xs
xsm
sm
md
lg

สูตรรวยจริง? ทะลุสิบล้าน "แบงค์ เดลี่ปริ้นเซส" สู้จนรวย!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


จากความใฝ่ฝันอยากเป็นนักศึกษาพาณิชย์นาวี สุดเท่ห์โก้เก๋ "แบงค์ กฤตภาส นิภาพรรณ์" กลับต้องมีชีวิตที่พลิกผันสุดๆ ต้องดิ้นรนกันไป ชีวิตไม่ได้ดั่งใจไปหมดทุกอย่าง แบงก์หันไปลุยทำธุรกิจแทน ทางเดินชีวิตลำบากหนักหนาแสนสาหัสทั้งกายและใจ จนมาวันนี้ แบงก์ค้นพบสูตรรวยจริง!!! ที่เรียนรู้จากประสบการณ์จริงของตัวเองล้วนๆ

แบงค์กลายนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงมาก ที่น่าจับตาสุดๆ เพราะมียอดขายสินค้าคุณภาพหลายอย่าง เช่น สบู่หอยทากชาโค, แป้งคุชชั่น, บีบีครีม ฯลฯ ในนามบริษัทเดลี่ ปริ้นเซส Daily Princess (FB:Daily Priness) โดยยอดขายรวมๆ แล้วได้เงินทะลุหลัก 10 ล้านบาท ในวัย 23 ขอย้ำอีกครั้ง!!! แบงก์รวยจริงด้วยอายุแค่ 23 ปีเท่านั้น!!! สูตรรวยไม่ลับ!!! พร้อมจะเปิดเผยแล้ว อยากรวยจริงต้องอ่านไวๆ

ชีวิตในวัยเด็กของแบงค์เป็นยังไง?
“ย้อนกลับไปเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว ช่วงนั้นอายุประมาณ 18-19 เป็นช่วงที่กำลังจะจบ ม.ปลาย ที่โรงเรียนวัดนวลวรดิศ ช่วงนั้นกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย เป็นช่วงที่ต้องตัดสินใจกลายๆ แต่ก็ตัดสินใจสอบเข้าพาณิชย์นาวี ที่ศรีราชา ชลบุรี แล้วก็สอบอีกที่หนึ่ง เป็นการเดินเรือของสมุทรปราการ ตอนนั้นเราอยากเดินทางทางทะเล และคิดว่าจบไปงานมั่นคงอยู่แล้ว เงินเดือนก็ค่อนข้างดี"

“แต่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นคือ มันสอบค่อนข้างยาก ต้องบอกตรงๆ ว่าสอบไม่ติด ข้อที่สองคือเรื่องค่าใช้จ่าย เทอมหนี่งก็หลักแสน ซึ่งตอนนั้นก็คงต้องกู้ กยส. อย่างเดียวแล้วแหละ แล้วก็มาติดอีกที่หนึ่งผมแอดมิทชั่นไว้ ตอนนั้นผมติดการบิน เป็นการบินของมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา แต่ว่าผมไม่ได้เลือกเรียนสักที่นะ ผมรอปีหน้า เพราะว่าผมอยากได้การเดินเรือ ตอนนั้นผมก็ว่าง ทางบ้านและเพื่อนๆ ก็กดดันว่าทำไมจึงไม่เรียน ผมก็เลยตัดสินใจลงเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่ว่าพอจ่ายค่าเทอมไป ค่าสมุด จ่ายค่าโน่น นี่ จ่ายไปเกือบหมด! ซึ่งช่วงนั้นเงินก็ไม่มีเลย"

“เล่าย้อนนิดหนึ่งตอนเด็กๆ ช่วง ม.3 เป็นช่วงมรสุมมากๆ คือพ่อแม่ต้องขายบ้าน ขายได้ 3 แสน ก็แบ่งกัน 3 คน พ่อหนึ่งแสน แม่หนึ่งแสน ผมหนึ่งแสน แล้วช่วงเวลาตั้งแต่ ม.3- ม.6 ผมเอาเงินทั้งหมด คือหนึ่งแสนมาใช้จ่าย ค่าเรียน ค่ารถ ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ความรู้สึกตอนนั้นคือ...ครอบครัวเป็นขนาดนี้แล้วเหรอ เราจะช่วยที่บ้านยังไงได้บ้าง ตอนนั้นเลยตั้งเป้าหมายว่า ต้องเรียนพาณิชย์นาวี เพราะว่าวาดฝันไว้แล้วว่าเงินเดือนมันเยอะ ต้องช่วยที่บ้านให้ได้ อยากให้ที่บ้านสบาย”

