เผลอแพรบเดียวจริงๆ ตอนนี้เราก็เดินทางมาถึงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้กันแล้ว ซึ่งไตรมาสสุดท้ายนี่แหละ ที่ถือว่าเป็นโค้งสำคัญของวงการทีวี ที่จะต้องมีการผ่องถ่ายรายการต่างๆ เพื่อปรับผังใหม่ ปรับช่วงเวลาใหม่ อะไรที่ดีก็คงไว้ อะไรที่ก็ดูทรงแล้วจะไปไม่รอด ก็ต้องสังคายนากันเป็นรายๆ ไป
เลี้ยวมาดูที่วิก 3 พระราม 4 ก่อนเลย
ความเคลื่อนไหวที่ต้องเรียกว่าช็อกวงการ ก็คือการหั่นเวลารายการ “เรื่องเน่าฯ” เอ๊ย....“เรื่องเล่าเช้านี้” ที่ครองความนิยมครองเรตติ้งในระดับท็อปของช่องมาตลอด 13 ปี ลงไป 45 นาที จากเดิมออกอากาศตั้งแต่ 6.00-9.30 น. จะเหลือช่วงเวลาออกอากาศแค่ 6.00-8.45 น. และในช่วงเวลาตั้งแต่ 8.45-9.30 น. จะเป็นการนำรายการ “ผู้หญิงถึงผู้หญิง” ที่เคยถูกโยกไปออนแอร์ที่ช่อง 3 Family ย้ายกลับมาที่ช่องหลักอีกครั้ง
สาเหตุแห่งการโดนหั่นเวลาเป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี ของ “เรื่องเล่าเช้านี้” ก็ไม่ได้มีเหตุผลสลับซับซ้อนมากไปกว่าเรตติ้งที่เคยอู้ฟู่ หล่นฮวบไปในทันตาเห็น นับเนื่องตั้งแต่การไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่พิธีกรหลักของ “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” ซึ่งมีการประเมินว่าตัวเลขผู้ชมหายไปถึง 25% แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่า ตัวเลขของรายได้จากค่าโฆษณา ที่หายไปถึง 30% แม้ว่าที่ผ่านมา จะมีความพยายามที่จะปรับปรุง เปลี่ยนแปลงเนื้อใน โดยยืดช่วงครอบครัวบันเทิงให้มากขึ้น พร้อมทั้งดึงพิธีกรฝีปากกล้า อย่าง “น้าเน็ค-เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา” เข้ามาเสริมทัพ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ทิศทาง และแนวโน้มของเรตติ้งกระเตื้องขึ้น เพราะฟอร์แมตหลักของรายการ ยังคงเน้นการเล่าข่าวเหมือนเดิม แต่ขาดฟืนเฟืองสำคัญที่จะทำให้การเล่าข่าวนั้นมีอรรถรสอย่างสรยุทธ ที่ไม่สามารถทำหน้าที่ได้เหมือนเก่า
ส่วนรายการ “ผู้หญิงถึงผู้หญิง” ที่กลับมาอยู่ที่ช่องหลัก และถือว่าเป็นต้นแบบของรายการผู้หญิงๆ ของหลายๆ ช่องก็จะถูกนำมา Rebranding ใหม่ โดยการนำเสนอในรูปแบบซิตคอม พร้อมทั้งมีการปรับเปลี่ยนพิธีกรแบบยกชุด นำโดยแพท–ณปภา ตันตระกูล, ลูกแก้ว – กรกมล ชิตพงศ์,บูม–สุภาพร วงษ์ถ้วยทอง , อาลิซาเบธ แซ๊ดเลอร์ และพิธีกรภาคสนาม ลิลลี่ แม็คกร๊าธ โดยจะมีพิธีกรที่ตัดสายสะดือแจ้งเกิด “ผู้หญิงถึงผู้หญิง” ในยุคแรก อย่างกาละแมร์–พัชรศรี เบญจมาศ มาเสริมทัพในบางวัน
