xs
xsm
sm
md
lg

"จ๊ะ นงผณี" จากวันเริ่มต้นที่ความคัน...สู่ฝันเป็นจริง?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คนคำนวณหรือจะอาจสู้ฟ้าลิขิต ดูเหมือนคำๆ นี้จะไม่มีวันตายจริงๆ

จากนักร้องวงดนตรีตามชานเมืองนับร้อยๆ ชีวิตที่ต้องใช้ความสัปดนเล็กๆ ในการสร้างสีสัน เป็นทั้งหาอาหารตา บางคราก็อาหารกายของพวกขี้เมามือปลาหมึก ฯ ใครกันจะคิดว่าวันหนึ่งฟ้าก็กำหนดโชคชะตาให้เธอคนนี้กลายเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียง เป็นดาราที่มีคนให้ความเคารพยกย่องและเอาเป็นแบบอย่าง

ทั้งๆ ที่จะว่าไปแล้วจุดเปลี่ยนของเธอนั้นมาจากเสียงกร่นด่าเสียด้วยซ้ำไป...ใช่แล้วเรากำลังหมายถึงแขก "นัดคุย" ของเราในวันนี้ "จ๊ะ นงผณี มหาดไทย" นักร้องสาวที่มีวันนี้ได้ก็เพราะอาการ "คันหู"

"หากย้อนกลับไปสมัยตอนเป็น "จ๊ะ เทอร์โบ" ตอนนั้นจ๊ะเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ก็ใช้ชีวิตในการร้องเพลงปกติ คือจ๊ะร้องเพลงตามวงและไม่ได้ประจำวงเทอร์โบ แต่คนชอบคิดว่าจ๊ะประจำอยู่ที่เทอร์โบ จ๊ะเป็นนักร้องฟรีแลนซ์ แต่ทางวงเทอร์โบเขาติดต่อให้จ๊ะไปร้องเพลง ซึ่งจริงๆ วงเทอร์โบเขาจะเล่นแต่เพลงตลาด พวกเพลง ชิมิชิมิ"

"แล้วจ๊ะไม่ชอบเพลงแนวพวกนี้ มันดูน่อมแน้ม มันไม่ใช่ตัวตนของเรา จ๊ะเลยไปบอกให้พี่เขาช่วยแกะเพลง คันหู ให้หน่อย และเพลง คันหู เป็นเพลงนานมาแล้วเกือบ 10 ปี ซึ่งทางพี่เขาถามว่าเพลงอะไรเราก็เลยเปิดให้ฟัง พี่เขาก็แกะให้ จริงๆ เทอร์โบเขาไม่ได้เป็นคนถ่ายคลิป ตอนนั้นทางเจ้าภาพเป็นคนถ่าย แล้วเขาส่งคลิปมาให้ทางพี่ไผ่เขาบอกว่าเอาคลิปนี้ลงนะ"

"ซึ่งมันมีคลิปที่เราร้องเพลงช้าแล้วใส่กางเกงขายาวด้วย แต่คนไม่ได้สนใจเลย คนกลับมาสนใจเพลงคันหู ตอนนั้นจ๊ะได้ค่าตัววันละ 800 บาท พอดังมาก็เป็น 1500 ดังขึ้นมาอีกหน่อยก็ 3000"

"ความต่างระหว่าง จ๊ะ คันหู กับ จ๊ะ อาร์สยาม น่าจะเป็นเรื่องภาพที่คนมองเท่านั้นแหละ เพราะจริงๆ ตัวเราเหมือนเดิม ซึ่งคนมองว่าจ๊ะยกระดับตัวเองขึ้นมา คือตอนนั้นจ๊ะเหมือนเด็กสก๊อยมาก ตอนนี้เราพ้นน้ำมาแล้ว คนจะมองเราแค่ความแตกต่าง แต่ความเป็นตัวตนของจ๊ะยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน"

"และพอจ๊ะได้เข้ามาอยู่ในวงการเพลงอย่งเต็มตัว จ๊ะก็พอมีเงินซื้อรถ ซื้อบ้านให้พ่อแม่ อย่างล่าสุดจ๊ะก็เพิ่งจะถอยรถบีเอ็มให้พ่อ ถามว่าอวดรวยมั้ย มันก็ต้องอวดบ้างค่ะ (หัวเราะ) จริงๆไม่ได้อวดรวย แต่คนที่สักแต่เข้ามาคอมเม้นท์อวดรวยจังเลย คือโลกโซเชียลมันเป็นโลกของเรา เวลาเราลงข่าวอะไรก็เรื่องของเราแล้ว ซึ่งพอมันเป็นข่าว เราต้องขอบคุณพี่นักข่าวเท่านั้นเอง"