ตอนนั้นเราพักอยู่กับพ่อแม่ไหม?
“ไม่ครับ สมัยก่อนพ่อแม่ผมชอบทะเลาะกัน ตอนเด็กๆ ผมอยู่สมุทรปราการ ตอนนั้นพ่อแม่ทะเลาะกัน พ่อก็เอาผมไปอยู่กรุงเทพฯ ไปอยู่กับแม่เลี้ยง เขาเลี้ยงดูผมโอเคนะ แต่เขามีลูกมีหลานแท้ๆ ระหว่างหลานแท้ๆ กับใครก็ไม่รู้ เขาจะรักใครมากกว่ากัน เขาก็คงต้องรักทางลูกหลานเขามากกว่า ผมรู้สึกขาดความรักมาตั้งแต่เด็กแล้ว ผมมีทุกอย่างนะครับสุขสบายดี แต่ว่าเรื่องของจิตใจ เรื่องของความรักความอบอุ่นไม่มีเลย"

“แม่เลี้ยงมีลูกกับพ่อผมประมาณ 7-8 คน แล้วมีหลานอีก ผมก็เหมือนแกะดำที่ไปอาศัยอยู่ ช่วงนั้นก็พอจบ ม.ปลาย ก็เลยคิดว่าต้องออกมา ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมโดนกดดัน โดนใช้งานจนไม่ไหวแล้ว โดนด่าสารพัด เลยตัดสินใจออกมาจากที่นั่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะเขาไม่ค่อยรักผมเท่าไหร่ อย่างพ่อตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยกอดพ่อนะ ถามว่าเป็นหน้าที่ของผมต้องดูแลก็ใช่ แต่พ่อไม่เคยกอด ไม่เคยดูแล ไม่เคยให้เงิน ตอนที่อยู่กับพ่อก็อยู่บ้านแม่เลี้ยง พอจบ ม.ปลาย ก็เลยตัดสินใจหนีออกจากบ้าน”

เมื่อพลาดจากการสอบเข้าเรียนพาณิชย์นาวี แบงค์ตัดสินใจเข้าเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่ก็มีอุปสรรคมากๆ เพราะไม่มีเงินพอ ที่จะใช้เป็นค่าเดินทางไปเรียน จนแบงค์ต้องตัดสินใจหางานทำแทน
“พอตัดสินใจเรียนราม ผมไม่เคยเข้าเรียนสักครั้งนะ เพราะว่าหนึ่ง ผมไม่มีค่าเดินทางแล้วเงินหมดแล้ว เงินหนึ่งแสนสุดท้ายจากที่เคยได้มาตอน ม.3 ก็หมดแล้ว (เงินหนึ่งแสนจากการขายบ้าน ใช้ไปตั้งแต่ ม.3 - ม.6 ) สรุปก็คือไม่ได้ไปเรียนเลย ผมก็เลยไปทำงานที่ร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง ไปอยู่หลังครัวเป็นผู้ช่วยกุ๊ก ตอนนั้นได้เงินชั่วโมงละ 34 บาท"

