“ซาร่า” ไม่แคร์ “ไมค์ พิรัชต์” ยังไม่เซ็นรับรองบุตร บอกแค่กระดาษแผ่นเดียว ขอแค่ให้ทำหน้าที่พ่อ พูดอะไรไว้ก็ขอให้ทำให้ได้อย่างที่พูด ถ้าทำไม่ได้อย่าพูด หวั่นลูกเป็นปม
ซิงเกิลมัมคนสวย “ซาร่า คาซิงกินี” เพิ่งหอบลูกลงใต้ไปอยู่กับครอบครัวที่ภูเก็ต ล่าสุด เจ้าตัวเผยว่าเปลี่ยนใจอยากให้ลูกมาเรียนกรุงเทพฯ เพื่ออนาคตที่ดี ในขณะที่ตนต้องวิ่งรอกทำงาน ก่อนย้ำไม่เคยปิดกั้น “ไมค์ พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล” เจอลูก
“ก็สบายดีค่ะเหมือนเราได้อยู่กับครอบครัวด้วย ส่วนน้องก็โอเคทุกที่ ที่มีซาร่าอยู่ ส่วนเรื่องโรงเรียนอยากให้น้องเรียนที่กรุงเทพฯ มากกว่า ก็ยังเลือกไม่ได้ว่าจะให้เรียนโรงเรียนไหนเหมือนทางเลือกเยอะอะไรแบบนี้ค่ะ ใจก็อยากให้มาเรียนที่กรุงเทพฯ ด้วยงานด้วยอะไรเราก็อยู่ที่กรุงเทพฯ เป็นหลัก”
“เราก็มีงานในวงการด้วยและทำธุรกิจส่วนตัวด้วยช่วงนี้ก็ค่อนข้างยุ่ง ที่น้องไปอยู่ภูเก็ตเพราะด้วยสภาพแวดล้อมมีคุณพ่อคุณแม่ คือ มันถึงจุดหนึ่งที่เราเหนื่อยหันไปหาใครเรารู้สึกไม่มีคนช่วยเราในการดูแลน้อง พอไปอยู่ภูเก็ตทำให้เราได้มีเวลาส่วนตัวหรือมีเวลาที่จะทำงานของเรา เลยตัดสินใจไปอยู่ภูเก็ต ก็ยังมีคุณแม่ค่อยช่วยดูแลน้องได้ถ้าเรามาทำงานกรุงเทพแม็กซ์เวลล์ก็มาด้วย น้องยังกินนมแม่อยู่ แม่อยู่ที่ไหนน้องก็จะอยู่ด้วย ตอนนี้ก็ไป ๆ มา ๆ เพราะความจริงภูเก็ตกับกรุงเทพมันบินชั่วโมงเดียว”
ไม่เคยปิดกั้น “ไมค์ พิรัชต์” เจอลูก
“ไมค์เขาอยู่ไต้หวัน เขาไปทำงาน 2 เดือนได้แล้ว ก็มีติดต่อมาบ้างคุยไลน์เรื่องลูก ส่วนมากเขาจะขอเรื่องรูปวิดีโอของลูกอะไรแบบนี้ค่ะ เรื่องเจอลูก จริง ๆ ซาร่าไม่เคยปิดกั้นเรื่องพ่อกับลูกอยู่แล้ว เพราะยังไงนั่นก็พ่อเขานี่ก็ลูกเขา เราไม่ได้มีกฎเกณฑ์จะเจอไม่ได้ ถ้าเขาสะดวกเราว่างตรงกันก็เจอน้อง ก็มาเจอได้ค่ะ ยังไงก็ได้”
“เรื่องแบ่งกันเลี้ยงลูก ถ้าเขาขอไปตอนกลางวันเราก็ให้ได้ แต่ถ้าขอไปตอนกลางคืนน้องก็ค่อนข้างจะติดแม่ ตอนกลางคืน ถ้าสมมติตัวเราไม่ได้นอนกับน้องเขาก็จะไม่ยอมกลับอะไรแบบนี้ค่ะ”
ไม่ซีเรียสเรื่องเซ็นรับรองบุตรแล้ว บอกหน้าที่พ่อมีให้ทำหลายอย่างดีกว่าใบกระดาษแผ่นเดียว
“เราไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้นานมากแล้วเหมือนตัวเขาเองกับเราก็ลืมไปแล้วอะไรแบบนี้ค่ะ คือ จริง ๆ เบื้องต้นเราก็มีการพูดคุยกันว่าจะมีการเซ็นรับรองบุตร มันผ่านระยะเวลาอีก 2 เดือนแม็กซ์เวลล์ก็จะผ่าน 2 ปีแล้วเราก็รู้สึกว่าไม่เป็นไร มันไม่ใช่เรื่องสำคัญเพราะว่าหน้าที่พ่อมันมีอะไรตั้งหลายอย่าง มันแค่กระดาษใบเดียว เขาสามารถให้เวลาให้ความรักลูกดีกว่าเซ็นใบกระดาษใบหนึ่งแล้วไม่ทำอะไร มันก็ไม่มีผลอะไรอยู่แล้ว”