ในฝั่งของช่อง 7 ดูเหมือนจะยังไม่มีความเคลื่อนไหวในเรื่องของการปรับผังรายการ แต่สิ่งที่ทุกคนตั้งตารอคอย และจับตามอง ก็คือการมาของละคร “เพลิงพระนาง” ที่ได้นางเอกตัวแม่ อย่าง “อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ” เป็นหัวหอก ต้องบอกเลยว่างานนี้อั้มต้องแบกรับความกดดันไว้แต่เพียงผู้เดียวอย่างมากมายมหาศาล อาจจะมากกว่าที่เคยเป็นด้วยซ้ำ เหตุเพราะ “พิษสวาท” ของ “นุ่น-วรนุช” และ “นาคี” ของ “แต้ว-ณฐพร” ปูเร็ตติ้งไว้ในระดับที่เรียกว่าถล่มทลาย ซึ่งทั้ง 2 เรื่องที่กล่าวว่า กับ “เพลิงพระนาง” ของอั้ม ต้องบอกว่ามี Mood&Tone ใกล้เคียงกัน นั่นคือเรื่องราวเข้มข้น ย้อนยุค เสื้อผ้าหน้าผมวิจิตรอลังการ และถ้าเทียบฟอร์มในความเป็นซุปตาร์แล้ว ต้องนับว่าอั้มอยู่ในสถานะที่เหนือกว่านุ่น และแต้วด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นงานนี้จึงเป็นแมตช์แห่งศักดิ์ศรีของตัวแม่อย่างอั้ม ที่จะแพ้ไม่ได้
อีกเรื่องที่น่าจับตามองก็คือ “น้ำเซาะทราย” ซึ่งจะเป็นการกลับมาอีกครั้งของ “กบ-สุวนันท์” ในบท “วรรณนรี” ที่คืนจอมาประกบกับพระเอกคู่จิ้นในตำนานอย่าง “หนุ่ม-ศรราม” แต่แอบขัดใจในบทของ “พุดกรอง” ที่ดึง “เจี๊ยบ-โสภิตนภา” มาเล่น ทั้งที่ในช่อง 7 เอง มีระดับนางเอกหลายคน ที่เหมาะกับบทนี้มากกว่า โดยเฉพาะ “ป๊อก-ปิยะธิดา” ที่เคยออกตัวว่าอยากเล่นบทนี้ เพื่อฉีกตัวเองจากบท “ดร. วิกันดา” ใน “เมียหลวง”
ช่องที่กำลังตกที่นั่งลำบากที่สุด เห็นจะได้แก่ ช่อง 8 ในเครืออาร์เอส ที่ดูเหมือนตอนนี้จะวิกฤตหนัก โดยเฉพาะสภาวะการขาดแคลนดาราระดับแม่เหล็ก หลังจากที่นักแสดงหลายคนหมดสัญญา และไม่มีใครยอมเซ็นต่อ ดาราในสังกัดที่หมุนเวียนเล่นอยู่ในช่อง จึงซ้ำหน้าอยู่เพียงไม่กี่คน อย่างฟิล์ม-รัฐภูมิ , เอี๊ยง-สิทธา , มด-ณปภัช , ขนมจีน-กุลมาศ , ใบเตย อาร์สยาม ซึ่งความซ้ำซากของดารานี่เอง อาจจะเป็นหลักใหญ่ใจความที่ทำให้ ณ ปัจจุบัน ละครของช่อง 8 ไม่รุ่งโรจน์เกรียงไกรเหมือนเมื่อตอนเปิดช่องแรกๆ แม้กระทั่งละคร “แม่นาก” ที่สร้างทุกครั้ง ดังทุกคน แต่เวอร์ชั่นช่อง 8 กลับดับสนิท การพยายามดันเด็กในค่ายให้มีผลงานไม่ใช่เรื่องผิด เพราะที่ไหนๆ ก็ทำกัน แต่นั่นหมายถึงว่า ต้องมีเด็กในสังกัดที่มากพอ ไม่ใช่มีที่ใช้งานได้อยู่เพียง 3-4 คน แล้วก็หมุนมาใช้จนซ้ำ