“ถามว่าตอนนั้นอยู่ได้ไหม ก็ได้นะ เพราะเราไม่ต้องเสียค่าห้อง กินอยู่กับเขาเลย เช้ากลางวันก็เสียตังค์ไปกินโรงอาหารแหละ แต่ก็แค่ไม่กี่บาท 20-30 บาท พอตกเย็นก็แบกท้องไปกินทีเดียวกับพ่อแม่เลย เพราะแม่ผมทำงานอยู่ที่เดอะมอลล์ท่าพระ พออยู่ไปสักพักหนึ่งผมก็มีปัญหากับพ่อ โดนพ่อตีเตะ ผมโดนมาตั้งแต่เด็กแล้ว ก็ชินแล้วแหละ โดนด่า โดนดูถูกหลายๆ อย่าง ผมจึงหนีออกจากห้องเช่า ช่วงนั้นผมอายุ 18-19 ก็เสิร์ชหางานในอินเตอร์เน็ต หาเป็นงานพาร์ทไทม์ พอไปสมัครกลับเป็นงานขายตรง มีการลงทุนด้วย 40,000 บาท ผมก็ไม่มีเงิน ก็ยืมเงินเพื่อนจากหลายๆ คน คือเขาบอกว่าจะได้เงินคืนแบบนี้ๆ นะ"

“สิ่งแรกที่คิดเลย คือจะเอาเงินจากไหน ก็ต้องขอบคุณเพื่อนนะ คือเพื่อนคนนี้รวยมากๆ ผมยืมเงินเขาประมาณ 30,000 แล้วผมก็มีคอมพิวเตอร์อยู่ตัวหนึ่ง ที่เก็บเงินตอนทำงานพาร์ทไทม์ขายได้ 6,000 รวมเป็นเงิน 36,000 ได้แค่นี้หมดตัวแล้ว แต่ไม่พอ เพราะมันต้อง 40,000 เขาก็บอกให้ผมขายปุ๋ย เราก็ขายๆ ไป"

“ทำขายตรงมาประมาณ 4 ปี ช่วงแรกๆ เราเป็นวัยรุ่นเรามีไฟอยู่แล้ว มีแรงทำงานเยอะ เชื่อคนอื่นง่าย ทำมา 4 ปี ต้องบอกว่าประสบความล้มเหลวทั้งหมดเลย 4 ปี ขายทุกอย่าง ทั้งปุ๋ย อาหารเสริม ทั้งสินค้าอะไรต่างๆ นาๆ หลักๆ เขาไม่ได้ให้ขายของ เขาให้หาเครือข่ายที่มาลงทุนกับผม ผมจะได้ค่าคอมมิชชั่นจากการที่ชวนคนมาต่อ เขาก็จะได้สินค้า แล้วคนที่ต่อเราเขาก็ต้องไปหาคนมา เป็นลูกโซ่ ง่ายๆ แค่เราหาคนๆ หนึ่งมันก็ยากแล้ว แล้วเขาจะไปหามาต่อเรา มันก็ยากกว่าอีก"

“ตอนนั้นใช้การฟอร์เวิร์ดเมล ส่งวันละ 30,000 – 60,000 ฉบับ แล้วผมก็โทรไปหาเขา เหมือนวันแรกที่ผมเห็นเลยคือ เป็นงานพาร์ทไทม์ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต คนเห็นก็ตื่นเต้น แต่ต้องบอกว่าบางคนเขาก็อายุเยอะแล้ว ส่วนมากจะเป็นวัยกลางคน พอทำก็ไม่ประสบความสำเร็จสักคน ตั้งแต่ผมทำมาได้เงินเยอะสุดประมาณ 20,000 แต่บางเดือนได้ พันกว่าบาท สองพันสามพันบ้าง วนๆ แบบนี้"

“ตอนนั้นน้ำตาจะไหลต้องขอแม่ แล้วช่วงนั้นผมย้ายไปอยู่กับเพื่อนด้วย มีกันอยู่ 4 คน หารค่าห้องกัน พอไม่มีเงินอย่างแรกเลยคือยืมเพื่อนก่อน 4ปีที่ผ่านมา แม่ผมโทรมาแล้วพูดว่าแม่ไม่ไหวแล้วนะลูก ลูกทำงานแล้ว ทำไมยังต้องขอเงินแม่อีก เพราะแม่ก็ลำบากอยู่แล้ว ออกมาช่วยแม่มั้ย เพราะแม่ขายข้าวแกง ในใจผมก็ไม่อยากไป พอผมกลับไปหาแม่ก็ต้องไปเจอพ่อ ต้องเจอคำพูดไม่ดี"