"แต่ตอนนั้นคุณรู้หรือเปล่าว่าชีวิตบ้านเราผ่านอะไรมาบ้าง บางทีทำไมเราต้องออกรถบีเอ็มให้พ่อ หรือต้องออกรถให้พ่อซ้ำซ้อนอยู่แบบนี้ เพราะว่าเมื่อก่อนนี้บ้านเราจนและไม่มีรถสักคันเลย แล้วพอเรานั่งรถไปกับพ่อด้วยกัน เราเห็นว่าพ่อชอบรถบีเอ็ม เราก็จำเอาไว้ว่า เอ่อพ่อเราชอบรถบีเอ็มนะ ก็เลยคิดว่าเดี๋ยววันพ่อปีนี้จะออกรถให้พ่อ แต่พอจองรถกลับไม่มี"

"แต่พอดีอยู่ๆศูนย์รถโทรศัพท์มาว่าได้แล้ว แต่ได้เดือนมกราคม ซึ่งเราก็บอกว่าดี เราก็เลยซื้อรถให้พ่อเพื่อเป็นของขวัญวันปีใหม่ไปเลยค่ะ (ยิ้ม)"

นับจากใช้สกุล "อาร์สยาม" หลายคนก็มักจะเป็นแต่ข่าวเกาเหลาของเธอกับคนนั้นคนนี้ เรื่องการทำศัลยรรม มีเงินซื้โน่นซื้อนี่ ฯ จนหลายคนอาจจะลืมไปแล้วว่ากว่าเพื่อแลกกับการรู้จักขึ้นมาในสกุลของ "คันหู" นั้นเธอโดนเสียงกร่นด่าจนแทบจะเสียสูญมาแล้ว...

"ตอนนั้นจ๊ะโดนคนถล่มด่าจนเกือบเสียสูญเลยค่ะ จริงๆ เราก็ยอมรับแหละว่ามันแรง และยอมรับว่ามันเกินไปทั้งท่าคันหู แล้วก็เสื้อผ้าอะไรต่างๆ แต่ทุกอย่างที่ทำมันคือการแสดง จ๊ะเป็นนักร้องต้องทำให้คนดูสนุก จ๊ะเป็นเด็กบ้านนอกที่แต่งตัวธรรมดา แต่ด้วยภาพตั้งแต่คันหู มันทำให้หนูต้องเป็นอย่างนั้น จริงๆ แล้วตัวตนหนูเป็นคนตรงๆ แล้วก็เป็นคนที่ออกจะทะเล้น แล้วก็ทะลึ่ง เป็นนิสัยแบบเด็กบ้านนอกเลย"

"แต่พอภาพนั้นออกมาทำให้คนเข้ามาด่าเรา กว่าจะผ่านตรงนั้นมาได้ ก็ได้รับกำลังใจจากครอบครัว แล้วก็เพื่อนๆ ในมหาลัย เขารู้หมดว่าเราเป็นคนยังไง จ๊ะโชคดีที่มีคนรอบข้างที่ดี แล้วคลิปของจ๊ะอันนั้นมันก็ธรรมดา ถ้าเทียบกับคลิปวงดนตรีแรงกว่านั้น ซึ่งคนบ้านนอกเขาจะเข้าใจ แต่พอเข้ามาอีกสังคมหนึ่งเขาดันไม่เข้าใจกับสิ่งที่เราทำ"

"และที่ผ่านมาจ๊ะไม่เคยมองหรือรังเกียจอาชีพที่ตัวเองเคยทำ คือจ๊ะเกิดมาจากคันหู หากวันใดที่เราลืมคันหู แสดงว่าจ๊ะลือตัวเอง ถ้าวันนั้นไม่มีคันหู จ๊ะคงไม่เกิดมาถึงทุกวันนี้ ซึ่งหากใครจะเรียกว่า จ๊ะ คันหู เราก็ไม่สน เพราะการที่เขาเรียกเราแบบนั้น แสดงว่าเราดังจริง และทุกวันนี้ที่จ๊ะไปแสดงตามงานต่างๆ มีคนเรียก จ๊ะ คันหู มากกว่า จ๊ะ อาร์สยาม เสียอีก คือเราไม่สามารถลบความเป็น จ๊ะ คันหู ไม่ได้หรอกคนติดแล้วไง”

ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ จากเด็กต่างจังหวัดตัวเล็กๆ คนหนึ่งทำงานสร้างตัวเองมาได้ขนาดนี้

