xs
xsm
sm
md
lg

คุ้มค่าการรอคอย!!! : Batman v Superman

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


ณ จุดนี้ คงเป็นที่รับรู้รับทราบกันระดับหนึ่งแล้วว่า ปรากฏการณ์นอกจอหลังจากการได้ชมหนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องล่าสุดนั้นก็เป็นไปในลักษณะที่ไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไรนักกับปรากฏการณ์ในจอที่เกิดการแตกคอกันระหว่างสองซูเปอร์ฮีโร่ “แบทแมน” กับ “ซูเปอร์แมน” เพียงแต่ในฝั่งของคนดูผู้ชม สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ “ความเห็นต่าง” ชอบ-ไม่ชอบ หนังเรื่องดังกล่าว

อันที่จริง ก่อนหน้านี้ไม่กี่สิบชั่วโมง สำหรับคนที่เกาะติดก้าวตามกระแสหนังอย่างต่อเนื่อง คงได้เห็นผลคะแนนของคู่ชกคู่นี้จากเมืองนอกกันมาบ้างแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สองเว็บไซต์ที่ถือว่าเป็นขาใหญ่ที่คนดูหนังให้ความสนใจเป็นพิเศษ ทั้ง Imdb และ Rotten Tomatoes มุมแรกนั้นเป็นมุมจากคนดูผู้ชม ขณะที่อีกมุมเป็นฝั่งนักวิจารณ์ คะแนนของทั้งสองเว็บ พูดได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว ฝั่งแรกเป็นฟ้า ฝั่งหลังนั้นเป็นเหวสำหรับ Batman vs Superman : Dawn of Justice

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สำหรับคนดูหนังบ้านเรา ต่อให้กระแสเป็นอย่างไร เชื่อได้ว่า นี่คือหนึ่งในหนังที่จะทำเงินเยอะชัวร์ๆ เพราะจะชั่วจะดี สัปดาห์นี้ก็ถือเป็นสัปดาห์ของเขา (ขณะที่มีหนังอย่าง Risen แทรกมาเป็นตัวประกอบเล็กๆ) ด้วยฟอร์มของหนังที่ใหญ่ยักษ์และมีการโปรโมตโฆษณากันมายาวนานเป็นปีๆ อีกทั้งตัวเรื่องยังนำเสนอในสิ่งที่คอหนังอยากยล ด้วยการนำเอา “อัศวินรัตติกาล” ค้างคาวแห่งก็อตแธมอย่างแบทแมนไปต่อกรกับซูเปอร์ฮีโร่ไร้เทียมทาน “บุตรแห่งดาวคริปตัน” อย่างซูเปอร์แมน ปฏิเสธได้อย่างไรว่า มันจะไม่ใช่เรื่องน่าดูชม มันพอๆ กับการจะเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง ดูแล้ว ยังไงไม้ซีกก็น่าจะถูกฉีกเป็นเสี่ยงๆ เสี่ยงเล็กเสี่ยงน้อยยิ่งกว่าเดิม และคำพูดประเภทที่แบทแมนกล่าวไว้ในตัวอย่าง “Do you bleed?” แล้วทำเก๊กเสียงข่มขู่ซูเปอร์แมน “You will.” มันจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน เชื่อว่านี่คือหนึ่งในเรื่องที่หลายคนอยากจะรู้

คุณจะได้รู้ในสิ่งที่อยากรู้! คุณจะได้ดูในสิ่งที่อยากเห็น! “แบทแมน ปะทะ ซูเปอร์แมน : รุ่งอรุณแห่งยุติธรรม” เล่าเรื่องราวต่อเนื่องจาก Man of Steel ในช่วงเวลา 2 ปีหลังเหตุการณ์ที่เมืองเมโทรโพลิสซึ่งเกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ขณะความดีงามที่ซูเปอร์แมนได้รับการกล่าวขวัญชื่นชม แต่อีกด้านก็ขื่นขมและตั้งคำถามกับสิ่งที่ซูเปอร์แมนทำ แม้มันจะเป็นความดีความงามก็ตามที...ณ จุดนี้ ผมเห็นว่าโจทย์ที่หนังวางมานั้นน่าสนใจ

เพราะก็อย่างที่ใครสักคนในทีมงานของหนังเรื่องนี้กล่าวว่า ที่ผ่านมา หนังซูเปอร์ฮีโร่ส่วนมากมักเกิดขึ้นและจบลงไปในสุญญากาศ เมื่อจบสถานการณ์ที่มีความเสียหายรุนแรงแล้ว ทุกคนก็กลับไปใช้ชีวิตของตัวเองเหมือนเดิม แต่ “แบทแมน ปะทะ ซูเปอร์แมน” ใช้ช่องโหว่ตรงนี้ในการผูกเงื่อนปม โดยมองว่าเหตุการณ์นั้นๆ อาจทิ้งรอยแผลไว้ให้ ไม่เพียงกับเมืองหรือประเทศนั้นๆ (ที่เสียหายย่อยยับจากการห้ำหั่นของฮีโร่กับตัวร้าย) แต่เป็นโลกทั้งใบ แม้ว่าซูเปอร์แมนจะไม่ได้ตั้งใจทำลายข้าวของหรือคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกหวั่นกลัวหรือหวาดเกรงอันตรายที่จะเกิดขึ้นให้อนาคตลดทอนลงไป มันเหมือนฝันร้ายที่เป็นผลพวงจากการทำลายล้างที่ปรากฏขึ้นพร้อมกับการทำความดี