แม้จะไม่ประสบความสำเร็จกับงานขายตรง แต่แบงค์ก็ได้ประสบการณ์อย่างอื่นมาทดแทน ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ในการหยิบเอาเทคนิคการโฆษณามาปรับใช้จนกลายเป็นสร้างรายได้ที่น่าตื่นเต้นให้กับตัวเอง
“สิ่งที่ผมได้จากขายตรงคือ 1.ความคิด เขาสอนให้เราคิดหลายๆ อย่าง 2.สิ่งที่ผมได้คือทักษะในการขายของ 3.ได้เทคนิคการโฆษณามาด้วย พอออกมาปุ๊บ ตอนนั้นไม่มีเงิน แต่ต้องใช้เงินลงโฆษณา ผมก็ยืมเพื่อน 3,500 บาท เพื่อมาลงโฆษณา ตอนนั้นมีโฆษณาตัวหนึ่ง ผมเคยขายสินค้าประเภทลดน้ำหนัก ช่วงนั้นผมผอมมากก็ขายผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักยี่ห้อหนึ่ง กำไรช่วงนั้นโอเค อยู่ที่ 5-6 หลัก สนุกมาก!!! เพิ่งเคยจับเงินครั้งแรก มีความสุขมาก ตอนนั้นใช้วิธีลงโฆษณา เพราะยังไม่มีใครลงเป็น ตอนนั้นยังไม่มีเพจ ลงโฆษณาอย่างเดียว กำไรดี ทำมาหนึ่งปีมีเงินเก็บประมาณ 3-4 แสน แต่ว่าไปๆ มาๆ ก็มาทำขายตรงอีก ซึ่งไม่ใช่บริษัทเดิม คนรู้จักชวนมา"

“ที่ผมสนใจคือสินค้าเขา มันเป็นสินค้าปลูกผม แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ถามว่าได้เงินไหม ก็ได้เงินค่อนข้างดี ก็เอาสินค้ายาปลูกผมมาขายปรากฏว่าก็ขายดี แต่ปัญาหาคือของหมดแล้วขาดเป็นเดือน ผมต้องค้างส่งลูกค้าเป็นเดือน แล้วก็ต้องหาสินค้าตัวอื่นมาขาย เมื่อประมาณปีที่แล้วผมขายสินค้าอีกตัวหนึ่ง เป็นสินค้าเซรั่มปลูกผม ขายภายในระยะเวลาหนึ่งปีก็ได้บ้าน แล้วก็ได้รถสปอร์ต อันนี้คือขายอย่างเดียวเลย ไม่ใช่ขายตรงแล้ว ไม่เอาแล้ว จึงตัดสินใจเปิดบริษัทเอง​"

“ปีที่แล้วผมขายเซรั่มปลูกผมด้วย ขายสินค้าตัวเองด้วยที่ผมผลิตมา ผมทำเป็นออฟฟิศ ปัจจุบันมีพนักงานประมาณ 30 คนแล้ว มีเซลล์ มีบัญชี 1 คน กราฟฟิกอีก 4 คน แล้วก็พนักงานอีก 3 คน ปัจจุบันนี้ยอดขายทะลุสิบกว่าล้านแล้วครับ ปีนี้ตั้งเป้าเพิ่ม เพราะเพิ่งจ้างพนักงานเพิ่มก็จะขยายออฟฟิศ เพื่อให้สะดวกมากขึ้น สิ่งที่ผมอยากได้คือให้พนักงานได้เงินเยอะๆ พอพนักงานได้เงินเยอะๆ รายได้มันก็กลับมาหาผมเอง ถามว่าสิ่งที่ผมทำคล้ายเครือข่ายไหม...ก็ไม่คล้ายนะ เครือข่ายมันต้องหาคน แต่อันนี้หาแค่พนักงาน แล้วให้พนักงานขายสินค้า กระจายสินค้าโดยที่ผมลงโฆษณา ลงทางเฟสบุ๊ค ปีนี้ผมอยากได้ยอดขายต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 20-30 ล้าน ซึ่งมันต้องใช้ปริมาณคนแล้วก็พื้นที่ด้วย เพราะถ้าพื้นที่แคบ พนักงานบรรจุไม่พอ ยอดขายมันก็วนอยู่ที่เดิม แต่เดือนนี้น่าจะเยอะขึ้น เพราะว่าผมรับพนักงานมาเพิ่มสิบกว่าคนเป็นเซลล์ ปัจจุปันผมก็มีรายได้ที่ค่อนข้างโอเค ให้พ่อให้แม่ได้อยู่ได้อย่างสบายๆ"

