xs
xsm
sm
md
lg

London has Fallen : มันส์เน้นๆ น้ำเนื้อๆ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


จากเหตุการณ์โศกนาฏกรรมเมื่อเดือนกันยายน ปี 2001 หรือที่รู้จักกันในนาม “9/11” เป็นเสมือนเชื้อเพลิงชั้นดีที่นำไปสู่การถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์กันหลากหลายแง่มุม ขณะที่ฝั่งของฮอลลีวูดซึ่งมีหน้าที่ผลิตภาพยนตร์ ก็กระโจนเข้าใส่กระแสดังกล่าวกันอย่างถ้วนหน้า บางเรื่องก็วิพากษ์ด้วยท่าทีซีเรียสเครียดจัด แต่บางเรื่องก็อาศัยเกาะพาดไปตามกระแสด้วย แล้วเล่ามันออกมาในสไตล์ของหนังแอ็กชั่น โดยแตะประเด็นการก่อการร้ายเพียงในฐานะของสถานการณ์ที่จะนำไปสู่การบู๊กันอย่างดุเดือด

หนังแนวนี้เรื่องหนึ่งซึ่งถือว่าทำออกมาได้สนุกมากๆ ก็คือ White House Down (วินาทียึดโลก) ที่กำกับโดยเจ้าพ่อหนังระเบิดภูเขาเผากระท่อม อย่าง “โรแลนด์ เอเมอริค” อีกทั้งนักแสดงหลักทั้งสองตัว “เชนนิ่ง ทาทัม” กับ “เจมี่ ฟ็อกซ์” ก็นำพาหนังได้ดี แต่นอกจากเรื่องนี้ ยังมี Olympus Has Fallen ซึ่งกำกับโดย “อังตวน ฟูกัว” ซึ่งเคยทำหนังแอ็กชั่นเจ๋งๆ มาแล้วตั้งแต่ยุค Training Day มาจนถึง Shooter (และต่อมายังมี The Equalizer) แต่สำหรับ Olympus Has Fallen กล่าวได้ว่าเป็นงานที่ไม่สมศักดิ์ศรีฝีมือของอังตวน ฟูกัว เอาซะเลย

กระนั้นก็ตาม ขณะที่งานของโรแลนด์ เอเมอริค น่าจะมีอนาคตที่ใสกิ๊กกว่า แต่สุดท้ายแล้ว Olympus Has Fallen กลับเป็นเรื่องที่มีภาคต่อ ซึ่งก็คือ London Has Fallen เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ใช่ “อังตวน ฟูกัว” คนเดิมมากำกับ หากแต่เป็นผู้กำกับสายเลือดอิหร่าน “บาบัก นาจาฟี” ซึ่งว่าตามจริงก็โนเนมมาก แต่หากจะมองแบบให้เครดิตผู้สร้าง ก็คงเห็นว่าเป็นผู้กำกับที่รากเหง้าอยู่ในพื้นที่ความขัดแย้งซึ่งตรงกับประเด็นของหนังที่จะนำเสนอ การเลือก “บาบัก นาจาฟี” จึงน่าจะหนุนความสมจริงสมจังเกี่ยวกับบรรยากาศอารมณ์ของหนังได้บ้างไม่มากก็น้อย

แม้จะถือว่าเป็นหนังภาคต่อ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องดูหนังภาคก่อน ถึงจะดู London Has Fallen รู้เรื่อง เพราะตัวเรื่องไม่ได้มีอะไรเกี่ยวเนื่องกันเลย นอกจากตัวละครหลักสองตัวคือประธานาธิบดีกับบอดี้การ์ดประจำตัว หนังโยกย้ายสถานที่เกิดเหตุจากทำเนียบขาวไปยังกรุงลอนดอน แต่เป้าหมายของผู้ร้ายยังอยู่ที่ผู้นำอเมริกา ยิ่งกว่านั้น “บาคาวี” ที่เป็นผู้ร้ายในหนังภาคนี้ ไหนๆ ก็คิดการใหญ่ระดับโลกตกตะลึงแล้ว ก็เลยพุ่งเป้าสังหารผู้นำประเทศหลายประเทศไปพร้อมกันเลย และนั่นก็เป็นที่มาของ “วินาศกรรมยิ่งกว่าวินาศกรรม” เมืองลอนดอนย่อยยับป่นปี้ เหมือนชีวิตผู้คนที่หล่นร่วงเป็นผุยผง...

ยอมรับว่า หลังจาก Olympus Has Fallen ที่ไม่ได้ฝากอะไรเหลือไว้ในความทรงจำเลยนั้น London Has Fallen ก็กลายเป็นความลังเลสงสัยว่าจะไปดูดีหรือไม่ดู เพราะระดับ “อังตวน ฟูกัว” ยังเอาไม่อยู่ แล้วผู้กำกับโนเนมคนนี้จะไหวเหรอ? แต่ดูแล้วก็ผิดคาดครับ หนังโดยรวมออกมาดีกว่าที่คิด ซึ่งคำว่าดีในที่นี้ก็แยกออกเป็นสองส่วน คือเรื่องราวกับฉากแอ็กชั่นการต่อสู้ซึ่งเป็นจุดขายหลักของหนัง