“แนวคิดดั้งเดิมสำหรับซูเปอร์แมนคือเขาเป็นคนดีซึ่งพยายามทำสิ่งที่ถูกต้องและเขาก็ไม่ได้มีนัยทางการเมือง แต่ในความเป็นจริง ในโลกปัจจุบันนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่แสดงออกทางการเมือง ไม่ว่าคุณจะมีจุดประสงค์อย่างไรก็ตาม” นี่คือคำอธิบายจาก “แซ็ค ซไนเดอร์” ผู้กำกับ ซึ่งก็ดูจะพ้องกับบางคำพูดของซูเปอร์แมนที่เอ่ยไว้อย่างขมขื่นว่า “โลกนี้คนดีอยู่ไม่ได้”

ขณะที่สังคมเกิดคำถามต่อการกระทำที่คล้ายอยู่เหนือกฎหมายของซูเปอร์แมน ชายคนหนึ่งก็เฝ้าดูเหตุการณ์นี้อยู่อย่างครุ่นคิด เขาเป็นชาวเมืองก็อตแธมที่มีชื่อว่า “บรูซ เวย์น” หรือที่เรารู้จักกันในนาม “แบทแมน”...บรูซ เวย์น แม้ไม่ได้เป็นชาวเมืองเมโทรโพลิส แต่เขาก็คิดเหมือนกับที่ชาวโลกหลายคนคิด นั่นก็คือ ซูเปอร์แมนถือเป็นมหันตภัยของโลก ในบางประโยคเขาพูดเชิงชวนตั้งคำถามว่า “วันนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้ เราเคยเห็นคนดีๆ เมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรไปแล้วล่ะ?” และความคิดนี้ก็เกิดช่องโหว่ที่สำคัญ ซึ่งทำให้นักธุรกิจผู้เป็นขาใหญ่แห่งเมโทรโพลิสแทรกตัวเข้ามาได้เพื่อก่อความวุ่นวายร้าวฉานระหว่างฮีโร่ทั้งสองให้หนักข้อยิ่งขึ้น เขาคนนั้นคือ “เล็กซ์ ลูเธอร์”

สำหรับคนที่ได้ดู Man of Steel คงได้ดูฉากวินาศสันตะโรถล่มทลายของเมืองเมโทรโพลิสในช่วงท้ายเรื่อง และในช็อตสั้นๆ ระหว่างฉากการต่อสู้อันยาวนานนั้น จะเห็นภาพรถบรรทุกของ LexCorp วิ่งอยู่บนถนนเมืองเมโทรโพลิส ขณะที่ดาวเทียมของ “เวย์น อินดัสตรี้ส์” (ซึ่งเป็นของบรูซ เวย์น) ลอยอยู่ด้านบน...ทั้งหมดนี้ก็ย่อมเป็นเหตุเป็นผลที่เพียงพอต่อการที่หนังจะทำให้ทั้งสองสามตัวละครหลักโคจรมาเจอกัน โดยสมมุติให้เมืองสองเมือง “ก็อตแธม” และ “เมโทรโพลิส” มีเพียงสายน้ำเป็นเครื่องกั้นกาง...ถ้า บรูซ เวย์น คือขาใหญ่แห่งก็อตแธม เล็กซ์ ลูเธอร์ ก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ทรงอิทธิพลรุ่นเยาว์ ที่แม้แต่คนของรัฐยังเกรงอกเกรงใจ ด้วยบารมีความมั่งคั่งร่ำรวยที่สั่งสมมาตั้งแต่รุ่นพ่อ สิ่งที่เป็นความขมขื่นอย่างถึงที่สุดสำหรับเล็กซ์ ลูเธอร์ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องของความปรารถนาที่จะมีอำนาจบาตรใหญ่ การมีความรู้แต่ไม่มีอำนาจ ก็เหมือนเป็นการมีที่สูญเปล่าเพียงเท่านั้น