พ่อแม่มีท่าทีที่เปลี่ยนไปมั้ย กับความก้าวหน้าของเรา?
“แม่ผมมีความสุขมาก ไม่ต้องเหนื่อยแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจผู้ใหญ่อย่างหนึ่งคือ พอให้เขาอยู่บ้านเฉยๆ แล้วไม่โอเค เขาก็ยังเลือกไปทำงาน”

นักธุรกิจรวยอายุน้อย สิ่งที่ได้จากงานขายตรงที่ทำให้เราต่อยอดได้คืออะไร?
“สิ่งที่ผมได้จากการขายตรงคือ ทัศนคติ ความฝัน คือคนขายตรงจะมีแรงผลักดัน ความฝันคืออะไรบ้าง ความฝันอยากได้นู่นอยากได้นี่เราจะมีมากกว่าคนอื่น สมมุติเราอยากได้บ้านหลังนี้ เราจะมีความรู้สึกต้องเอาให้ได้”

ชีวิตครอบครัว?
“ตอนนี้มีความสุขดี ผมมีลูก พ่อแม่แฟนผมมีลูก 3 คน แฟนผมเป็นคนเล็กสุด สิ่งที่ผมเห็นคือ พ่อแม่แฟนผมรักกันมาก พี่น้องรักกันพูดจากันดี เขาให้ความรักกับผม ให้ความอบอุ่นกับผม ผมรู้สึกมีความสุขที่สุดแล้ว ตอนนี้เงิน รถ ผมมองว่าผมไม่ค่อยมีความสุขกับมันเท่าไหร่ ไม่ใช่เพราะเหนื่อยนะ เพราะว่าสิ่งที่ผมมีความสุขก็คือครอบครัวมากกว่า กับแฟนคบกันมา 2 ปี ล้มลุกคลุกคลานมาด้วยกันครับ"

“ช่วงแต่งงานผมเกือบขายรถแล้ว เพราะไม่มีเงินแต่งงาน แต่โชคดีที่ช่วง 2 เดือนก่อนแต่งงาน ยอดขายดีมีกำไรดี ตอนนั้นผมขายคนเดียวนะ ยังไม่ได้จ้างพนักงาน พอแต่งงานเสร็จเงินก็หมด เพราะแต่งงานใช้เงินเยอะ แต่แม่แฟนดีมาก เขาก็ให้เงินสินสอดคืนมาก็ทำทุนต่อ หลักจากที่มีลูกครอบครัวก็อบอุ่นมาก ผมมีความสุขมาก เคยขาดความรัก ผมจะไม่ให้ลูกเป็นแบบนั้น ให้ลูกให้แฟนเยอะ อยากได้อะไรซื้อให้อยากให้เขามีความสุข”

ตั้งเป้าต่อไปไว้ยังไง?
“ก่อนมิถุนายนปีนี้ ผมต้องมีเซลล์ให้ได้ 100 คน ยอดขายตั้งไว้ที่ 30-50 ล้านต่อเดือน ปีหนึ่งก็หลัก 100 ล้าน ยังไงก็ต้องถึงเพราะเรารู้วิธีการอยู่แล้ว เราแค่เพิ่มปริมาณคน ตอนนี้สินค้าเป็นของผมเองทั้งหมด เป็นสินค้าที่ผมนำเข้ามาเองจากเกาหลี ลูกค้าใช้แล้วโอเค ตอนนี้ผมผลิตมาหลายตัว แต่ยังไม่ได้เอาออกมาทั้งหมด แต่มีที่ขายดีอยู่สองตัวคือ ตัวสบู่หอยทากชาโคล ตัวที่สองเป็นแป้งคุชชั่น นอกนั้นก็จะมีบีบีครีม มีครีมสำหรับสลายเซลลูไลท์ ที่กำลังจะออกมา แต่จริงๆ แค่นี้มันไม่สามารถจะทำให้ผอมได้ เราต้องออกกำลังกายควบคู่กันไป”

