ทายาทลูกทุ่งเงินล้านวัยแรกแย้ม "ลาดา อาภาภัทร สุขสวัสดิ์ชล" ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าพ่อเพลงแหล่ชื่อดัง "สมชาย สุขสวัสดิ์ชล" หรือคุ้นกันในชื่อ "บุญโทน คนหนุ่ม" แม้ว่าเรื่องงานแสดงอาจยังใหม่ แต่ในเรื่องร้องเพลงต้องยกนิ้วให้เด็กสาววัย 18 ผู้นี้ไปโดยปริยาย และด้วยพรสรรค์ที่ส่งผ่านสายเลือดนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่พรแสวงที่ "ลาดา" เพาะบ่มมาตั้งแต่เริ่มร้องเพลงเมื่อตอนอายุ 6 ขวบ ต่างหากที่ทำให้เธอกลายมาเป็น "ลูกทุ่งสายเลือดใหม่" ที่น่าจับตามองอีกคนหนึ่งในวงการ
และเพราะเกิดในครอบครัวศิลปิน “ลาดา อาภาภัทร” จึงหลงรักการร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ ด้วยการฝึกฝนตนเองในการขึ้นร้องเพลงประกบคู่คุณพ่อตั้งแต่เด็กๆ โดยหวังว่าสักวันหนึ่งจะเจริญรอยตามพ่อ กระทั่งเธอกลายมาเป็นหนึ่งในนักร้องสังกัดค่ายอาร์สยาม และมีซิงเกิลแรกกับทางค่ายชื่อเพลงว่า "แชะ แชะ (อยากเซลฟี่กับเธอ)" ที่ปล่อยเพลงออกไปได้เพียงไม่กี่เดือนก็มียอดวิวในยูทูบเป็นหลักล้านเลยทีเดียว
"Super บันเทิง" ได้มีโอกาสพูดคุยกับ "ลาดา" เด็กสาวรุ่นใหม่ที่รักการร้องเพลงลูกทุ่ง พร้อมพกความสามารถมาเต็มเปี่ยม มีดีกรี Miss Smart teen จากเวทีประกวด Miss Teen Thailand 2013 วันนี้เธอมีโอกาสได้แจ้งเกิดเป็นศิลปินอย่างเต็มตัว และหนึ่งแรงบันดาลใจที่ทำเธอให้มาถึงจุดนี้ก็คือ "ปะป๋าบุญโทน" นั้นเอง
เข้าตำราลูกไม้ที่หล่นใต้ต้น!
จากเด็กน้อยอายุเพียง 6 ขวบ แตกเนื้อสาวเข้าสู่วัย 18 ปี ช่วงรอยต่อของเวลาเธอเติบโตมาท่ามกลางเสียงเพลงลูกทุ่ง ส่งผลให้เธอรักการทำงาน และชื่นชอบการร้องเพลงลูกทุ่งตามรอยพ่อ
"จุดเริ่มต้นการเป็นนักร้องของเราจริงๆ น่าจะเริ่มจากตอนเด็กๆ เลยค่ะ ตอนนั้นลาดาอายุน่าจะประมาณ 6 ขวบ คือเริ่มมาจากคุณพ่อไปทำงานนอกบ้าน และคุณแม่ก็เป็นผู้จัดการส่วนตัวให้กับคุณพ่อ แล้วไม่มีเวลาอยู่ที่บ้านเลย ทำให้ลาดาต้องไปอยู่ที่บ้านคุณป้าแทน ซึ่งพ่อแม่เขาก็รู้สึกว่ามันเริ่มห่างกันไป เขาก็เลยจับลูกมาถือไมค์ร้องเพลง โดยที่เขาก็ไม่ถามลาดาสักคำว่าเลยนะว่าเราชอบร้องเพลงมั้ย หรือร้องเพลงเป็นมั้ย (หัวเราะ) ถามว่าตอนนั้นขึ้นเวทีรู้สึกอย่างไร ก็คิดว่าเป็นเรื่องที่แปลกดีเหมือนกัน ตอนแรกคุณแม่ก็กลัวว่าจะทำไม่ได้ ก็มียืนสั่นอยู่ข้างเวที แต่เราโอเคนะ เราเห็นคนดูสนุก ยิ่งรู้สึกดีมากๆเลยแหละ(ยิ้ม)"
"แสดงว่าชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็ก ก็ชอบนะค่ะ เพราะถ้าลาดาไม่ชอบก็น่าจะต่อต้านตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ลาดาเติบโตมาในครอบครัวสายดนตรี และการที่ลาดามาอยู่ในค่ายอาร์สยาม ลาดาคิดว่าเหมาะกับตัวของลาดามากที่สุด มันทำให้เราก็ยิ่งแฮปปี้ในการทำงานตรงนี้ด้วยค่ะ (ยิ้ม)"
เติบโตในครอบครัวศิลปินไม่ง่ายเลย?