ต่างจากกรณีของช่อง Gmm 25 ของ “เจ๊ฉอด-สายทิพย์” ที่รู้ดีว่าไม่มีเด็กในคาถามากมายเหมือนช่องอื่น จึงใช้วิธีจ้างนักแสดงอิสระ หรือที่ชอบเรียกกันว่านักแสดงฟรีแลนซ์ ซึ่งก็ต้องนับว่าเป็นกลยุทธ์ที่สวนทางกับช่อง 8 แต่ก็มีประสิทธิภาพมากกว่าเพราะทำให้มีดาราหมุนเวียนมาให้ใช้บริการได้มากมาย ไม่ซ้ำหน้า และยังอาจจะได้ผลประโยชน์ทางอ้อมในการทำให้คู่แข่งอย่างช่อง 8 ต้องกระอัก เพราะนักแสดงฟรีแลนซ์ที่เลือกมาใช้งาน ส่วนหนึ่งเป็นนักแสดงที่ไม่เซ็นสัญญาต่อกับอาร์เอส นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็น กิ๊บซี่,แนนนี่ จาก “เกิร์ลลี่ เบอร์รี่” หรือโฟร์-ศกลรัตน์ (โฟร์-มด) จะมีก็แต่แก้ว-จริญญา (เฟย์ ฟาง แก้ว) ที่เพิ่งโบกมือลากจาก อาร์เอส มาเป็นคนล่าสุด ที่เลือกจะประเดิมบทบาทของนักแสดงอิสระที่ช่อง One
พูดถึงช่อง One หลังจากที่ยิ้มหน้าบานจากเรตติ้งของ “พิษสวาท” ก็หันมาบุกเบิกช่วงเวลาใหม่ทุกวันจันทร์-พฤหัส ในช่วง “ คอมเมดี้ที่ 2 ทุ่ม” เริ่มจากวันจันทร์ เป็นรายการ “4 โพดำการละคร” , วันอังคาร เป็นซิตคอมในตำนานที่คืนจอกลับมาอีกครั้ง อย่าง “บางรักซอย 9/1” , วันพุธ เป็นซิตคอม “รักแท้แม่ไม่ปลื้ม” ซึ่งเป็นซิตคอมเรื่องแรกของนางเอกดาวค้างฟ้า “สินจัย เปล่งพานิช” ส่วนวันพฤหัส เป็น “สูตรรักชุลมุน” ที่ได้ “บี้-สุกฤษฎิ์” ประชันกับ “ติช่า เดอะ เฟซ”
ช่องที่ดูเหมือนจะไปได้สวย แต่เอาเข้าจริงๆ ต้องบอกว่าอย่างดีก็แค่พอประคับประคองมากกว่า นั่นก็คือช่องเวิร์คพอยท์ เพราะเท่าที่ประเมินสถานการณ์ก็คือ มีรายการหลักๆ ที่เป็นหน้าเป็นตาของสถานีอยู่ไม่กี่รายการ แต่จะต้องอุ้มรายการเล็กๆ อีกทั้งช่อง ซึ่งบอกเลยว่าในระยะยาวไม่เวิร์คแน่นอน แถมอาจจะมีปัญหาเดียวกับช่อง 8 ก็คือนักแสดงประจำซ้ำซาก เพราะมีแต่แก๊ง หม่ำ,เท่ง,โหน่ง,ตุ๊กกี้,ส้มเช้ง
ตอนนี้ปัญหาเรื่องกล่องรับสัญญาณของทีวีดิจิตอลไม่ครอบคลุม จะยกเอามาอ้างว่าเป็นเหตุให้ไม่มีคนดูอีกไม่ได้แล้ว เพราะทุกบ้านทุกช่อง สามารถรับสัญญาณกันได้หมดแล้ว อาจจะยกเว้นถิ่นที่ทุรกันดารจริงๆ เพราะฉะนั้นช่องไหนจะอยู่ ช่องไหนจะไป ต้องวัดกันด้วยคอนเทนต์ และฝีมือล้วนๆ
ที่มา นิตยสาร ผู้จัดการ 360 องศา สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 360 8-14 ตุลาคม 2559