“ปูเป้ อรหทัย” น้ำตาแตก ไม่เคยได้ดูแลแม่ที่แท้จริง สงสารต้องเป็นแม่บ้านทำงานจนหลังค่อม ในขณะที่ตัวเองใช้ชีวิตสุขสบาย ไม่แคร์มีแม่เป็นแม่บ้าน ต่อไปนี้จะส่งเสียเลี้ยงดู ขอบคุณที่ให้หน้าตามาทำมาหากิน ส่วนพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมาก็ดูแลเหมือนเดิม ทุกอย่างต้องใช้เวลา
สงสัยมาตลอดว่าตัวเองใช่ลูกของพ่อกับแม่หรือไม่ เพราะหน้าตาไม่เหมือนกันจนโดนเพื่อน ๆ ล้อ เก็บความสงสัยในใจตัวเองเรื่อยมา จนไม่นาน “ปูเป้ อรหทัย ซื่อศรีสวัสดิ์” ก็ตัดสินใจถามพ่อกับแม่ งานนี้ก็เลยเกิดดรามาพ่อช็อกร้องไห้ไม่กล้าบอกความจริง จนในที่สุดแม่ต้องบอก และทำให้ปูเป้ได้มีโอกาสได้ไปเจอแม่ผู้ให้กำเนิด ซึ่งเจ้าตัวก็เปิดใจในรายการปากโป้ง ช่อง 8 ว่า เห็นสภาพแม่แล้วน้ำตาแตก เพราะแม่ทำงานเป็นแม่บ้านหลังค่อม เพราะทำงานหนักมาทั้งชีวิต ในขณะที่ตัวเองใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไม่เคยรู้เลยว่าแม่ลำบาก
“คุณพ่อที่ป่วย เป็นคุณพ่อที่ดูแลเรามาตั้งแต่เด็ก ๆ คือ เราคิดเสมอว่าเค้าเป็นพ่อแม่แท้ ๆ ก็คิดดูแลเค้าเหมือนกับพ่อแม่แท้ ๆ ค่ะ ทุกวันนี้ก็ยังดูแลอยู่ ก็ยังอยู่ด้วยกัน คือเรื่องนี้มันค่อนข้างเซ้นซิทีฟ จริง ๆ ต้องบอกก่อนว่ามันเป็นเรื่องที่เป้ไม่อยากจะออกมาพูดเลย เพราะว่ามันเป็นเรื่องของครอบครัว และเราก็ต้องดูแลความรู้สึกของทุกคน แต่ด้วยความที่เราสนิทกัน เรามาที่ปากโป้งบ่อย และพี่หนุ่มก็เป็นคนบอกเองว่าเรื่องนี้ก็สอนคนด้วย ก็เลยออกมาพูด”
“ก็คืออย่างที่พี่หนุ่มถาม คุณพ่อคุณแม่ก็คือเป็นคุณพ่อคุณแม่ที่เลี้ยงเรามาตั้งแต่ เราจำความได้ ลืมตาขึ้นมาก็เป็นคุณพ่อคุณแม่นี้ ชื่อคุณพ่อวิชัย และ คุณแม่อรจิต เขาก็เลี้ยงมาตั้งแต่เป้เกิดนั่นแหล่ะ แต่เราก็มีความรู้สึกตั้งแต่เราจำความได้เลยว่า เราหน้าจะออกฝรั่ง เด็กฝรั่งเวลาที่อยู่ต่างจังหวัดมันจะเป็นอะไรที่แบบโดดเด่น แต่ในความโดดเด่นมันจะมีความแซว ความล้อ อย่างเช่น ลูกฝรั่ง เราก็หันมามองหน้าพ่อแม่เราก็เป็นคนไทย ก็โดนล้อตั้งแต่จำความได้เลยค่ะ เราก็ติดใจมาตลอด เพราะมีคนล้อตลอด เก็บมาเลี้ยง”
