“แบงค์ แคลช” เปิดใจปิดฉากรัก 13 ปี ปัดรักจืด มีบางอย่างที่แก้ไม่ได้ ขอแยก “นินิว” มาตั้งสติ ดีกว่าเลิกเพราะไม่รักกันแล้ว รู้ตัวไม่ใช่ผู้ชายที่ดี แต่ถ้าไม่เศร้าคงไม่ใช่มนุษย์ โอกาสรีเทิร์นยังมี บอกแต่งเพลง “ตายก็ยอม” จากประสบการณ์รักที่สูญเสียภายใน 15 นาที ไม่กล้าส่งข้อความง้อ กลัวทำให้อีกฝ่ายไม่เข้มแข็ง
เป็นคู่รักมาราธอนคู่หนึ่งของวงการบันเทิง สำหรับ “แบงค์ ปรีติ บารมีอนันต์” กับหวานใจนอกวงการ “นินิว กฤติยา” เพราะคบหาดูใจกันมานานถึง 13 ปี แม้รักไม่หวือหวาแต่เป็นคู่ที่น่ารักคู่หนึ่ง แต่ล่าสุดฝ่ายชายออกมาประกาศปิดฉากรักไปแล้ว โดยให้เหตุผลว่าให้เกียรติกันน้อยลง เห็นข้อผิดพลาดกันมากขึ้น โดยล่าสุด แบงค์ได้เผยความรู้สึกอีกครั้งระหว่างมาซ้อมละครเวทีเรื่องยิ่งใหญ่แห่งปี “ลอดลายมังกร เดอะมิวสิคัล” ณ จีเอ็มเอ็มแกรมมี่ ยอมรับผิดว่าเป็นเพราะตนที่ทำแต่งาน ยืนยันไม่มีมือที่สาม และเห็นข้อความที่อีกฝ่ายโพสต์ลงอินสตาแกรมแล้ว
“ผมว่าบางทีความรักมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ข้อผิดพลาดมันมีทุกคนแหละ ผมเองก็ผิด ซึ่งบางคู่ก็ผิดทั้งคู่ แต่ผมว่าผมมีความผิดพลาดเยอะกว่าเขา ผมรู้สึกว่าเมื่องานเยอะขนาดนี้แล้วเขาเองก็มีงานเยอะด้วย แล้วปัญหามันก็มีแน่นอนลิ้นกับฟัน แล้วมันก็ยุบ ๆ ยิบ ๆ มันเหมือนโรคที่รักษาไม่หาย เพราะฉะนั้นเราถอยกันคนละก้าว เราอาจจะหาหมอผิดก็ได้ หมอที่ดีที่สุดในชีวิตคือตัวเราเองหรือไม่ก็ครอบครัว เราก็เลยลองดูสิว่าเราถอยกันคนละก้าวแล้วมันจะทำให้เรารู้ตัวเองมากขึ้นรึเปล่า เพราะบางทีแรงดันบางอย่างที่อยู่ใกล้กันมันอาจจะดีน้อยกว่าแรงผ่อนของการอยู่ไกลกันแล้วสังเกตตัวเอง”
“ไม่มีมือที่สาม ชีวิตผมตอนนี้ ผมไม่ได้เจอพ่อมาเป็นเดือนมากแล้ว คือไม่มีเวลาไปเจอใคร เรื่องมือที่สามไม่มี ชีวิตตอนนี้มีแต่ละครเวทีมาเกือบครึ่งปีแล้วมั้ง”
รับอ่านไอจีอีกฝ่ายแล้ว แยกกันทั้งที่ยังรัก ดีกว่าเลิกกันเพราะไม่รักกันแล้ว โอกาสรีเทิร์นยังมี
“อ่านครับ อ่าน ๆ ก็คิดเหมือนเขาหมดเลย คือถ้าผมโพสต์ผมก็คงโพสต์คล้าย ๆ เขาแหละ แต่ช่วงนี้ละครเวทีมันหนัก เครียดมาก ไม่เคยเครียดแบบนี้มาก่อน”