เมื่อเกิดมาในครอบครัวศิลปิน และได้รับการประทับตราจากผู้เป็นพ่อแล้วว่า เมื่อเติบโตขึ้นมือทั้งสองของเธอจะเป็นมือของศิลปิน จนทำให้หลายคนเชื่อว่า การเติบโตมาในบรรยากาศครอบครัวศิลปินนักร้องถือว่าเป็นใบเบิกทางที่ดีอย่างหนึ่งเพื่อให้ลูกเดินเข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างง่ายดาย ซึ่งสาวน้อยบอกเล่ากับทางทีมข่าวด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มว่า เราอาจจะมีเชื้อสายของศิลปิน มีต้นทุนเดิมก็คือเราเป็นลูกของพ่อบุญโทน โอเคเรามีความภูมิใจในตรงนั้น เพราะพ่อเราผลักดันเรามาครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ว่าที่เหลืออีก 50 เปอร์เซ็นต์ คือมันเป็นตัวเราทั้งหมด
"ในช่วงแรกสนุกค่ะ ความบันเทิงเป็นเรื่องที่สนุกอยู่แล้ว แต่พอก้าวเข้ามาสู่ในรูปแบบบริษัท เข้ามาอยู่ใรครอบครัวอาร์สยาม คือเริ่มมีความกดดันมากขึ้น ด้วยความเป็นลูกของคุณพ่อบุญโทน ทุกคนจับตามอง มันเหมือนมีความกดดันในตัวเองอยู่แล้ว แล้วทุกคนจับตามองจากภายนอกด้วย ลาดาเลยต้องปรับตัวและวางตัวให้มีประสิทธิ์ภาพมากขึ้นด้วย"
"และการที่เรามายืนอยู่จุดนี้ สิ่งหนึ่งเลยคือได้รับแรงผลักดันมาจากคุณพ่อ เขาจะคอยเป็นกำลังใจให้ลาดา และการที่ลาดาเป็นลูกของคุณพ่อบุญโทน ลาดามีพื้นฐานที่ดีเพราะเราโตมาในครอบครัวที่มีคุณพ่อเป็นศิลปิน ลาดาจะได้รู้ได้เห็นทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังมากกว่าคนอื่นๆ แต่ว่าที่เหลือในอีก 50 เปอร์เซ็นหลัง คือมาจากตัวลาดาเองล้วนๆ ซึ่งคนเขาก็จะคิดว่าเส้นพ่อบุญโทนหรือเปล่าที่เข้ามายืนอยู่ในวงการบันเทิง ซึ่งมันเป็นคำที่ลาดาได้ยินบ่อยมาก (รากเสียงยาว) ลาดาอยากฝากบอกทุกคนว่า อยากให้โฟกัสที่ผลงานมากกว่า เพราะ 50 เปอร์เซ็นมันงานที่ลาดาทำเอง ลาดาจับไมค์เอง ยืนร้องเพลงบนเวทีเอง อยากให้ทุกคนมองที่ความเป็นตัวตนของลาดามากกว่า คือลาดาเป็นลูกของพ่อบุญโทนแค่นั้นเอง ส่วนที่เหลือลาดาสานต่องานทุกอย่างเองทั้งหมด"
"พอลาดาเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิงเต็มตัวคุณพ่อบุญโทนรู้สึกอย่างไรบ้างหรอ (หัวเราะ) ถามว่าพ่อส่งลาดาถึงฝั่งมั้ย ก็ยังไม่ถึงฝั่งหรอกค่ะ มันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น คุณพ่อเขาก็ภูมิใจ แต่เขาจะไม่ค่อยพูดให้ลาดาฟัง เพราะเขากลัวลูกจะเหลิง เขาก็ไปพูดให้คุณแม่ฟังมากกว่า และคุณแม่ก็จะมาบอกลาดาว่าคุณพ่อเขาพูดมาอย่างนี้นะ แรงบันดาลใจก็มาจากคุณพ่อบุญโทนเลยค่ะ คือเรารักในการเป็นศิลปินด้วย มันก็เลยยิ่งเป็นแรงผลักดันหลายๆอย่าง แรงบันดาลใจทุกวันนี้ก็สร้างจากที่เราไปเที่ยว เสพเพลงเยอะๆ ไปดูพี่ๆเล่นคอนเสิร์ต ตรงนี้มันทำให้ลาดาสร้างกำลังใจขึ้นในแต่ละวัน"
ในฐานะเป็นลูกสาวของเจ้าพ่อเพลงแหล่ "บุญโทน คนหนุ่ม" รู้สึกอย่างไร?