ในความคิดเห็นของผม “แบทแมน ปะทะ ซูเปอร์แมน” ไม่มีอะไรเสียหายในความเป็นหนังที่ดูสนุกและสอดแทรกสาระประเด็นได้น่าคิดในหลากหลายแง่มุม มันเป็นหนังที่คุ้มค่ากับการรอคอยและคุ้มค่าคุ้มราคาต่อการตีตั๋วเข้าไปชม แม้ลึกๆ ผมจะยังรู้สึกชอบงานชิ้นก่อนหน้าของแซ็ค สไนเดอร์ อยู่เรื่องหนึ่ง (และหยิบมาดูซ้ำได้ไม่เบื่อ) แบบไม่เคยมีหนังของเขาเรื่องไหนเทียบติด ผมยังคงติดตราตรึงใจในความเข้มข้นของ Watchmen ที่หม่นมืด ดำดิ่ง เสมือนหนึ่งค้อนปอนด์ที่หนักหลายร้อยปอนด์หวดทุบลงบนห้วงสำนึก ความคิด และหัวจิตหัวใจ จนบุบสลายยากจะคืนสภาพ แต่ก็อย่างว่าล่ะครับ นั่นมันสำหรับหนังที่มีเรตสูงๆ อย่างเรต R แต่สำหรับแบทแมน ปะทะ ซูเปอร์แมน ที่ได้เรต PG 13 ความเข้มข้นระดับนี้ก็ถือว่ามากพอแล้ว ไม่ถือว่าน้อยหรือมากจนเกินไป

ในมุมของคนที่ดูสนุก พูดอย่างไรก็คงจะแนะนำได้ว่าสนุกครับ โดยรวมก็อย่างที่บอกว่าผมชอบหนังเรื่องนี้...บางแง่มุม ผมรู้สึกเหมือนเดอะ ดาร์ก ไนท์ ที่ลดบันไดลงมาสองสามขั้น และมันก็เข้มเท่าที่จะข้นได้ แม้แต่ตัวร้าย ถึงสุดท้าย ผมก็ยังนิยมอยู่ การแคสต์ดาราอย่างเจสซี่ ไอเซนเบิร์ก ที่ดังมาจาก The Social Network เป็นแคสติ้งที่ดี อาจจะยังเทียบชั้นโจ๊กเกอร์ไม่ได้ แต่อนาคตต่อไป ใครจะรู้ ที่สำคัญ การได้รับบท “เล็กซ์ ลูเธอร์” ซึ่งถือเป็นคาแร็กเตอร์ที่ถูกเอ่ยถึงในคอมิกส์หลายบทหลายตอน ก็น่าจะเป็นการเสริมเพิ่มบารมีในด้านการแสดงของเขาไปอีกหลายช่วงตัว...ส่วนนักแสดงนอกนั้น ไม่มีอะไรเป็นปัญหาครับ ทุกคนสมบทบาทหมด ทั้ง “เฮนรี่ คาวิลล์” กับบทซูเปอร์แมนที่แสนดี (และหน้าตาดี...หญิงสาวที่ไปดูด้วยกันกับผม บอกว่า หล่อเว่อร์) หรือเบน แอฟเฟลกซ์ กับมาดแบทแมนที่โดดเดี่ยวอมทุกข์ แถมจิบเหล้าเป็นประจำ คนที่ออกทำดีในยามรัตติกาลอย่างเขา แม้จะเป็นการทำดี แต่ที่สุดแล้วก็ถูกตั้งคำถามพอๆ กับซูเปอร์แมน

“ความเป็นธรรม” หรือ “ความยุติธรรม” อันเป็นชื่อรองของหนังเรื่องนี้ Dawn of Justice ฟุ้งฟายอยู่ในบรรยากาศเรื่องราวและตัวละครหลักทุกๆ ตัว ไม่ใช่แค่วาระแห่งชาติ แต่มันคือวาระแห่งโลกที่จะโยกคลอนไม่เพียงศรัทธาของคนที่มีต่อผู้ทำความดี แต่ยังสั่นคลอนความคิดของผู้ทำความดีไปด้วยในขณะเดียวกัน คำถามหนึ่งซึ่งผมคิดว่าน่าจะยังหลงเหลืออยู่ในความคิดของคนดู หลังจากที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ก็น่าจะไม่แตกต่างกันนัก นั่นก็คือ คุณคิดว่า คนหนึ่งคนเมื่อถูกยกสถานะให้เป็นดั่งเทพเจ้าแล้ว เขาจะทำอะไรอย่างไรก็ได้ อย่างนั้นใช่หรือเปล่า? เราจะยอมรับอย่างนั้นกันเลยจริงๆ ใช่ไหม โดยไม่จำเป็นต้องสนใจในบริบทแวดล้อม?

แม้เชื่อว่าคอหนังโรงก็คงไปดูกันอยู่แล้ว ก็ยังอยากเชียร์ให้ไปดูกันเยอะๆ ครับ ดูหนังสนุกๆ และเห็นการทวงคืนความเป็นธรรม-ความยุติธรรมของแต่ละคนแต่ละกลุ่ม แล้วหลังจากนั้น จะค่อยไปสานต่อวาระแห่งชาติ นั่นคือการทวงคืนน้องเบียร์มาจากคัตโตะ ก็น่าจะยังไม่สายเกินไป (หรือเปล่า? ไม่แน่ใจ อิอิ)








ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live

ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th

ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม
กำลังโหลดความคิดเห็น