“ก่อนจบความสัมพันธ์ เราก็คุยกันว่าเราโตกันแล้วนะ เรื่องนี้มันก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ที่ผ่านมาให้สัมภาษณ์เราก็ไม่อยากพูดให้หมด เพราะเราก็ไม่ใช่เด็ก ไม่ใช่บอกว่าเลิกสักพักดีกันแล้ว มันต้องให้มันแน่ชัดก่อนแต่ทุกอย่างเราคุยกันแล้ว เรายังคุยได้ครับ คุยได้ คือ เราแยกกันมาตั้งสติดีกว่าที่เราเลิกกันแล้วเราไม่รักกันเลย เรายังมีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน ซึ่งผมไม่รอให้ถึงวันหนึ่งที่เราเลิกกันเพราะเราไม่รักกันแล้วจริง ๆ”
“โอกาสกลับไปก็เป็นไปได้หมด คือ ความรักไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องดึงเขาไว้ให้อยู่ใกล้ตัวเราตลอดเวลา บางทีเราก็ต้องคิดแบบตกผลึกว่าเรารักใครคนหนึ่ง ผมเคยให้สัมภาษณ์ว่าผมรักใครคนหนึ่งได้ถึงขนาดที่เวลาเขามีคนใหม่ได้แล้วผมไม่เจ็บเลย ถ้าคนใหม่เขาดีกว่าผม ดีกว่าจริง ๆ ก็โอเค ไม่เคยหวงว่าไม่ได้ ฉันดีที่สุด เพราะเราก็รู้ตัวว่าเราไม่ได้ดีที่สุดหรอก”
ยัน 13 ปีที่คบกัน สุขมากกว่าทุกข์
“ก็ยังมีติดต่อกัน ส่งข้อความบ้าง เพราะว่าเขาอยู่เกาหลี ทำธุรกิจเกี่ยวกับความงาม (เสียดายความรัก 13 ปีมั้ย?) ผมก็ตอบเหมือนนิวตอบ ผมก็ไม่ค่อยเสียดายมากหรอก เพราะมันมีความสุขมากกว่าความทุกข์ มันยังดีซะกว่าที่ 13 ปีนั้นเราไปคบใครไม่รู้ แล้วก็อกหัก 2 - 3 รอบ นี่มันเป็นความสัมพันธ์ที่ดี เพราะฉะนั้นก็เป็นความทรงจำที่ดีที่เราอยู่ด้วยกันและคบกันอย่างมีความสุขมากกว่าความทุกข์ ก็ดีออก ดีกว่าเราไปอกหักกับคนอื่นหลายๆ รอบภายใน 13 ปี”
ปัดปัญหาเกิดเพราะไม่อยากแต่งงาน ชี้แต่งไปแล้วมีปัญหา เลวร้ายกว่าทั้งคู่
“ไม่ใช่ไม่อยากแต่งงาน มันมีแต่งาน ผมคิดเสมอว่าแต่งงานไปแล้ว แล้วไปมีปัญหาตอนที่แต่งงานไปแล้ว สิ่งนั่นมันเลวร้ายกว่าทั้งสองฝ่ายไม่ว่าหญิงหรือชาย งานเข้ามาเยอะด้วยครับ ต่างคนต่างมีความทะเยอทะยานในการใช้ชีวิตในรูปแบบของงาน ฉะนั้นเราวิ่ง ๆ แล้วเราล้มมันก็มีแผล เราไม่ได้ดูแลแผลซึ่งกันและกันเท่าที่ควร นิวเขาคงชินกับการที่ผมมีงานด้วย ผมไม่เคยคิดจะลดงานนะ เพราะว่าถ้าเกิดเราลดงาน สมมติถ้าเราแต่งงานไปเราว่ามันก็ยังไม่มั่นคงอย่างที่ผมรู้สึก”