"ชีวิตนี้ไม่เคยคิดฝันว่าจะมาถึงวันนี้ จริงๆ แล้วเป็นคนที่ไม่มีความฝันที่อยากเป็นนักร้อง เพราะมันเกินความฝัน ซึ่งความฝันจริงๆ ของจ๊ะ คืออยากทำงาน อบต. แล้วก็ออกรถมือสอง ร้องเพลงตอนกลางคืนได้วันละ 500 บาท อันนั้นคือความฝันที่เราตั้งเป้าว่าจบปริญญาตรีแล้วไปสมัครงาน อบต. เงินเดือน 15,000 ไปร้องเพลงได้วันละ 500 รวมทั้งสิ้นก็ 30,000 บาทอยู่ได้แล้ว"

เชื่อว่ามีหลายคนที่อยากเป็นนักร้องแบบ "จ๊ะ คันหู" แต่มีไม่กี่คนที่จะมีเส้นทางแบบเรา

"จ๊ะว่ามันเป็นเรื่องของโอกาสมากกว่า และมันก็เป็นเครื่องพิสูจน์เรา คือจ๊ะไม่ได้เกิดมาจากเรื่องดีๆ เกิดมาจากคนทั้งประเทศ 100 คน ด่าเรา 99 คน กว่าคุณจะผ่านจุดนั้นมาได้ ถ้าคุณไม่เข้มแข็งพอคุณอยู่ไม่ได้ แล้วก็สิ่งที่ทำให้จ๊ะประสบความสำเร็จได้ก็เป็นเรื่องของความกตัญญู คนจะมองจ๊ะยังไงก็แล้วแต่ตอนที่หนูมีเงินหรือตอนที่หนูยังไม่มีเงินหนูก็เป็นลูกที่ดีได้ อย่างวันพ่อวันแม่หนูไม่มีเงิน หนูก็ไปซื้อผ้าถุง เสื้อ ให้พ่อแม่"

"อีกอย่างพ่อสอนจ๊ะเสมอเวลาดังอย่าลืมตัวเอง ไปไหนมาไหนเจอพี่ทีมงาน คนจัดเวทีต้องไหว้ทุกคน รวมถึงแฟนคลับด้วยต้องถ่ายรูปให้ครบทุกคน พ่อบอกมีวันนี้ได้ก็เพราะแฟนคลับ ถ้าเขาไม่รักหนูจริงเขาจะไม่มานั่งรอหนูทั้งวัน ตั้งแต่วันนั้นจ๊ะก็สวัสดีทุกคน และอีกเรื่องที่พ่อสอนคือไม่ให้เอาเปรียบใคร ตอนนี้จ๊ะมีลูกน้องเยอะมาก คือจ๊ะค่อนข้างจ่ายค่าตัวแพงกว่าวงอื่น ไม่ใช่ว่าเราซื้อตัวเขามานะ คนที่เข้ามาอยู่ในวงเราก็ไม่ได้มีความสามารถที่โดดเด่น แต่ที่เราให้เพราะทุกคนคือศิลปินหมด คือเราได้มากก็ต้องแบ่งกันไป ไม่นั้นมันเป็นเรื่องของเวรกรรม ทำงานบนหลังคนแบบเอารัดเอาเปรียบคนอื่น สุดท้ายไม่เหลืออะไรเลย แล้วก็ไม่มีความสุขด้วย แต่ตอนนี้เรามีความสุขเพราะเราได้ให้เงิน เพราะเงินเป็นความสุขสำหรับชีวิตเขา และพอเราให้ทุกคนก็ตั้งใจทำงานเต็มที่ ทำไมงานจ๊ะถึงได้เยอะเพราะทุกคนตั้งใจทำงาน เราก็สบายใจที่เรามีลูกน้องมีทีมงานที่ดี"

มีหลายคนที่อยากเอาเราเป็นแบบอย่าง แต่อาจทำมากว่าท่าเต้นสยิว อาทิ แก้ผ้าร้องเพลง ตรงนี้มีอยากบอกน้องๆ อย่างไร

"จริงๆ แล้วเราไม่ได้อยากจะมีข้อติอะไร แต่ถ้าให้จ๊ะย้อนกลับไปได้ ถ้าเราดังเพราะคันหูที่เต้นอย่างนั้น ถ้ารู้แบบนี้เราจะไม่ทำ เพราะหนึ่งเลยคือเราคิดถึงจิตใจของพ่อแม่ตัวเอง ตอนนั้นพ่อหนูขับรถไปที่ตลาด คนบอกลูกมึงโดนจับแล้ว ถามว่าพ่อเรารู้สึกอะไรมั้ย เขาก็ต้องรู้สึกอยู่แล้ว เราควรต้องคิดให้ดีเวลที่ทำอะไรไปต้องมีขอบเขต ซึ่งการที่เราดังเพราะดวงด้วย แต่ไม่ใช่ว่านั่งอยู่เฉยๆ แล้วจะรวยมันก็ไม่ใช่ ต้องอยู่ที่คุณทำด้วย"

