xs
xsm
sm
md
lg

หล่อที่ความคิด "พัน พลุแตก" กับชีวิตตลกที่ไม่ธรรมดา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คุ้นหน้าค่าตากันดีกับ "พัน พลุแตก" หรือ "ภานุพันธ์ ครุฑโต" หนึ่งในลูกหม้อของบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ที่ตอนนี้ก้าวขึ้นสู่ตลกแถวหน้าของเมืองไทย ภายหลังจากเฝ้าดูผลงานการแสดงมาได้พักใหญ่ จนแน่ใจว่าฝีมือทางการแสดงของเขาไม่เป็นสองรองใคร เพราะขนาดกับแก๊งสามช่าพันยังสามารถปะทะได้อย่างสบายๆ ด้วยลูกล่อลูกชน และจังหวะฮาไม่เหมือนใคร แต่กว่าจะมามีวันนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย และด้วยกำลังใจจากครอบครัว รวมถึงคำว่าไม่ยอมแพ้ ทำให้เขาประสบความสำเร็จได้อย่างเต็มภาคภูมิ

วันนี้ "นัดคุย" มีโอกาสพูดคุยกับตลกหน้านิ่ง "พัน พลุแตก" ที่หันมาเอาดีกับการเป็นนักร้อง แถมกระโดดจับไมค์ประเดิมซิงเกิ้ลแรกในชีวิตกับเพลงที่ชื่อสั้นๆว่า "นิ่ง" ซึ่งต้องบอกเลยว่า งานนี้เจ้าตัวยังลงมือเขียนเนื้อร้องว่าด้วยเรื่องการจีบสาวตามแบบฉบับของตัวเองอีกด้วย ส่วนเรื่องดนตรีไม่ได้นิ่งสมชื่อ จะจริงอย่างที่โม้รึเปล่า ลองไปหาฟังกันได้แล้ว

"ตอนนี้ผมก็มีผลงานเพลงแรกในชีวิตนะครับ ชื่อเพลงว่า "นิ่ง" ความรู้สึกกับผลงานเพลงชิ้นแรก ก็เป็นอะไรที่รู้สึกดีใจมากนะครับ เวลาที่เราได้ทำอะไรใหม่ๆ ซึ่งการที่ผมได้ทำอะไรขึ้นมาชิ้นหนึ่ง มันก็ทำให้ผมมีความสุขมาก คุณผู้ชมที่ติดตามชมผลงานของผมก็น่าจะมีความสุขในสิ่งที่ผมทำ ก็ถือว่าเป็นอีกเรื่องที่ประสบความสำเร็จ ก็รู้สึกดีใจมากครับ"

"ที่ไปที่มาของเพลง นิ่ง มาจากที่เราอำกันเล่นๆ ในรายการ "ตุ๊กกี้โชว์" ที่ผมเป็นพิธีกรร่วมกับน้อง "ตุ๊กกี้ สุดารัตน์ หรือ ตุ๊กกี้ ชิงร้อยชิงล้าน" และเวลาที่มีศิลปินมาโปรโมทเพลงในรายการ ผมก็จะอำว่า ของพวกเราก็มีเพลงไม่ใช่หรอ ผมก็เลยเอามาร้องให้พวกเขาฟังหน่อยกัน ก็เหมือนเราร้องเล่นๆ กันในรายการ ก็เลยคิดชื่อว่าเพลง นิ่ง เหมือนเป็นการพูดเพื่อให้ดูตลก ก็เล่นแบบนี้เรื่อยๆ สุดท้ายก็มีการต่อยอด ด้วยการตั้งชื่อเพลง และเริ่มมีแนวคิดอยากแต่งให้มันเป็นเพลง เริ่มคิดอยากจะทำดนตรี เพื่อเอาไว้เล่นในรายการ ซึ่งเพลงนี้เราก็แต่งเอง ด้วยการจำมุขตลกจากพี่ๆ แก๊งสามช่า ทำนองคล้ายๆ ครูพักลักจํามาบ้าง ก็มารวมอยู่ในเพลง"