“เชื่อไหม ไม่เคยถามเลยสักคำเดียว เพราะไม่กล้าถาม 1. กลัวเขาเสียใจ 2. มีความรู้สึกว่าพอมองย้อนกลับไปก็กลัวตัวเองเสียใจ นึกออกไหม กลัวว่าพอถามแล้วไม่ใช่เราจะรับไม่ได้ ก็เลยไม่ถาม เหมือนเป็นเด็กขี้กลัว และก็รักพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเรามามาก ๆ”
“คือตอนแรกไม่ได้คิดอะไร แต่เผอิญจะมีกลุ่มเพื่อน กลุ่มเพื่อนก็พูดกัน ว่าแม่ชั้นเล่าให้ฟังว่าแม่เธอเป็นฝรั่งมาเรียนหนังสือและก็ท้องเธอไว้กับพ่อเธอแล้วก็หนีกลับประเทศไป ก็เป็นเรื่องเมาท์กันไป เราเลยคิดว่าสงสัยแม่เราเป็นฝรั่ง แม่คงทิ้งเราไป ไม่สนใจเราแล้วก็รู้สึกไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องทิ้ง ฉันน่ารักจะตายทำไมต้องทิ้ง”
แม้เวลาจะผ่านไป 38 ปี แต่ก็ยังสงสัยอยู่ตลอดเวลา
“คือ อยากจะรู้ว่าต้นกำเนิดของตัวเองเป็นใครถูกไหม ต้องบอกก่อนเลยว่าอย่างเป้เอง เป้มีโอกาสไปเข้าคอร์สจิตวิทยาคอร์สนึง ของครูอ้อย เข็มทิศชีวิต แล้วก็เหมือนกับว่า กลับไปมองเห็นตัวเอง ตอนตัวเองเป็นเด็กเล็กมาก ๆ เหมือนปรากฏว่า สิ่งที่เห็นก็คือเป็นรูปแม่อุ้มเราอยู่ แต่ปรากฏว่าแม่คนนั้นไม่ใช่ฝรั่งเขาเป็นคนไทย”
“แต่ก็ไม่คิดจะถามเลย เพราะว่าถ้าถามไปเขาต้องเสียใจแน่ ๆ ว่า เขาเลี้ยงเราไม่ดีเหรอ แต่ก็คุย ๆ เล่นกันเหมือนปกติทุกวัน แล้วก็ถามเลย แต่ว่าก่อนที่จะถามตัดสินใจอยู่ 2 - 3 วัน รอจังหวะอยู่สองสามวัน พ่อหนูถามจริง ๆ แม่หนูเป็นใคร เท่านั้นล่ะ พ่อช็อกร้องไห้ ฟันปลอมหลุดหมดเลย ไม่คิดว่าลูกจะถาม แล้วแม่ก็นั่งอยู่ด้วย ทั้งสองท่านก็อึ้งแล้วมองหน้ากัน แล้วพ่อก็บอกว่านี่ไงแม่ เราก็บอกว่าไม่ใช่ แม่ที่คลอดหนูมาคือใคร แล้วเขาก็ไปปรึกษากันก่อน ทีนี้เขาก็ยังไม่บอก”
“หลังจากที่เขาไปปรึกษากัน เขาก็มาบอกว่าแม่เป็นใครไม่สำคัญหรอก เพราะว่าเขาทั้งสองคนรักเป้มาก (เสียงสั่นเครือ) เป้ก็บอกว่าแต่เป้ก็อยากรู้เนอะ เป้ก็อยากทดแทนพระคุณเขา เพราะตอนนี้เป้อยู่ในจุดที่เป้สามารถดูแลเขาได้แล้ว ในชีวิตเป้ก็อยากทดแทนพระคุณคนที่ให้กำเนิด เขาก็ไปปรึกษากัน หลังจากนั้น แม่อรจิต ก็ไลน์มาบอก ถ้าหนูอยากรู้จริง ๆ ว่าอะไรคืออะไร ตอนนี้พ่อยังทำใจไม่ได้ ก็ไลน์มาบอกว่า ให้ไปหาญาติอีกคนหนึ่ง แล้วเขาจะพาไปหาแม่”