"รู้สึกดีใจนะค่ะที่มีแต่คนรักพ่อบุญโทน คือเราก็อยากเดินตามรอยเขานะ อย่างคุณพ่อเขาจะไม่มีเรื่องข่าวเสียหายออกมาให้เห็นกันเลยนะค่ะ และอีกเรื่องที่หลายคนถามว่าเพลงแหล่มีเสน่ห์อย่างไร ลาดาว่าเพลงแหล่ถือว่าเป็นเพลงที่มีเสน่ห์เอามากๆ คือลาดาอยากให้ทุกคนเปรียบเทียบเพลงแหล่เป็นเพลงแร็พ เพลงแร็พกับเพลงแหล่ใกล้เคียงกันมากๆ มันเป็นเหมือนวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกันจริงๆ นะค่ะ อย่างเพลงแหล่เขาจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ เพลงแหล่ที่เป็นไทยเดิมจริงๆ อย่างคุณอาทศพล หิมพานต์ ส่วนเพลงแหล่ของคุณพ่อบุญโทน จะเป็นสายที่แบบฟังง่าย ยิ่งใกล้เคียงกับแร็พเข้าไปอีก เสน่ห์ของเพลงแหล่มันอยู่ที่ความสด อย่างของคุณพ่อเขาจะมีสคลิปมา เขาสามารถร้องไปแล้วอ่านสคลิปไปได้เลย แต่ตัวลาดายังไม่ถึงจุดนั้น แต่ลาดาก็มีแต่งเองบ้างและก็นำเอาไปร้องหน้าเวที(ยิ้ม)"
"ถามว่าทำไมถึงชอบเพลงแหล่ โอเคลาดายอมรับนะค่ะว่าเด็กวัยรุ่นเขาไม่ค่อยฟัง แต่ส่วนตัวลาดาเองจะเป็นคนฟังเพลงทุกแนวค่ะ ทุกแนวจริงๆ ทั้งลูกทุ่ง แหล่ ไทยเดิม ฮิปฮอป เกาหลี เคป็อป ลาดาฟังหมด ขึ้นอยู่กับแต่ละวันว่าเราอารมณ์ไหน เราจะเลือกฟังอะไร แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่มันถูกจริตเราที่สุดก็คือเพลงไทย ลาดาเลยรู้สึกว่าลาดารับได้ทุกวัฒนธรรมนะ และนำสิ่งเหล่านั้นมาปรับใช้ในงานของลาดาได้ ซึ่งลาดาคิดว่าอะไรที่มันเป็นของไทย ลาดาก็ยิ่งต้องช่วยกันอนุรักษ์เอาไว้ อยากให้ฟังกันเยอะๆ แต่ก็เข้าใจว่าคนเรามีสไตล์ไม่เหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้แนวเพลงมันมิกซ์กันได้ ก็อยากให้ลองปรับเปลี่ยนทัศนคติดู หันมาฟังเพลงไทยกันดีกว่า"
"ก็มีมาทาบทามให้ไปร้องเพลงสตริงนะค่ะ ซึ่งลาดาเคยลองแล้ว ลาดารู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวตนของลาดาเลย คือลาดาเองอาจจะร้องลูกทุ่งไม่ได้ดีอย่างรุ่นพี่คนอื่นๆ แต่ว่าการร้องเพลงลูกทุ่งลาดาคิดว่าเป็นตัวตนของตัวเองมากที่สุดแล้วค่ะ (ยิ้ม)"
เตร็ดเตร่บนแผ่นเสียง!
ถือว่าเป็นใบเบิกทางบนเส้นทางสายนักร้องได้อย่างดีเลยทีเดียว เพราะสาวน้อยเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้ม "ลาดา" มีโอกาสเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในสังกัดค่ายอาร์สยาม แถมปล่อยซิงเกิ้ลแรกในชีวิต "แชะ แชะ (อยากเซลฟี่กับเธอ)" เรียกยอดวิวถล่มทลายเป็นหลักล้าน งานนี้ทำเอาเจ้าตัวรู้สึกโชคดีมากที่มีคนคอยสนับสนุน
"ลาดารู้สึกว่าโอเคเลยค่ะ ไม่คิดว่ากระแสตอบรับจะดีขนาดนี้ ตอนที่ซิงเกิลปล่อยออกมาไม่ถึงสองเดือน ได้สองล้านวิว ก็ตกใจเหมือนกัน (หัวเราะ) คือลาดาไม่คิดว่าเขาจะดูด้วยซ้ำ ซึ่งตอนนี้ยอดวิวก็เพิ่มขึ้นทุกๆวัน ก็รู้สึกดีมาก คอมเมนต์ในยูทิวบ์ส่วนมากก็เป็นไปในทางที่ดี และทุกคนก็ชมในท่อนที่เป็นแหล่ พอเอามาผสมกับลูกทุ่งที่เป็นป๊อป มันผสมกันได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว ซึ่งตอนแรกทุกคนฟังอาจจะรู้สึกแปลกๆ ก็ได้พี่ปูชิมิ มาเป็นโปรดิวเซอร์ และพี่เขามองว่าลาดาเป็นลูกของคุณพ่อบุญโทน ก็อยากให้มีท่อนที่เป็นแหล่ด้วย ก็เลยลองแต่งมาซึ่งคุณพ่อก็มีส่วนร่วมในตรงนี้ด้วยนะค่ะ คือช่วยเกาเนื้อเพลงแหล่ใส่ลงไปให้เป็นตัวตนของลาดามากที่สุด"