"แต่งเป็นเพลงเกี่ยวกับจีบสาว แล้วภรรยาที่บ้านไม่ว่าหรอ (ยิ้ม) ไม่ว่านะครับ เขาพอรู้อยู่ครับ ผมว่าเรื่องความรักกับบทเพลง มันน่าจะอยู่กับทุกๆ คน เพราะทุกคนต้องการความรัก เราสื่อสารในมุมของความรักเกี่ยวกับผู้ชายคนนึง ที่เขาเชยๆ ชอบเอาประโยคอะไรที่มันคล้องจอง คำคมในโซเชียลมาพูดให้ผู้หญิงฟัง แล้วผู้หญิงเขานิ่งไปประมาณนั้นก็เอามาใส่อยู่ในเพลง คำที่เราคุ้นเคยเบอร์ว่ารักแถบ แบบว่ารักเธอ อะไรประมาณนี้ครับ"

"และเพลงนิ่งผมแต่งเองทั้งหมดครับ มันเป็นแนวใหม่ อาจารย์ โน๊ต เชิญยิ้ม เคยบอกว่ามันเป็นแนวโจ๊กซอง เราเคยได้ยินโฟล์คซอง แต่โจ๊กซองถ้าทางตลกก็จะเป็นฉีกใส่ถ้วยแล้วเติมน้ำร้อน ซึ่งโจ๊กซองในที่นี้ก็คือเพลงที่เป็นแนวตลก เราอยากสื่อสารในแนวของตลก โดยคาแรคเตอร์ของผม ที่สื่อสารความรู้สึกของตัวเราเองผ่านเพลงลงไป ต้องบอกก่อนว่าเราไม่ได้เป็นนักร้องอาชีพ แต่เราเป็นคนบันเทิงคนหนึ่งที่อยากจะขอพื้นที่เล็กๆ ให้เราได้แสดงความรู้ความสามารถผ่านบทเพลง ที่เหลือคุณผู้ชมก็ตัดสินใจว่าชอบหรือไม่ชอบอะไรแบบนั้นครับ (ยิ้ม)"

เคยคิดฝันมั้ยว่าสักวันหนึ่ง...จะมีผลงานเพลงเป็นอัลบั้ม

"ไม่เลยนะ เพราะหนึ่งผมเองไม่ได้เป็นคนที่มีเสียงเพราะ ด้วยคาแรคเตอร์ และอายุขนาดนี้ เลยหลักสี่มาหน่อยเกือบถึงรังสิต (เล่นมุข หัวเราะ) มันก็ลำบาก ผมไม่ได้เป็นอย่างนักร้องวัยรุ่น ที่มีเอกลักษณ์ เสียง เส้น แนวเพลง ผมไม่ใช่แบบนั้น ซึ่งเราก็อยากเสนอความเป็นตัวเราเอง เอกลักษณ์ในสิ่งที่เราเป็น ความสุข ความสนุกสนาน แบบฉบับตลกผ่านบทเพลง ผมเป็นหนึ่งคนที่อยู่ในวงการบันเทิง อะไรที่ผมมีโอกาสได้ทำ ผมก็ทำดีกว่า ไม่นั้นผมก็ต้องมานั่งคิดที่หลังว่า รู้แบบนี้น่าจะทำตั้งแต่ตอนนั้น เราเลยคิดว่าทำดีกว่า ได้ทำมันก็คือสิ่งที่ประสบความสำเร็จแล้วสำหรับตัวผมนะ (ยิ้ม)"

"ถามว่าก่อนหน้านี้เคยร้องเพลงมาก่อนมั้ย เคยๆ สมัยนักศึกษาเลยครับ (หัวเราะ) ก็ไปร้องเพลงประกวดบ้าง ผมว่าเพลงมันอยู่ในตัวของทุกคนนะ เวลาเราดีใจก็ร้องเพลง เสียใจก็ร้องเพลง มีความสุขก็ร้องเพลง มันอยู่ในชีวิตอยู่แล้ว เราตื่นขึ้นมาก็มาจากเพลงกล่อม แม่กล่อมเราไปโรงเรียน โตขึ้นมาหน่อยคุณครูก็สอนเราร้องเพลง มันต้องมีท่าอะไรแบบนี้ ซึ่งผมว่าชีวิตทุกคนมันอยู่กับเพลงอยู่แล้วนะครับ (ยิ้ม)"