กินอาหารเสริมเราจะผอมได้ เราต้องอดอาหารด้วยไม่ใช่เหรอ?
“มันก็เหมือนกัน แต่เราไปออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เราก็จะผอมมากกว่า หุ่นดีด้วย ตอนนี้สินค้าทุกอย่างทำภายใต้ บริษัทเดลี่ปริ้นเซส Daily Princess ก็จะเป็นสินค้าที่เกี่ยวกับความงามคอสเมติก”

จับธุรกิจขายของทางออนไลน์ เพราะทำให้ประสบความสำเร็จ?
“ต้องย้อนกลับไปข้อที่ว่าเรื่องของความฝัน แรงผลักดันต้องมี ผมมองว่าสิ่งที่ผมโชคดีกว่าคนอื่นคือ ครอบครัวผมไม่มีเงิน แล้วผมจะรู้สึกผลักดันตัวเอง รู้สึกมีไฟมากกว่าคนอื่น ต้องขอบคุณครอบครัว ขอบคุณพ่อคุณแม่”

ธุรกิจประเภทนี้ต้องพัฒนายังไง?
“เราก็ต้องดูให้เป็น เช่น ช่วงที่สินค้าตัวนี้กระแสกำลังมา มันไม่มีสินค้าตัวไหนที่อยู่ได้ตลอด พอมันดรอปปุ๊บ ผมก็หาสินค้าตัวใหม่มาแทน อย่างที่บอกผมสำรองไว้ ผมมองการณ์ไกลไว้เลยว่า สินค้าตัวนี้กำลังมาดีนะ เป็นตัวเมจิกแฮร์ เป็นไฟเบอร์ใช้แล้วผมขึ้นเลย หัวล้านขนาดไหนทาแล้วขึ้นเลย เขาก็ออกสังคมได้ แล้วก็มีอีกหลายๆ ตัว”

จากที่ไม่มีอะไรเลย ชีวิตติดลบ จนวันหนี่งมีเงินหลักสิบล้าน มีวิธีเตือนตัวเองยังไง?
“เรามองไว้อยู่แล้ว เราเคยไม่มีจนวันนี้เรามีทุกอย่างที่ต้องการแล้ว สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือ กลัวความจน กลัวจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม กลัวจะตกต่ำกว่าเดิม ซึ่งผมยังไม่เคยตกต่ำกว่าเดิมเลย ดีขึ้นเรื่อยๆ ผมจะไม่กลับไปเป็นแบบเดิมแน่นอน สิ่งที่ผมเตือนตัวเองประจำคือ อย่าขี้เกียจ มีระเบียบวินัย ต้องมีแพลนการทำงานของแต่ละเดือน อีกอย่างหนึ่งคือผมมีพนักงานที่ไว้ใจได้ ผมมีความสุขที่เห็นพนักงานทำงานกับผมแล้วมีรายได้ที่เยอะ เขามีความสุขผมก็มีความสุข”

แม้จะผ่านประสบการณ์ที่เลวร้ายมา แต่แบงค์ยังมีสติ และเตือนตัวเองให้สู้ๆ อยู่เสมอ ใช้ชีวิตไม่ประมาท จนสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวจากตัวเองโดยแท้ แม้ไม่ได้เป็นหนุ่มพาณิชย์นาวี อาชีพในฝันแสนโก้ตามที่ตั้งใจไว้ แต่วันนี้แบงค์มาเป็นนักธุรกิจรวยรุ่นใหม่ไฟแรง ที่สามารถสร้างยอดขายสินค้าตัวเองได้ทะลุหลักสิบล้าน และกำลังจะทะยานขึ้นสู่หลักร้อยล้านเร็วๆ นี้ เป็นเบนเข็มทิศชีวิตที่เลือกแล้ว แม้จะมีอุปสรรคในช่วงแรก แต่ผลที่ได้รับในตอนนี้นั้น คุ้มค่าที่สุด!!!





กำลังโหลดความคิดเห็น