"ในเรื่องเทคนิคการร้องเพลง ลาดาจะบอกว่าคุณพ่อไม่เคยสอนลาดาโดยตรงเลย (หัวเราะ) สมมุติง่ายๆ นะค่ะ ลาดาจะเปรียบให้เห็นภาพล่ะกัน (หัวเราะ) คือคนที่เป็นแฟนกันเวลาที่ไปสอนขับรถจะทะเลาะกัน จากที่ร้องเพลงเราจะกลายเป็นร้องไห้ทันที เหมือนเขาดุเราอะไรแบบนี้ค่ะ ก็เลยกลายเป็นคนอื่นสอนมากกว่า ซึ่งคนที่มาสอนสามารถตีหรือดุลาดาได้เต็มที่นะ แต่กับคุณพ่อลาดาจะไม่เคยเลย เหมือนเป็นครูพักลักจํามากกว่า ภาพที่เราเห็น เสียงที่เราได้ยิน มันเหมือนเป็นภาพที่ทำให้ลาดาจดจำเอาไว้มาตั้งแต่เด็กๆแล้วค่ะ (ยิ้ม)"
อยากให้พูดถึงคนที่อยากเป็นนักร้อง แต่เขายังไม่มีโอกาสได้เข้าวงการ มีอะไรอยากบอกพวกเขาไหมคะ
"ลาดาคิดว่าช่องทางสมัยนี้มันค่อนข้างที่จะเยอะมากกว่าสมัยเมื่อก่อนค่ะ เคยฟังจากที่คุณพ่อบอกว่าาสมัยก่อนต้องเป็นคนที่เสียงดีจริงๆ พากันเข้ามาที่แหล่งทำเพลงซอยบุปผา ซึ่งสมัยนี้มันมีโลกโซเชียล มันเป็นการอัดคลิปแล้วก็ลงเป็นเน็ตไอดอล ลาดาคิดว่าตรงนี้มันสามารถทำได้ มันเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวเรามากที่สุด และยิ่งเราเข้ามาอยู่ในยุคโซเชียลมันทำให้เราเติบโตในด้านต่างๆ อย่างเมื่อก่อนที่ลาดาบอกต้องเสียงดีจริงๆ ถึงจะได้เป็นนักร้อง แต่สมัยนี้เราสามารถอัดคลิปลงได้ ซึ่งมันก็เป็นอีกทางนึงที่ทำให้เพลงยุคนี้เติบโตกว้างขึ้น เร็วขึ้น และง่ายยิ่งกว่าเมื่อก่อน"
"ตัวลาดาเองที่เข้ามาอยู่ในค่ายเพลงอาร์สยามได้ เพราะลาดาดเข้ามาประกวดที่รายการ เสียงสวรรค์พิชิตฝัน ทางช่อง 8 ตอนนั้นเขาจะเป็นธีมรวมญาติคนดัง ซึ่งคุณพ่อเป็นคอมเม้นเตเตอร์อยู่รายการนี้ ก็จะมีน้าของพี่จ๊ะ อาร์สยาม เราก็มาร้องเพลงเพราะเราเป็นลูกสาวของคุณพ่อบุญโทน พอมาร้องก็มีผู้ใหญ่เขาเห็นว่าลาดาตรงกับสไตล์ของอาร์สยามพอดี เลยให้ลาดาเข้ามาออดิชั่นแล้วก็แคส ซึ่งลาดาก็เข้ามาเป็นศิลปินฝึกหัดอยู่ 1 ปี ถึงได้มาทำเพลง"
"เป็นพรสวรรค์ของลาดาเองเลยหรือเปล่า ลาดาคิดว่าน่าจะด้วย แต่ก็คิดว่ามีพรแสวงเข้ามาด้วย อย่างพรสวรรค์เขาก็ไม่ได้ให้มาเต็มที่สักเท่าไหร่ น่าจะมีประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเราก็ต้องสานต่อ เพราะลาดาก็ไม่ได้ร้องลูกทุ่งแบบไทยเดิม แต่พอลาดาเข้ามาอยู่ค่ายอาร์สยามมันเข้ากับสไตล์ของตัวตนลาดา ก็เลยมีการชักชวนเข้ามาทำงานในตรงนี้ (ยิ้ม)"
ถามถึงนักร้องลูกทุ่งที่ชื่นชอบต้องยกให้ "พี่ใบเตย อาร์สยาม"
"ถ้าเป็นศิลปินลาดาชอบพี่ใบเตย อาร์สยาม ค่ะ เพราะลาดาเคยฟังพ่อของพี่ใบเตยเล่าให้ฟังตอนพี่ใบเตยมาเป็นศิลปินฝึกหัดคือนานมาก ลาดาเป็นศิลปินฝึกหัดอยู่ 1 ปี ลาดารู้สึกว่ามันนานค่ะ ของพี่ใบเตยมาเป็นศิลปินฝึกหัดน่าจะ 7 ปี แล้วพอเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิงก็เจอกระแสคำชม คำวิจารณ์ทุกอย่าง เราเลยรู้สึกว่าพี่เขาเข้มแข็งทางจิตใจมาก และเราก็เคยไปนั่งคุยกับพี่ใบเตยว่า ลาดาโดนกระแสของคุณพ่อว่าเรามาทำงานในวงการบันเทิงได้เพราะมาจากเส้นคุณพ่อ พี่ใบเตยเขาก็บอกเราว่าอย่าไปอ่าน ทำใจให้สงบนิ่ง และวางตัวทำงานของเราให้ดี ก็เลยชอบพี่ใบเตยเพราะรู้สึกว่าเป็นผู้หญิงที่มีความแข็งแรงทางจิตใจ คือตัวลาดาก็เคยคุยเรื่องการทำงานกับพี่ใบเตยนะ เขาก็บอกให้เราโฟกัสในเรื่องของการทำงาน ทำหน้าทีบนเวทีให้ดีที่สุด ทำให้คนหน้าเวทียิ้มให้ได้มากที่สุดกับโชว์ของเรา"
เห็นว่าเคยประกวด Miss Teen Thailand มาก่อนหน้านี้?