แม้ว่ายอดวิวเพลง "นิ่ง" จะทะลุหลักล้าน แต่ทว่ากระแสเพลงกลับนิ่งเฉยเสมือนชื่อเพลง

"กระแสนิ่งๆ หรอ ผมอยากบอกว่าตอนนี้เพลงมันมีหลากหลายมากขึ้น คือมันมีช่องทางเยอะมากๆ แล้วตอนนี้ต่างคนต่างมีช่องทางของตัวเอง แถมกลุ่มเป้าหมายก็มีของใครของมัน ถามว่ามีการแข่งขันเยอะมั้ย มันก็ไม่เชิงแข่งขัน แต่ทุกคนมีตัวเลือกเยอะขึ้นจากเมื่อก่อน เปรียบง่ายๆเลยนะครับ เหมือนร้านข้าวแกง แต่ก่อนมีสองร้าน เดี๋ยวนี้อาจมีสิบร้าน ซึ่งปริมาณการขายอาจต้องเฉลี่ยไป หรือไม่ก็เหมือนขนมเค้ก คือเมื่อก่อนเราอาจจะได้กินเค้กชิ้นใหญ่หน่อย แต่เดี๋ยวนี้มันชิ้นเล็กลง มันก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เราได้ทำ ผมว่าเพลงมันก็จะนำทางเราไปเองนะ (ยิ้ม)"

"และอีกอย่างเพลงยุคนี้มันดีกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย ตรงที่ว่ามันง่ายขึ้น และทุกคนมีสมาร์ทโฟน มันไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนที่เราไปโปรโมทตามช่อง แล้วคนถึงเห็นเรา ซึ่งเดี๋ยวนี้ต่างคนต่างก็มีศิลปินเป็นของช่อง และเพลงมันก็ไปหลากหลายแนว เพลงดังๆ บางเพลงไม่ได้โปรโมทก็มี หรือบางทีเพลงที่เราโปรโมทอาจจะไม่ดังก็มี มันมีหลากหลายมากนะครับ แต่อย่างน้อยๆ ที่ผมบอกแค่ทำได้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว และพอเห็นยอดวิวมันก็เป็นเครื่องประเมินคุณค่าได้ว่า เห้ยมันมีกลุ่มที่เขาชอบแบบนี้ อาจจะเป็นแฟนๆ ของกลุ่มสามช่าด้วย แฟนๆ ของเวิร์คพอยท์เองอะไรแบบนี้ ที่เปิดรับเรา แต่ต้องย้ำก่อนว่าโดยส่วนตัวเราไม่ใช่นักร้องที่ต้องออกเพลง แต่เราเป็นคนบันเทิงคนหนึ่งที่ทำเพลงออกมา"

จากการทำหน้าที่เป็นพิธีกร ในรายการประกวดแข่งขันร้องเพลง "ไมค์ทองคำ" ส่งผลให้ "พัน พลุแตก" เก็บเกี่ยวประสบการณ์จนมีผลงานเพลงชิ้นแรก

"การที่ผมเป็นพิธีกรในรายการ ไมค์ทองคำ มันทำให้ผมได้ประสบการณ์การอย่างมากเลย ทุกคนเหมือนเป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ผมได้อ่าน มันมีแง่คิด มุมมองดีๆ คือเหมือนผมสามารถเป็นฟองน้ำที่ซึมซับเก็บความรู้จากพวกเขาไปได้ แล้วเราก็นำฟองน้ำนั้นไปบีบเอามาใช้ แล้วก็ซึมซับต่อ เพราะฉะนั้นคนรอบข้างของผมเหมือนเป็นครูคนหนึ่งที่เรามอง อย่าง ครูสลา คุณวุฒิ, พี่สุนารี ราชสีมา, อาจารย์โน๊ต, ครูเทียม ชุติเดช หรือผู้เข้าประกวด ทุกคนมีมุมมองต่างๆ หรือบางคำที่เราได้มา เราก็เอามาใช้ให้มันเกิดประโยชน์กับทุกๆ ผลงานของผมนะ"