โต้รักจืด รู้มีบางอย่างที่แก้ไม่ได้ ไม่อยากบั่นทอนให้รักกันน้อยลง
“มันไม่ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นอะไร เพียงแต่ว่าความรักมันตกผลึกในมุมที่ว่า เฮ้ย...เราจะทะเลาะกันจุกจิกแบบนี้ต่อไปทั้ง ๆ ที่เรารู้ว่าบางอย่างมันแก้ไม่ได้ไปเรื่อย ๆ หรือ และมันจะยิ่งบั่นทอนให้เรารักกันน้อยลงหรือเปล่า ฉะนั้นผมคิดว่าเราต่างฝ่ายต่างค่อยๆ เขยิบออกมาดีกว่ามั้ย เพราะหลายเดือนที่ผ่านมา ผมก็ยอมรับตรง ๆ นะว่า ผมเพิ่งรู้ว่าผมก็มีมุมบางอย่างที่ยังไม่เคยเจอเหมือนกัน”
“ที่ผ่านมา เราปรับความเข้าใจกัน คือ เราพยายามรักษามัน แต่พอถึงเวลาหนึ่งเราเริ่มคิดในมุมที่ว่า หรือว่าเราต้องรักษาตัวเองเพื่อที่วันหนึ่งเราอาจจะเป็นคนดีขึ้นระหว่างกันและกัน โอเคบางคนอาจจะมองเราดี บางคนอาจจะมองเราไม่ดี แต่ระหว่างกันเราอาจจะไม่ได้มองเหมือนคนอื่น บางมุมเรามองแตกต่าง ฉะนั้น เราก็ควรจะไปรักษาตัวเองให้ดีต่อกันและกัน”
รับปรับตัวในระหว่างห่างกัน มองดู “นินิว” ห่าง ๆ ไม่อยากกลับมาทะเลาะกันอีก
“ก็ปรับครับ แต่ว่าเราก็คงต้องมองดูห่าง ๆ เพราะว่าถ้าคุยกันอีกเดี๋ยวเราก็ทะเลาะกันอีก ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะถอยหลังออกมานิดหนึ่งทำไม 4 เดือนมันก็ตั้งสติได้เมื่อเราไม่มีแรงกดดันในแบบที่เคยมี และพอเราไม่มีปุ๊บเราก็เริ่มมีสติ คือเราไม่มีความโมโห ไม่มีความขุ่นหมองใจ รวมถึงเรายังมองเห็นด้วยนะว่าบางอย่างที่เราเคยทำผ่านมามันก็ผิดเหมือนกัน ซึ่งไม่ใช่แค่กับชีวิตคู่นะ แต่กับคนอื่น ๆ ก็ด้วย”
ยังไม่ได้คุยกับครอบครัว รับพังทั้งคู่ ไม่ได้แข็งแรง ยันเศร้าเลิกแฟน ใครไม่เศร้าไม่ใช่มนุษย์ บอกมีมุมโง่ ชีวิตมืดบอด
“ถามว่าครอบครัวว่ายังไง คือตอนนี้เรายังไม่ได้คุยอะไรเลย และถ้าให้พูดตรงๆ ผมกับนิวเราก็พังทั้งคู่ ณ ตอนนี้ ไม่ได้แข็งแรงอย่างที่แว่นดำมันบอก มันไม่ใช่ ตอนนี้ทำงานครับไม่ได้ไปไหน ซ้อมงานบางครั้งก็บ่ายสองถึงเที่ยงคืนทุกวัน มีช่วงที่รู้สึกเศร้า คนที่เลิกกับแฟนแล้วไม่เศร้าไม่ใช่มนุษย์นะ มันต้องมีอยู่แล้ว มันต้องมี เราก็เป็นห่วงเขาครับ เป็นห่วงว่าเขาเป็นยังไงบ้าง”