สวยสะพรั่งเต็มวัย สาวน้อยก็เข้าประกวดเวทีมิสทีนไทยแลนด์ โดยเรื่องของเรื่องคือ เธอและคุณพ่อไปขึ้นเวที 7 สี คอนเสิร์ต แล้วไปเจอรุ่นพี่มิสทีนฯ เชียร์ ฑิฆัมพร ก็เลยแนะนำคุณแม่สาวน้อยให้ลองมาสมัครประกวดดู แม้เวทีนี้ไม่ได้คว้าตำแหน่งชนะเลิศแต่ได้เปิดประสบการณ์ที่คุ้มค่า
"ใช่ค่ะ ไปประกวด Miss Teen Thailand 2013 ก็ได้ตำแหน่ง Miss Smart teen คือตอนแรกลาดาไปเจอพี่เชียร์ ฑิฆัมพร ตอนนั้นอายุสักประมาณ 10 นิดๆ และพี่เชียร์เขาบอกว่าลาดาสูงขายาว เขาบอกกับคุณแม่ว่าให้ลาดาไปประกวดเวทีนี้นะ ลาดาก็เลยโอเครอให้อายุ 15 ปี แล้วลองเข้าไปประกวด ลาดาก็ไม่คิดว่าจะเข้ารอบด้วย วันที่คัดเลือกเข้ารอบ 50 คน ทุกคนเขาเตรียมของกันมาเข้ารอบแล้วค่ะ แต่ลาดาไม่ได้เตรียมอะไรไปเลย แล้วเซนทรัลก็ปิก 4 ทุ่ม คุณแม่เขาก็วิ่งลงมาซื้อกระเป๋าซื้อของใหห้เก็บตัว 10 วัน ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีที่ได้เข้ารอบไป เพราะสนุกและมันส์มาก (ยิ้ม)"
ทางเดียวที่จะถึงเส้นชัย คือก้าวต่อไปข้างหน้า
ในชีวิตของคนเรา ล้วนมีบททดสอบชีวิตให้เราได้ตัดสินใจลงมือทำมากมาย มีทั้งสิ่งที่เราจำเป็นต้องเผชิญกับมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และสิ่งที่เราเลือกที่จะเผชิญกับมันด้วยตัวเอง แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน สิ่งที่จะตัดสินว่าเราจะเผชิญกับมันได้หรือไม่ เริ่มต้นที่ความคิดของเราล้วน ๆ
"เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยมันเป็นอะไรที่เหนื่อยมาก เมื่อก่อนลาดาเรียนอยู่ที่ราชบุรีซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนและเป็นโรงเรียนที่ค่อยข้างเข้มงวดเรื่องของด้านวิชาการมากๆ ลาดาเลยย้ายมาเรียนที่โรงเรียนมัธยมประชานิเวศน์ มาเรียนทางด้านเอกดนตรี ซึ่งทางโรงเรียนเขาก็จะปล่อยให้เราทำงานได้อย่างเต็มทีเลยค่ะ แต่เราก็ต้องตามงานจากเพื่อนๆ นะค่ะว่าต้องส่งงานไหนบ้าง เราก็ต้องตามเรียนตามสอบให้ครบทุกอย่าง และอีกเรื่องมันจะหนักไปทางถ่ายละครด้วย เพราะเราต้องไปถ่ายทำที่ต่างจังหวัด แล้วบางทีเขาสอบกันเราไม่ได้สอบ ก็ต้องโทรบอกคุณครู ก็ทำเหมือนนักเรียนคนอื่นๆ ค่ะ แต่มันน่าจะหนักกว่าทุกคนตรงที่มันมากองรวมกัน (หัวเราะ)"
"และลาดาก็ใกล้จะเข้าปีหนึ่งแล้วด้วย มันทำให้ลาดาต้องตั้งใจเรียนกมากๆ ถามว่ามีคณะที่อยากเรียนอยู่ในใจหรือยัง ก็มีแล้วค่ะ ลาดาอยากเรียนคณะนิเทศศาสตร์ค่ะ เราทำงานตรงนี้ บางคนก็มองว่าไม่จำเป็นต้องเรียนก็ได้ แต่ลาดาคิดว่าถ้าเกิดคนมันชอบจริงๆ มันก็อยากรู้ให้ลึกมากกว่านั้น ลาดาคิดว่าอยากเรียนภาพยนตร์หรือไม่ก็การแสดงค่ะ"
"เอาจริงๆ ตอนแรกเลยคุณพ่ออยากให้ลาดาเลือกเรียนนิติศาสตร์ ซึ่งตอนแรกลาดาก็โอเคคิดว่าลาดาเรียนไหว แต่พอเริ่มโตขึ้นงานมันเริ่มเยอะมากขึ้น ลาดาแอบคุยกับคุณแม่ก่อน ส่งมาเร็วไป (หัวเราะ) ว่า คุณแม่ลาดาไม่ไหวแน่ๆ ต้องตายแน่ๆ แม่เขาก็จะบอกคุณพ่อว่าลูกไม่ไหวหรอก คุณพ่อตอนแรกก็ไม่ยอม พอเขาเห็นงานเราเริ่มเยอะขึ้นก็เลยยอม (หัวเราะ)"
ระหว่างงานแสดงกับร้องเพลง ชอบอะไรมากกว่ากัน?