“ณ วินาทีนั้น คือ ตื่นเต้น ไม่ตกใจ ตอนนั้นก็คิดประมวลผลอยู่ค่ะ แต่ระหว่างคิดก็บอกแม่อรจิตบอกเขาตลอด บอกว่าแม่เลี้ยงหนูมาได้ดีมาก แม่ตัดสินใจถูกแล้วที่แม่บอกหนู และหนูก็ยังรักพ่อกับแม่เหมือนเดิม คือ ให้กำลังใจเขาตลอด จากนั้นก็ โทร.ไปหาญาติคนนั้นเขาอยู่สุพรรณบุรี ทุกคนรู้หมด ยกเว้นเป้คนเดียวที่ไม่รู้ จากนั้นพอเป้ไปรับป้าหมวย ป้าหมวยก็ให้เป้ขับรถกลับมาที่กรุงเทพฯ ระหว่างทางขับมา เขาก็เล่าให้เป้ฟังหมดว่า แม่มีเราตั้งแต่เด็ก และก็เอาเราไปฝากไว้กับป้าคนหนึ่งที่มีฐานะหน่อย และป้าคนนี้เห็นว่าพ่อวิชัย กับ แม่อรจิต ไม่มีลูก ก็เลยยกเป้ไปฝากไว้ และพอไปฝากไว้เขาก็รักมาก ตั้งแต่ยังไม่ถึงขวบ”
“พ่อวิชัยเขาเปรียบเสมือนเป็นคุณตาของเป้ ระหว่างทางสุพรรณบุรีมาถึงกรุงเทพฯ เป้คลี่คลายเหตุการณ์ทั้งหมดในชีวิตเลยว่าเป็นอย่างไร”
“ก็เจอแม่ค่ะเป็นคนไทยธรรมดา ที่ช็อกคือแม่เป็นพนักงานทำความสะอาดอยู่ที่โรงแรม มันคือ โรงแรมรายวัน เป็นคนทำความสะอาด ปูที่นอน เปลี่ยนหมอน ทำมา 20 ปีแล้ว ตอนนั้นน้ำตาไหลออกมาเลย การเป็นอยู่ก็จะเป็นบ้านไม้เก่า ๆ ในซอย พอเจอครั้งแรกก็กอดเขาและก็ร้องไห้ และก็บอกเขาว่าหนูไม่รู้จริง ๆ ว่า แม่อยู่ตรงนี้ หนูพึ่งรู้แค่สองสามวัน หนูก็มาหาแม่เลย แม่หลังค่อมหมดเลย เป้ก็ถามว่าทำไมแม่หลังค่อมจัง แม่บอกไม่ค่อมได้ไง แม่ปูเตียงมาตั้งยี่สิบปี ในขณะที่เราสบายทุกอย่าง ส่วนคุณพ่อวิชัย กับ คุณแม่อรจิต ก็คือ ทุกอย่างมันก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป เป้ก็ทำในสิ่งที่เป้ทำได้ คือ เราต้องดูแลเขาอยู่แล้ว ดูแลให้ดีกว่าเดิม ให้เวลามากว่าเดิม ทำดีมากกว่าเดิม”
ต้องให้เวลากับแม่ผู้ให้กำเนิด และ พ่อแม่ที่เลี้ยงดูมา
“ทั้งสามคนยังไม่ได้เจอกันเลยค่ะ คือ ต้องค่อยเป็นค่อยไป ทุกอย่างต้องใช้เวลา ทุกวันนี้สิ่งที่เป้ทำก็คือ เป้บอกให้แม่ออกจากงาน แต่แม่ก็บอกว่าคนเราจะมีค่าก็ตอนที่มีงานทำ ถ้าอย่างนั้นแม่สบายใจแม่ทำงานไปก่อน เป้ให้เงินเดือนแม่นะ อยากได้อะไรก็ซื้อ”
ไม่แคร์มาเปิดเผยว่าแม่ที่แท้จริงเป็นแม่บ้าน
“คือ เป้มองว่ามันไม่เกี่ยวกัน ไม่ว่าแม่เราจะทำอาชีพอะไร เขาทำอาชีพอะไรก็เป็นอาชีพสุจริต และอีกอย่างเขาก็เป็นแม่ให้เลือดเนื้อให้ร่างกายให้กำเนิดเรามา ถึงเราจะสูงส่งเราก็ต้องดูแลเขา เพราะเราเกิดมาจากเขา เขาให้หน้าตา ให้เรามาทำมาหากิน เราต้องตอบแทนบุณคุณกับเขา”