“เพื่อน ๆ เขารู้ ถ้าเพื่อนจริง ๆ เขาจะรู้ว่าระหว่างเราเป็นอะไร เพราะว่าที่ผ่านมาเราก็เป็นที่ปรึกษาให้กับคนอื่นไง แต่พอถึงเวลาที่เราเจอเรื่องตัวเองจริง ๆ มันก็มีมุมโง่เหมือนกันนะ อารมณ์แบบทำไมเราให้คำปรึกษาคนอื่นเก่งจังเลย แต่พอเจอกับตัวเองจริง ๆ ถึงได้มืดบอดขนาดนี้”
ยังงงชีวิต สับสนต้องกินข้าว-เดินหน้า-ดูหนังคนเดียว
“ดูในไอจีแล้วรู้สึกเปลี่ยนมั้ยล่ะ เปลี่ยนสิ มันก็ต้องเปลี่ยน คือ 3 - 4 เดือนมานี้ จะเห็นแหละว่าผมเดินห้างคนเดียวบ่อยๆ กินข้าวคนเดียว ดูหนังคนเดียว งงเหมือนกันครับ เพราะผมคบกับแฟนคนแรกที่เลิกกันก็ 6 ปี พอเลิกกันปุ๊บก็มาเจอกับนินิว และผมก็คบกับนินิวอีก 13 ปี เกือบจะ 14 ปี รวม ๆ แล้วมันก็ 20 ปีเลยนะ ฉะนั้นผมไม่เคยอยู่คนเดียวมา 20 ปีแล้ว ข้างในมันก็เลยงงว่าสรุปแล้วการอยู่คนเดียวมันคืออะไร สับสนครับ ยังไม่ชิน เราก็ทำงานละครเวทีนี่แหละครับ โทร.หาเพื่อนผู้ชายจะชวนไปดูหนังก็ไม่มีใครไป (หัวเราะ)”
แต่งเพลง “ตายก็ยอม” จากประสบการณ์รักที่สูญเสีย
“มีครับ เพลงตายก็ยอม ผมเขียนเพลงนี้ 15 นาที ในตอนที่รู้สึกว่าเราสูญเสียอะไรบางอย่างไปแล้วนะ ผมเขียนมาจากชีวิตจริง เขียนเองจากความมืดบอด”
“ตอนร้องในห้องอัด ร้องไม่ได้สิครับ ร้องไม่ได้เลย เพราะข้อความต่าง ๆ มันอยู่กับเราหมด เราเป็นคนเขียนทั้งหมด แต่สุดท้ายพออินเนอร์มันมาเราตั้งสติได้ ก็ค่อย ๆ กลับมาร้องใหม่ ถามว่าเขารู้มั้ย ถ้าผมไม่ให้สัมภาษณ์เขาก็คงไม่รู้”
“(อยากบอกอะไรเขามั้ย?) บอกไปแล้วครับ ล่าสุด ส่งอีเมลไปบอก เพราะค่า โทร.ต่างประเทศมันแพง จะส่งข้อความไปทางแชตมันก็ดูจะไม่เป็นข้อความ มันดูเป็นการส่งผ่านมากกว่า ก็เลยตัดสินใจว่าควรใช้อีเมล์ส่งไป เป็นการเคลียร์กันว่าก็ดี ๆ เพราะผมเชื่อเราแข็งแรงทั้งคู่ ถึงแม้ภายในจะไม่แข็งแรง แต่ข้างนอกก็ต้องสู้ต่อไป เราต้องดูแลตัวเองให้ได้ และดูแลคนรอบข้างครอบครัวเราให้ได้ ถามว่ามีประโยคง้อมั้ย ก็...ก็...ผมใช้ประโยคแบบนั้นไม่ได้หรอก เพราะถ้าใช้ประโยคแบบนั้นเขาจะไม่แข็งแรง”