London Has Fallen ออกสตาร์ทจากจุดใดจุดหนึ่งในประเทศอัฟกานิสถานที่วายร้ายตัวโจกอย่าง “บาคาวี” กำลังจัดงานแต่งงานให้ลูกสาว ท่ามกลางความน่ายินดี จู่ๆ ก็เกิดระเบิดลงกลางงาน เจ้าภาพและแขกเหรื่อล้มตายระเนระนาด ก่อนที่หนังจะตัดฉับไปที่เวลาสองปีต่อมา เมื่อผู้นำของอังกฤษเสียชีวิต ผู้นำโลกหลายประเทศได้เดินทางไปร่วมงาน รวมทั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา (แอรอน แอ็คฮาร์ท) ที่สุดท้าย หลังจากผู้นำประเทศอื่นๆ ถูกสังหารสิ้น ก็เหลือแต่ผู้นำอเมริกาที่จะต้องหนีเอาชีวิตรอดจากการไล่ล่ากลางกรุงลอนดอน โดยมีผู้ช่วยระดับเทพ “ไมค์ แบนนิ่ง” (เจอร์ราด บัตเลอร์) เป็นผู้คุ้มกันและพาหนี

ในส่วนของตัวเรื่อง มีข้อที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งว่า หนังฮอลลีวูด โดยเฉพาะหนังกลุ่มที่ได้ฉายโรงแบบนี้ (พวกที่ลงแผ่นไปเลยก็อาจจะไม่ไหวจริงๆ) คือต่อให้มันเป็นหนังสูตรแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งซึ่งต้องยอมใจให้เขา ก็คืออย่างน้อยมันก็นำพาเรื่องราวให้ก้าวไปได้ลุล่วง ไม่ลุ่มลึกแต่ก็ลื่นไหล ติดตามเรื่องราวได้เรื่อยๆ จากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง ซึ่งจะว่าไป เรื่องราวที่เราได้เห็นใน London Has Fallen ก็เป็นอะไรที่ดาษดื่น โดยเฉพาะเนื้อหาในส่วนของตัวเอกที่มักจะต้องเผชิญกับภาวะอะไรบางอย่างที่ต้องการการตัดสินใจว่าจะเลือกหรือไม่เลือกทางไหน เช่นเดียวกับไมค์ แบนนิ่ง ในเรื่องนี้ที่ชีวิตฝั่งหนึ่งก็คือครอบครัว เรื่องราวทำนองว่าภรรยากำลังจะคลอดลูกในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้าแต่ตัวเองต้องไปปฏิบัติภารกิจพิเศษ เป็นลักษณะความซ้ำ (Cliche) ที่ถูกใช้สอยบ่อยมากในโลกภาพยนตร์

กระนั้นก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่า ด้านหนึ่งของความซ้ำ ก็มักนำไปสู่ความช่ำชองในการเล่าเรื่อง London Has Fallen อาจไม่ได้มีอะไรโดดเด่นในเชิงประเด็น เพราะไม่ได้เน้นขายอะไรอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีแววความคิดบางอย่างที่รู้กันดีอยู่ในหมู่นักวิพากษ์วิจารณ์สงครามก่อการร้ายว่าสุดท้าย ถ้าเวรไม่ระงับด้วยการไม่จองเวร มันก็ต้องใส่กันด้วยระเบิด ลูกปืน และการสังหารเท่านั้นแหละ สิ่งนี้ถูกเล่าไว้อย่างตรงไปตรงมาตามธรรมดาของหนังบันเทิงที่ย่อยง่าย แต่มีสิ่งหนึ่งซึ่งคิดว่าหนังแตะได้ดีคือความคาบเกี่ยวโยงใยระหว่างกลุ่มเครือข่ายก่อการร้ายและกลุ่มทุนอะไรต่างๆ อย่างมหาศาล...ก็ถ้าโลกเป็นแบบนี้ การก่อการร้ายมันจะไปจบลงตรงไหน

เอาล่ะ ไม่ว่าจะอย่างไร กล่าวสำหรับสิ่งที่เป็นหัวใจของหนังซึ่งคนคาดหวังตอนตีตั๋วเข้าไปดู คือเรื่องแอ็กชั่นการต่อสู้ อย่างแรกน่าจะเป็นเรื่องของฉากวินาศสันตะโรที่จะต้องจัดตามชื่อและคำจำกัดความของหนัง ลอนดอนจะถล่มทลายนั้นสมจริงสมจังแค่ไหน? ก็พูดได้ว่าหนังเขาลงทุนพอสมควรกับฉากพวกนี้ สมศักดิ์ศรีการตายของผู้ใหญ่ระดับผู้นำ อย่างจะฆ่านายกฯ ของญี่ปุ่น ก็ถึงกับลงทุนระเบิดสะพาน (จริงๆ เขาอาจจะต้องการระเบิดอยู่แล้ว แต่นายกฯ ญี่ปุ่นไปติดแหง็กอยู่ตรงนั้นเอง) หรือแม้กระทั่งต้องระเบิดเรือเพื่อฆ่าผู้นำประเทศอะไรสักประเทศ...พูดง่ายๆ ว่าเราจะได้เห็นสภาพบ้านเมืองที่ Fallen หรือย่อยยับกันเต็มที่ ขณะที่ช่วงเวลาระหว่างหนีและไล่ล่า ก็นำมาซึ่งฉากการต่อสู้ปะทะที่หลายจังหวะได้ลุ้นระทึกตามสมควร

สรุปสุดท้าย London Has Fallen แม้ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ มันเป็นหนังสูตรสำเร็จ ทั้งในเชิงเรื่องราวและฉากแอ็กชั่น แต่ถ้าจะดูเอามันส์ๆ ในเวลาชั่วโมงกว่าๆ พอได้










ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live

ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th

ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม
กำลังโหลดความคิดเห็น