“ตอนนี้ยังไม่มีการเซ็นรับรองบุตร และเราก็ไม่ได้ซีเรียสด้วยเพราะเราคิดว่าถ้าตัวเขามีความประสงค์ว่าอยากทำหน้าที่พ่อมันมีอะไรตั้งเยอะแยะ พาลูกไปเล่น ไปเที่ยว มาหาลูกอ่านหนังสือให้ลูกฟังอะไรแบบนี้ค่ะ ที่หลายคนอยากให้เซ็นเพราะอยากให้ทำแบบถูกกฎหมาย เรามองว่าถูกหรือไม่ถูกไม่มีผลอะไรเกิดขึ้น เพราะถึงจะเซ็นหรือไม่เซ็นมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ก็ไปมาหาสู่กันปกติค่ะ เราไม่จู้จี้จุกจิกเพราะเราตัดสินใจแยกทางแล้ว เราก็ต้องทำหน้าที่ของเรา หน้าที่แม่ดูแลลูก ทำงานทำการหาเลี้ยงดูลูก ในส่วนของเขาก็ก็จะมีหน้าที่ของเขา”
บอกไม่เคยขอแต่อีกฝ่ายเอ่ยปากเอง ลั่นถ้าทำไม่ได้อย่าพูด ขอดูการกระทำ
“คือเจตจำนงตั้งแต่แรกแล้วว่า เราไม่ได้เป็นคนขอ เขาเป็นคนเอ่ยปากมาเอง ก็เหมือนมีช่วงหนึ่งที่มีเรื่องมีราวเราก็รู้สึกว่า คนเราไม่ต้องพูดดีกว่าจะทำอะไรก็ทำ บางที ณ โมเมนต์วันนี้เขาพูดกับเรา เราก็ห่วงอนาคตของน้องแหละ วันนี้พ่อพูดว่า เดี๋ยวพ่อจะอย่างโน้นอย่างนี้ เด็กก็จะตั้งความหวัง แล้วพอวันหนึ่งพ่อเขาทำไม่ได้เขาจะรู้สึกแย่ แล้วก็จะเป็นปมของน้อง เราก็จะบอกเขาถ้ายูทำไม่ได้ยูอย่าพูดดีกว่าเพราะวันนี้ยูพูดกับไอได้แต่ยูอย่าพูดกับลูก”
“มันไม่ได้เรียกว่าโกรธแต่ว่ามันชิน คือกับเราโอเค เราอยู่กับเขามาหลายปีเรารู้ว่าเขาเป็นยังไง แต่กับลูกเราก็รู้สึกว่าคุณเปลี่ยนเพื่อลูกได้ไหมคืออะไรหลายๆ อย่างบางทีการที่เด็กจะโตมามันก็ขึ้นอยู่กับพ่อแม่ เราก็อยากให้เขาระมัดระวังการประพฤติตัวหรือคำพูดคำจา”
“คือ พอยต์มันไม่ได้อยู่ที่เซ็นหรือไม่เซ็นมันอยู่ที่ว่าคุณทำหน้าที่ได้มากน้อยแค่ไหน คือเด็กไม่ได้ต้องการว่ารับรองบุตรคืออะไร เขาไม่รู้อยู่แล้ว เขาต้องการพ่อมาหาเขาไหม มาอยู่กับเขาไหม นี่พ่อเขานะ ไม่ใช่เห็นพ่ออยู่ทางหน้าจอ”
เผยเลิกคุยไมค์เรื่องนี้ ถ้าอีกฝ่ายจะทำให้ลงมือ ย้ำคุยไปหลายรอบแต่ไม่ทำก็ไม่รู้จะคุยทำไม
“รอให้น้องโตดีกว่า แล้วมันเป็นสิทธิ์ของตัวน้องเอง แล้วเราก็เป็นแค่แม่ เราก็ไม่อยากไปบงการชีวิตน้องขนาดนั้น รอให้วันหนึ่งโตสื่อสารรู้เรื่องแล้วพ่อเขาก็ไปคุยกับน้องเองดีกว่า จะให้พ่อเซ็นหรือไม่เซ็นเราก็เคารพการตัดสินใจของลูกเรา”
“คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาคือเราเป็นคนคุยแบบตรง ๆ เราค่อยข้างจะดุ พูดอะไรคำไหนคำนั้น เราจะไม่แบบจู้จี้จุกจิก โวยวาย คือ ทุกอย่างมันอยู่ที่การกระทำไม่ได้อยู่ที่คำพูด คือไม่คุยดีกว่า คือจะลงมือทำก็ทำเลย คุยไปร้อยแปดรอบมันก็เหมือนเดิมไม่รู้จะคุยไปทำไม”