เชื่อว่าทุกคนย่อมมีนักร้องในดวงใจของตัวเองทั้งนั้น ซึ่งตลกหน้านิ่งๆ คนนี้เขาก็ชอบและรัก "พี่แอ๊ว ยอดรัก สลักใจ" เอามากๆ......"เมื่อก่อนเวลาไปไหน ก็ชอบร้องเพลง 30 ยังแจ๋ว ชีวิตอยู่คลุกคลีกับลูกทุ่งเพราะว่า โดยสภาพครอบครัวผมเป็นคนบ้านๆ เด็กสวน เปิดฟังเพลงลูกทุ่งอย่างนี้อยู่แล้ว ซึ่งมันจะคุ้นเคย คุ้นชินตั้งแต่เด็กๆ"

จากพนักงานฝ่ายบุคคล สู่เส้นทางตลกแถวหน้าของเมืองไทย

"วงการบันเทิงเป็นอะไรที่ผมใฝ่ฝันมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้วครับ แต่ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาร้องเพลง ร้องเล่นๆ หรือร้องตามงานต่างๆ แต่ออกเป็นซิงเกิ้ลก็ไม่ได้คิดอะไรขนาดนั้น และการเปลี่ยนผันจากพนังงานเบื้องหลังสู่งานในวงการ ผมว่าผู้ใหญ่เห็นแววมั่ง คือผมทำงานเบื้องหลังมาสักพักหนึ่ง และคือตัวผมทำงานด้านทีวี มันต้องมีโอกาสได้ออกเบื้องหน้าบ้าง แบบคนนั้นขาด คนนี้ขาด ไปช่วยหยิบของ แล้วเขาเห็นความสามารถเรา ก็เลยผลักดัน ซึ่งผมก็ต้องขอบคุณผู้ใหญ่เวิร์คพอยที่ให้โอกาสคนตัวเล็กๆ คนหนึ่งได้แสดงออกทางหน้าจอทีวี"

เท่าที่สังเกตุ เหมือนว่าตอนนี้งานจะเยอะเป็นพิเศษ

"มันเป็นโอกาสในยุคนี้นะ ซึ่งพอเรามีช่องทางของเราเอง แน่นอนว่าปริมาณงานมันเยอะขึ้น มีงาน 7 วัน และวันหนึ่งมีตั้ง 24 ชั่วโมง มันเลยทำให้รายการต้องมีเพิ่มมากขึ้น อัตรารายการที่เพิ่มขึ้นคนก็ต้องไปอยู่ตามรายการต่างๆ มันเหมือนเป็นเงาตามตัวอยู่แล้ว คือเราไม่ใช่แค่ผลิตให้กับช่องอื่นๆ แต่เรามีช่องทางเองแล้ว งั้นปริมาณก็ต้องเพิ่มขึ้น ซึ่งมันก็ถือเป็นโอกาสดีเลยแหละ"

แน่นอนว่าทุกคนต้องเคยมีอารมณ์ ท้อ เหนื่อย หมดหวัง แต่ด้วยแรงผลักดันจากครอบครัว ทำให้เขาท้อแต่ไม่เคยคิดที่จะถอย

"ผมมองที่ครอบครัวนะครับ มันเหมือนเป็นแรงผลักดันที่ดี คนเราทุกคนย่อมมีปัญหากันทั้งนั้น ทุกคนย่อมมีความท้อ แต่ว่าเมื่อมันเกิดสิ่งนั้นขึ้นมา ทำอย่างไรเพื่อให้เราเดินหน้าได้ ผมว่าถ้าเหนื่อยก็หยุดพัก มองไกลๆ แล้วค่อยเดินต่อ เหมือนเวลาเราวิ่ง พอเราเหนื่อยก็หยุด แล้วเราก็เดินต่อไปให้ได้ ผมว่าทุกคนท้อได้นะ แต่ก็อย่าคิดที่จะถอย ทุกอย่างที่เจอย่อมมีทางผ่านไปได้เสมอ"

กว่าสิบปีที่ได้ทำงานเบื้องหน้า มองตัวเองประสบความสำเร็จหรือไม่

"ผมคิดว่าผมประสบความสำเร็จตั้งแต่ที่ได้มาทำงานอบู่เบื้องหน้าแล้วครับ คือมาจากคนธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งอายุประมาณนี้ได้มาทำงานตรงนี้ อยู่ในบริษัทที่ค่อนข้างเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ทางด้านการบริการของช่องทีวี ผมว่านั้นคือสิ่งที่ประสบความสำเร็จของผมแล้วนะ ที่เหลือมันคือโบนัสที่เราต้องเก็บเกี่ยวสะสมเพิ่มเติมไปพร้อมกับคนรอบๆ ข้างครับ (ยิ้ม)"

"อะไรคือสิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิต ผมว่าเรื่องของมิตรภาพ ความรัก การแบ่งปัน มากกว่าสำหรับยุคนี้นะ คือคนเราไม่สามารถทำอะไรปราศจากความรักได้ ทำได้แต่ไม่ดี คือเราต้องมีพลังจากความหวัง แต่ต้องเติมเต็มด้วยความรัก มันถึงจะทำได้ ถ้าเราทำอะไรที่รู้สึกว่ารักมันทำเลยครับ อย่ารอช้าไม่นั้นโอกาสที่เราได้อาจเสียเปล่า"

"มุขตลกฝืด" อยู่ที่มุมมอง...คนชอบหรือไม่

"ผมมองว่าเหรียญมีสองด้านเสมอ มีหัวกับก้อยอยู่ที่คนหมุนกับคนตบเหรียญ เราไม่รู้ว่าวันนี้เหรียญจะออกหัวหรือก้อย ผมว่ามันมีสองมุมเสมอ ชอบก็มี ไม่ชอบก็มี ชอบเราก็ดีใจ ไม่ชอบเราก็ปรับปรุงแก้ไข เราไม่สามารถทำอะไรถูกใจคนทั้งหมดหรอก นับประสาอะไรกับคนที่ไม่ใช่ญาติพี่น้อง ความคิดย่อมแตกต่างกันอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับมุมมองมากกว่า วันนี้ถ้าเกิดเรามองบวก เราก็ได้บวก ถ้าเรามองลบเราก็ได้ลบ เขาบอกให้เราหูผึ่งในเรื่องบวกๆ หูหนวกในเรื่องลบๆ ชีวิตมันก็มีแค่นี้ สุดท้ายก็ขึ้นอยู่ที่พวกเขา ซึ่งเราไปห้ามเขาไม่ได้ว่าต้องมาชอบหรือไม่ชอบเรา เพราะพวกเขาไม่ผิด ก็เขาไม่ชอบ เหมือนคนที่ไม่ชอบกินไข่ต้ม อยากกินไข่เจียวผิดมั้ย มันก็ไม่ผิดนะครับ"

เปรีบยชีวิตของผู้ชายที่ชื่อ "พัน พลุแตก" ควรจะเปรียบเทียบกับอะไร?

"เหมือนน้ำนะครับ เพราะผมว่าคนทุกคนมีคุณค่า น้ำเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แล้วน้ำมันเย็นมันชื่นใจ มันสามารถเปลี่ยนสถานะได้หลายอย่าง ถ้ามันร้อนมากๆ ก็เดือดได้ ถ้าเย็นมากมันก็แข็งตัวได้ มันก็ต้องปรับสภาพไปเรื่อยๆ แต่สิ่งที่สำคัญคือน้ำใจ ผมว่ายุคนี้น้ำใจสำคัญ ให้ใจกันมันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ผมคิดว่าทุกคนเหมือนน้ำที่มีหลากหลายอารมณ์ หลากหลายสถานะการณ์ อุณหภูมิเป็นยังไงในช่วงนั้น และเราสามารถควบคุมได้หรือเปล่า นั้นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดครับ(ยิ้ม)"

ทิ้งทายก่อนจากกัน

"ก็อยากฝากซิงเกิ้ลเพลง นิ่ง ไว้ด้วย ก่อนอื่นต้องขอบคุณทุกๆ ยอดวิว ที่คลิกเข้ามาชม ทุกไลค์หรือว่าทุกๆ เสียงวิจารณ์ ติชมต่างๆ ต้องขอบคุณจริงๆ อันไหนที่เป็นบวกเราน้อมรับ อันไหนที่เป็นลบเราก็น้อมรับ และจะนำสิ่งเราเหล่านั้นไปปรับปรุงให้ดีขึ้น ก็อยากฝากทุกคนด้วยนะครับ เพียงกดดาวโหลดได้ที่ * 494177 แล้วกดโทรออก"


กำลังโหลดความคิดเห็น