"ถามว่าหนูเกิดมาจากคันหู ทุกอย่างเหมือนเดิม เต้นเหมือนเดิม ถ้าหนูไม่พิสูจน์ให้คนอื่นรู้ หนูจะมาถึงจุดนี้มั้ย เพราะฉะนั้นเราต้องคิดแล้วว่าจะเอาเขาเป็นตัวอย่างเขามีอะไรดี แล้วทำไมคนทั้งประเทศถึงรักเขา จากที่คนเกลียดเขา กลายเป็นคนทั้งหมด 80 % ถึงกลับมารักเขา เราเลยบอกว่า หนึ่งต้องรู้จักความกตัญญู สองเป็นคนชัดเจน ซึ่งคนไทยเป็นคนที่ชอบอะไรตรงๆ ถึงคุณจะผิดพลาดไป คุณออกมาขอโทษคนไทยจะรู้สึกว่ามึงแมนๆ แล้วจ๊ะเป็นคนที่ทำบุญเยอะ จ๊ะอยู่ในวงการมายา แต่ตัวเองไม่มายา จ๊ะเป็นคนที่ไม่เฟค อย่างเรื่องทำศัลยกรรม หนูก็บอกทุกคน จ๊ะคิดว่าความจริงก็คือความจริง อย่างสมมติเราทำดีมาตลอดเลย แต่พอเราโกหกครั้งหนึ่ง คนก็จะมองว่าเราโกหก เพราะฉะนั้นเราก็เลยไม่คิดโกหกดีกว่า"

ศิลปิน อาร์สยาม ขานรับนโยบายธุรกิจเพลงใหม่

หลัง อาร์เอส ประกาศเดินหน้าปรับโมเดลธุรกิจเพลงใหม่ เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมการเสพเพลงของคนฟังที่มีการเปลี่ยนแปลงตามเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยวางกลยุทธ์มิวสิคมาร์เก็ตติ้งแอนด์เซอร์วิส แบบครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย พร้อมสร้างมูลค่าต่อยอดทางธุรกิจเพลงในทุกรูปแบบกับศิลปินเบอร์ต้นๆ รวมทั้งเปิดโอกาสให้ศิลปินอื่นๆ เข้ามามีส่วนร่วมลงทุนผลิตผลงานเพลงในลักษณะกึ่งพันธมิตรทางธุรกิจมากขึ้น งานนี้ทำเอาเหล่าศิลปินต่างขานรับนโยบาย เช่นเดียวกับนักร้องสาวลูกทุ่ง "จ๊ะ อาร์สยาม"

"ตอนนี้ทางบริษัท อาร์เอส เขามีนโบายว่า นักร้องคนไหนที่สนใจอยากออกซิงเกิ้ลเพลง ต้องนำเงินมาจ่าย ทั้งในเรื่องของการลงทุนเองทั้งหมด โดยทางบริษัทไม่ได้มีการออกให้ ซึ่งการทำเพลงแต่ละครั้งเราก็ต้องแบ่งส่วนในการออกงานแสดงแต่ละครั้งให้ทางค่าย 25 % อีก 75 % ก็เป็นส่วนของเรา ซึ่งเราก็ต้องมานั่งดูแลเรื่องของภาษีเองทั้งหมด สมมติว่าเวลาเราไปโชว์ตัว เราให้ทางบริษัท 25 % เราจะเหลือ 75 % ซึ่งเงินในส่วนที่เหลือของเรา เราเองก็ต้องไปให้ลูกน้อง รวมถึงเรื่องของภาษีอีก"

"ในส่วนของเรื่องลิขสิทธิ์เพลงที่เราลงทุนทำ จะตกเป็นของทางบริษัทค่ะ ซึ่งอันนี้บอกเลยว่ามันมองได้สองแบบ คือในส่วนของนักร้องที่มองว่า จริงๆ เพลงที่เราลงทุนทำไปนั้นต้องตกเป็นลิขสิทธิ์ของเรา เพราะมันเหมือนบริษัทกำลังเอาเปรียบเรามาก เราเป็นคนที่จ่ายเงินค่าทำเพลงทั้งหมดลิขสิทธิ์เพลงต้องควรเป็นของเราสิ ซึ่งจ๊ะคิดว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้น เหมือนเรามาจ้างบริษัทเพื่อการโปรโมท เพราะว่าเราต้องจ่ายให้ทางบริษัทงานละ 25 % อยู่แล้ว แต่ทางบริษัทเขาคงมองว่ามันไม่ใช่ ลิขสิทธิ์เพลงมันน่าจะเป็นของบริษัท ซึ่งเราทำอะไรไม่ได้เราก็ต้องทำตามนโยบายของเขาเท่านั้นเอง"