"ชอบทั้งสองอย่างเลยค่ะ แต่ลาดาว่าทั้งสองงานนี้มันต่างกันอย่างสิ้นเชิงนะค่ะ อย่างการเป็นนักร้อง มันคือตัวตนของลาดาที่ทำให้คนดูมีความสุขเวลาเขามาดูลาดาร้องเพลอยู่ข้างหน้าเวที มันทำให้ลาดาใส่อารมณ์ได้อย่างเต็มที่ ส่วนการเป็นนักแสดงลาดาต้องแสดงเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่ตัวตนของเรา ความยากง่ายเลยต่างกัน ซึ่งความสนุกมันก็มีคนล่ะแบบ อย่างละครที่เราไปเล่นมันก็จะเป็นเหมือนอีกคนนึง อีกมิตินึง อย่างลาดาที่รับบท อ้อย ในละครเรื่อง มนต์รักอสูร ทางช่อง 8 คือบทจะเป็นสาวสก๊อย พูดจากับพ่อแม่ไม่ดี ซึ่งมันต่างกับชีวิตลาดาเลย มันก็ทำให้เราสนุกกับงานทั้งสองอย่างที่ทำนะค่ะ"
วาดฝันเส้นทางในอนาคตวงการบันเทิง
"ลาดายังไม่ได้วาดอะไรเลยค่ะ แค่ทำวันนี้ พรุ่งนี้ ให้ดีมากที่สุด แล้วทำทุกวันให้เต็มที่มากกว่า และวงการบันเทิงลาดาคิดว่ามันเร็วด้วยตัวของมันเอง มันมีช่วงเวลาของมันอยู่แล้วค่ะ ลาดาเลยอยากทำหน้าที่ของเราตรงนี้ให้เต็มที่ค่ะ อยากจะมอบความสุขให้ทุกคน เพราะลาดาก็ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักมอบให้ทุกคน ทุกคนรักลาดา มอบคืนลาดากลับมา มันเป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้วค่ะ คือผลข้างหน้าเราก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไง แต่เราจะทำตรงนี้ให้ดีที่สุดค่ะ"
วงการบันเทิงคือโลกแห่งมายา?
"มันก็จริงค่ะ ว่าวงการบันเทิงก็เปรียบเหมือนเกมส์มายา หลายคนบอกไม่ถูกกัน แต่สำหรับตัวลาดาคิดว่า การที่ตัวเราอยู่ในวงการบันเทิงนี้ได้ เพราะลาดาเกิดในครอบครัวที่เห็นภาพแบบนี้มาโดยตลอด แล้วยิ่งวงการบันเทิงมันแคบ ไปไหนจะเกลียดยังไง มันก็ต้องเจอกันอยู่ดี แล้วลาดาเป็นคนที่พูดได้เลยว่า ต่อให้เกลียดกันแค่ไหน เราก็สามารถทำงานร่วมกันเป็นอย่างดีได้ ตรงนี้ลาดาเลยรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ต้องเครียดค่ะ"
ชีวิตวัยรุ่นไม่ออกนอกลู่นอกทาง
ถ้าพูดถึงหลักดำเนินชีวิตของทุกคนในบ้านนี้เหมือนจะถูกวางกฎเกณฑ์ไว้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะคุณแม่ที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเรา ที่สร้างชีวิตของเราให้ดีได้ เริ่มต้นจากชั้นอนุบาล ประถม อำนาจทุกอย่างอยู่ในมือของแม่ พอเริ่มเข้ามัธยมคุณแม่จะให้โอกาสใช้ชีวิต แต่อย่างไรก็ยังต้องอยู่ในขอบเขตที่พอเหมาะ และการใช้ชีวิตส่วนใหญ่จะเป็นอิสระมาก
