฐหรือเอกชนจะต้องทำในสิ่งที่มันเป็นความรับผิดชอบต่อสังคมมากยิ่งขึ้น เพราะว่ามันหลีกเลี่ยงตรงนี้ไม่ได้ เทรนด์ของโลกมันเป็นอย่างนี้”

“ฉะนั้นตัวเทรนด์ทางการตลาดหรือที่เป็นแฟชั่นขึ้นมาในช่วงหนึ่งเนี่ย แต่ว่าสิ่งที่มันจะแน่นอนไปโดยตลอดก็คือมันจะต้องมีการรับผิดชอบต่อสังคม มันต้องใช้เงินมาเพื่อที่จะทำในเรื่องนี้ครับ ซึ่งตรงนี้มันก็เป็นสิ่งที่เราทำอยู่ เพราะฉะนั้นในส่วนที่เป็นสารคดีตรงนี้ถ้าพูดแบบถ่อมตัวก็คือเราเป็นแค่เจ้าเล็กๆ แต่ถ้าในความเป็นจริงเราก็อาจจะเหลือเป็นบริษัทผลิตสารคดีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยแล้วมั้งในตอนนี้ และเราก็ยังรักษาตรงนี้ เรามีงานเยอะมาก งานมีหลายชิ้นจนทำไม่ไหว ตรงนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เรารอให้ตัวภาวะบางสิ่งบางอย่าง เช่นการเมือง เศรษฐกิจที่ไม่ใช่ของเราเท่านั้น แต่เป็นทั้งโลกให้มันปรับตัว เราคิดว่าถ้าสมมติในช่วงที่มันวิกฤติที่สุดเรายังรักษาตัวไว้ได้ ฉะนั้นถ้าในช่วงที่มันดีกว่านี้ มันไม่มีอะไรที่จะแย่กว่านี้ครับ”

ตั้งเป้าปี 60 รายได้รวมไม่ต่ำกว่า 250 ล้าน มั่นใจทำได้แน่
“ที่ตั้งเป้าว่าปีนี้เราจะได้ 250 ล้าน ผมคิดว่าค่อนข้างที่จะเป็นไปได้มากทีเดียวครับ คือปกติตัวเลข 250 นี้ถ้าไม่ใช่ช่วงที่มันมีปัญหาทั้งในวงการโทรทัศน์เอง ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจเนี่ย เราควรจะไปไกลกว่านี้แล้ว โดยเฉพาะเมื่อเราเสริมทีมเข้ามาอย่างนี้ แต่ว่าตอนนี้เราเข้าใจในตัวสภาวะรอบข้าง เข้าใจในตัวความตกต่ำของมีเดีย ไม่ใช่เฉพาะในช่องที่เราอยู่นะ คือทุกช่อง ช่องที่เคยได้กำไรเยอะๆ อย่างช่อง 3 ก็ยังลดลงมาเยอะ ถึงแม้เขาจะยังเป็นเบอร์หนึ่ง เบอร์สองกันอยู่แต่ก็ลงมาเยอะครับ ฉะนั้นตรงนี้เราก็เข้าใจ”
ชนวัฒน์ วาจานนท์




กำลังโหลดความคิดเห็น