"ถามว่าตอนแรกเห็นนโยบายแบบนี้รู้สึกอย่างไร จริงๆ จ๊ะไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เพราะจ๊ะยังไม่ต้องออกเงินเอง จะมีอยู่ 3 คน ที่ยังไม่ต้องออกเงินคือ พี่ใบเตย สุธีวัน, พี่กระแต นิภาพร และตัวจ๊ะเอง นอกนั้นนักร้องในค่ายออกเงินทำเพลงเองหมด ซึ่งความรู้สึกนี้คนที่ออกเงินเองน่าจะรู้สึกมาก แต่ตัวจ๊ะเองยังไม่ได้กระทบ เราเลยรู้สึกเฉยๆ แต่หากเป็นตัวจ๊ะเองถ้าเกิดทำเพลงแล้วต้องมาออกเงิน ก็คงมีคิดบ้าง อย่างเพลงล่าสุด "จีบหน่อย อร่อยแน่" มันเป็นเพลงพรีเซนเตอร์ ซึ่งเพลงนี้ทางสินค้าจ่ายให้ แต่ถ้ามีเพลงต่อไปทางบริษัทก็ยังจ่ายให้อยู่ เพราะจ๊ะมีคอนเสิร์ตที่ขายงานได้ ทางบริษัทก็ยังจ่ายค่าทำเพลงให้อยู่ค่ะ"

ลังเลต่อสัญญา RS ชี้ถึงเวลาเลือกทางเดินชีวิต

"ถ้าจ๊ะหมดสัญญากับทางอาร์เอส จ๊ะจะขออยู่นิ่งๆ คือจ๊ะยังให้คำตอบไม่ได้ว่าจะต่อสัญญากับทางค่ายหรือไม่ แต่จ๊ะจะทำตัวนิ่งๆไว้ก่อน เพราะเรารู้สึกว่าวงการนี้มันไม่ค่อยอิสระ จริงๆ จ๊ะรักในความที่จ๊ะอยู่บ้านนอก แบบเราอยู่อ่างทองไปไหนเราก็ทำได้ แต่พอตอนนี้เรามามีค่าย มีสังกัด มีกฏระเบียบ ซึ่งตรงนี้มันทำให้ความเป็นตัวเรามันน้อยลง และเวลาที่ใครมาสัมภาษณ์เราพูดตรงๆไม่ค่อยจะได้ และตัวจ๊ะเองจริงๆ เป็นคนตรงมากเลย อะไรใช่ก็คือใช่ แต่พอหนูให้สัมภาษณ์ไปกลับโดนทางค่ายมาว่า ซึ่งตัวจ๊ะเองก็บอกทางค่ายนะว่า เราขออยู่ในวงการแบบชัดเจน และคนที่รักจ๊ะเพราะความที่จ๊ะเป็นคนตรงๆ"

"เอาจริงๆ จ๊ะไม่เคยคิดว่าจะอยู่ในวงการบันเทิงไปตลอด คือจ๊ะเป็นคนที่ค่อนข้างจะวางแผน ทำงานเก็บเงิน สมมติว่าวันนี้หนูไม่สบาย ต้องหยุดทำงานไป ถามว่าเราอยู่ได้มั้ย เราอยู่ได้นะเพราะจ๊ะวางแผนชีวิตตัวเองไว้หมดแล้ว ถ้าไม่ได้อยู่ในสังคมนี้หรืออยู่ในเมือง อยู่บ้านนอกแทบไม่ได้ใช้เงินเลย วันๆ ใช้ยังไม่ถึง 300 บาท คือเราอยู่กันได้ มีเงินเราก็ซื้อที่ไว้ทำไร่ ทำสวน จริงๆ อนาคต อยากทำรถที่ส่งของตลาดไทย เพราะเราค่อนข้างมีที่ เราจะปลูกผักให้หมดเลยในพื้นที่ 20 -30 ไร่ แล้วมีรถสัก 10 คัน อยู่ได้สบาย"



กำลังโหลดความคิดเห็น