"ลาดาเป็นเด็กที่อยู่ในกรอบค่ะ พ่อแม่เขาตีกรอบให้เรา แต่เป็นกรอบที่ค่อนข้างกว้างกว่าคนอื่น ด้วยอาชีพที่เราทำ มันเจอคนเยอะ และลาดากับคุณแม่จะเหมือนเพื่อนกันค่ะ คนเจอลาดากับคุณแม่เขาจะตกใจว่าแม่ลูกคู่นี้เล่นกันเหมือนเพื่อนไปหรือเปล่า ยิ่งลาดาโตเข้าสู่วัยรุ่น คุณแม่จะค่อนข้างเหมือนเพื่อน และยิ่งย้ายมาเรียนที่กรุงเทพอีก อย่างเมื่อก่อนลาดาอยู่ราชบุรี เรียนตั้งแต่อนุบาล 1 ถึง มัธยมศึกษาปีที่ 5 เป็นโรงเรียนหญิงล้วน ซึ่งเข้ามาทำงานที่อาร์สยาม มันไปกลับโรงเรียนไม่ไหวก็เลยย้ายมาเรียนที่กรุงเทพซะเลย แล้วตอนที่ลาดามาอยู่ที่กรุงเทพช่วงแรกๆ ก็ยังไม่ค่อยมีเพื่อน ยังไม่สนิทกับใครมาก ลาดาก็จะมีคุณแม่อยู่เป็นเพื่อย ส่วนคุณพ่อเขาก็อยู่ที่ราชบุรี ก็ไปๆ มาๆ"
"คุณแม่เขาก็จะห่วงและหวง 2 อย่างเลยค่ะ แต่คุณแม่จะเป็นละสไตล์กับคุณพ่อนะค่ะ (หัวเราะ) คุณแม่เขาจะฟังเราได้ทุกเรื่อง เข้าใจทุกอย่าง เขาจะห่วงมากกว่าหวงเพราะเราอยู่ด้วยกันตลอด คือลาดาไปไหนหรือแม้กระทั่งจะทำอะไรไม่ค่อยได้ไปกับเพื่อนเลยค่ะ อยู่กับคุณแม่ตลอดเรื่องหวงคุณแม่เขาเลยไม่ค่อยอะไรเพราะอยู่ด้วยกัน แต่เรื่องห่วง คุณแม่เขาห่วงของเรื่องการทำงาน การเรียน การวางตัว คนที่พบเจอ อย่างแบบหนุ่มๆ เข้ามาคุยเราจะบอกคุณแม่ตลอด คุณแม่เขาก็บอกว่าคุยได้ แต่คุยในฐานะเป็นพี่น้องกันมากกว่าค่ะ (ยิ้ม)"
"ส่วนของคุณพ่อเขาจะหวงมากและห่วงมาก ไม่ค่อยลืมหูลืมตาเท่าไหร่ คุณแม่เขาก็จะบอกว่าพ่อใจเย็นๆ (หัวเราะ) พ่อต้องฟังนะ ลูกก็เริ่มโตมากขึ้นทุกวันแล้ว และการที่ลาดาเป็นลูกคนเดียวด้วยค่ะ ถามว่าตามใจมั้ย ไม่ค่อยนะค่ะ คือลาดาเองก็ไม่เคยโดนคุณพ่อคุณแม่ตี แต่การถูกทำโทษของลาดาเองตั้งแต่เด็กเลย ถ้าทำผิดจะโดนนั่งคุยปรับทัศนะคติสักประมาณ 2 -3 ชั่วโมง มันทำให้ลาดาดูเป็นเด็กที่ค่อนข้างจะมีเหตุผลมากกว่าคนอื่นตั้งแต่เด็กๆ เลยค่ะ ลาดาก็บอกคุณพ่อบุญโทนว่า พ่อขาลูกขอโทษ คุณพ่อถึงจะโอเค และก็เข้ามากอดกัน"
"เอาจริงๆ ลาดาก็สนิททั้งคุณพ่อและคุณแม่ มันทำให้เราเห็นหลายอย่างของการดำเนินชีวิต จนเราเอามาปรับใช้ในชีวิตจริงของเราเอง โดยของคุณพ่อจะได้ผลมากเลยคือเรื่องของการเป็นศิลปิน คุณพ่อเขาไม่เคยมีข่าวเสียหาย คุณพ่อวางตัวได้ดีมาก และยิ่งคุณแม่เขาต้องดูแลศิลปินสองคนคือ บุญโทน คนหนุ่ม กับ ลาดา อาร์สยาม คุณแม่เขาก็จะเป็นกระจกส่องให้เราดูตลอดว่า เราอยู่ข้างหน้าเราเป็นอย่างไร วางตัวเป็นอย่างไร คุณแม่เขาจะคอยเตือน ให้เราเอามาปรับใช้ได้เอง"
ยอมรับเด็กสมัยนี้ไม่ค่อยเชื่อฟังพ่แม่!!
"ลาดาเป็นคนหนึ่งค่ะ ที่บางทีก็มีอารมณ์เหงาอยากอยู่กับเพื่อน แต่ด้วยการทำงาน ลาดาจะคุยกับคุณแม่ตลอดว่าเราไม่มีใครแล้วอ่ะคุณ พาออกไปเดินเล่นหน่อย ซึ่งเพื่อนวัยเดียวกันบางคนออกไปนอกบ้านได้บ่อย แต่ลาดาอยากให้มองย้อนกลับไปว่าบางคนยังทำงานหาเงินเองไม่ได้ อยากให้มองว่ายังมีคนที่บ้านสองคนที่เขาเป็นจุดเริ่มต้นของเราเลยในชีวิต อยากให้มองย้อนกลับไปเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เราใช้ก็เป็นหยาดเหงื่อของพวกเขาที่ทำให้เรามา"
"แล้วยิ่งเดี๋ยวนี้มีโลกโซเชียล ลาดาก็เป็นคนหนึ่งที่เล่นหนักมาก เพราะเพื่อนไม่ได้อยู่ใกล้ๆ เราทำงานไกลกัน คือลาดาคิดว่าทั้งสองฝ่ายต้องจูนเข้าหากัน เพราะบางคนจะเจอปัญหาที่ยิ่งโตยิ่งห่าง อย่างตัวของลาดายิ่งโตยิ่งใกล้เพราะเราทำงานด้วยกัน อยากให้ทุกฝ่ายจูนเข้าหากัน พ่อแม่เขาจะมองในมุมเดียวว่าลูกห่าง แต่เราก็ต้องกลับมาย้อนดูในตัวของเราเองว่า เด็กสมัยนี้เป็นอย่างไร ลาดาคิดว่าคนละครึ่งทาง และมานั่งจับเข่าคุยกันมันน่าจะดีกว่าที่ต่างฝ่ายต่างแยกกันอยู่ เพราะบางทีเราไม่รู้ว่าลูกเรามีปัญหาอะไรหรือเปล่า สิ่งเดียวที่ดีที่สุด คือเราต้องหันหน้าคุยกัน เพราะสมัยนี้โลกโซเชียลมันมีอิทธิพลมากจริงๆ"
"ลาดาคิดว่าโซเชียลมีอิทธิพลสูงมากค่ะ มันเร็วมาก สำหรับตัวลาดาเองไม่ใช่เน็ตไอดอล ซึ่งเน็ตไอดอลบางคนเขาก็จะโพสต์ข้อความในทางที่ดีตลอด บางครั้งลาดาก็มีบ้างที่เป็นอารมณ์ส่วนตัวลึกๆ ของตัวเองก็มีโพสต์บ้าง ที่แฝงไปด้วยแง่คิดของเรา ด้วยความคิดของเรา ก็จะมีคนเข้ามาปรับทัศนะคติตลอดเลยว่า พี่คิดแบบนี้ หนูคิดอย่างนี้ เราก็เลยไม่ได้ระวัง เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราโพสต์ไปมันโอเคแล้ว แต่ว่าตัวเราเองระวังมั้ย มันก็ต้องระวังแต่เราก็ไตร่ตรองดีแล้วกับสิ่งที่เราทำ กับสิ่งที่เราโพสต์"
ก่อนจะจากกันสาวน้อยยิ้มตาหยี กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากให้ทุกคนลองเปิดใจกับผลงาน ย้ำลาดาเป็นลูกสาวพ่อบุญโทน แต่สิ่งที่ตนเข้ามาวงการมาจากพรแสวงที่สร้างมาจากตัวตนของลาดาทั้งนั้น
"ลาดาก็เป็นเด็กคนนึงที่เริ่มทำงานมาตั้งแต่ 6 ขวบ ทำงานมาเยอะมาก ซึ่งบางกระแสที่เราเจอ เรารู้สึกว่ามันรุนแรงและสาหัสมากจริงๆ แล้วก็อยากให้โฟกัสเรื่องงาน และเรื่องที่ลาดาไม่สบายใจเรื่องเดียวก็คือเรื่องของคุณพ่อบุญโทน ทุกคนอาจจะมองว่าลาดาเป็นเด็กเส้นเข้ามายืนอยู่ในวงการบันเทิง ซึ่งลาดาอยากให้มองว่าตรงนี้มันเป็นตัวตนของเราจริงๆ อยากให้โฟกัสที่ผลงานของลาดา คอยติดตาม ให้กำลังใจลาดาเยอะๆ และลาดาก็จะทำผลงานออกมาให้ดีมากที่สุด"
"ลาดายืนยันว่าลาดาใช้ความสามารถของลาดาเองที่มาทำงานเป็นศิลปินทุกวันนี้ อย่างไปประกวดมิสทีน หรือไปประกวดกิจกรรมของโรงเรียน เราไม่เคยใช้ชื่อของคุณพ่อบุญโทนเลย แล้วลาดาไม่ให้คุณพ่อไปดูด้วยค่ะจะบอกพ่อเสมอว่าไม่ต้องเข้ามาดูในงานนะ ให้พ่อดูอยู่ข้างนอกพอ ซึ่งเราก็ปิดด้วยนะค่ะไม่ให้เขารู้ว่าเราเป็นลูกสาวของคุณพ่อบุญโทน คนหนุ่ม ถ้าเกิดเขารู้ว่าเราเป็นลูกนักร้อง พอเวลาเราชนะขึ้นมาเขาก็บอกว่าเป็นเด็กเส้น คนนั้นไงเป็นลูกบุญโทนถึงได้ชนะการแข่งขัน แล้วถ้าวันใดวันหนึ่งที่เราแพ้ขึ้นมา เขาก็จะบอกว่าลูกบุญโทนทำได้แต่นี้เองหรอ มันเลยกลายว่าลาดาไปแข่งที่ไหน ลาดาจะบอกคุณพ่ออยู่นอกงานไม่ต้องเข้ามา ก็จะเป็นคุณแม่ที่ดูแลเราแทนค่ะ"