"ไซอิ๋ว" ฉบับ The Monkey King ดำเนินมาถึงภาคที่ 2 กันแล้ว และยังคงยึดเนื้อหาของงานต้นฉบับค่อนข้างจะมากกว่าหนัง "ไซอิ๋ว" ในยุคนี้โดยทั่วไปเหมือนเดิม ผลที่ออกมาน่าพอใจ เพราะนอกจากความบันเทิงแล้ว เนื้อหาก็ยังมีอะไรให้จับต้องพอสมควร
The Monkey King 2 ที่เปลี่ยนแปลงนักแสดงนำของเรื่องจาก เจินจื่อตัน มาเป็น กัวฟู่เฉิง (รับบทปีศาจกระทิงในภาคแรก) เล่าเรื่องของ ไซอิ๋ว แบบยึดเรื่องราวต้นฉบับเหมือนภาคแรก มีการเพิ่มเติมรายละเอียดบางตอน แต่แกนหลักของเรื่องก็ยังคงเป็นไซอิ๋วแบบที่ทุกคนคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กเหมือนเดิม
หนังเริ่มต้นด้วยการ “รวมทีม” อัญเชิญพระไตรปิฎกกันแบบค่อนข้างจะรวบรัดตัดตอน แค่ประมาณ 20 นาที คณะเดินทางทั้ง 5 ก็รวมตัวกันได้เรียบร้อยแล้ว ส่วนเนื้อหาหลักๆ เป็นการหยิบเอาเรื่องราวของตัวละคร “มารกระดูกขาว” มาเล่าใหม่ มีการแต่งเนื้อหาเพิ่มเติมเข้าไปบ้าง แต่โดยพื้นฐานก็ยังเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับกลอุบายของ มารกระดูกขาว ที่ปลอมตัวมาสร้างความร้าวฉานในคณะเดินทางจน หงอคง ถูกอัปเปหิออกจากกลุ่ม แบบที่เราน่าจะได้ดูกันมาหลายรอบแล้ว
The Monkey King 2 ยังคงมี หงอคง ที่ฉุนเฉียวเจ้าอารมณ์, พระถังซัมจั๋งก็ซื่อจนเข้าขั้นบื้อ และทำอะไรให้ผู้ชมรู้สึกหงุดหงิดกวนใจอยู่เหมือนเดิม ส่วน ตือโป้ยก่าย กับ ซัวเจ๋ง ก็รับบทยิงมุกตลกเจ็บตัว ตลกหน้าตายไปตามเรื่องตามราวอย่างที่เราคุ้นเคยกันดี และ เจ้าแม่กวนอิม ก็มักจะลอยมาจากฟ้าคอยชี้ทางออกให้กับตัวละครแบบที่เราคุ้นเคยกันอยู่แล้ว
แน่นอนว่ามีการแต่งเรื่องเพิ่มเติมเข้าไปบ้าง แต่ก็เป็นลักษณะของการเพิ่มเติม หรือดัดแปลงรายละเอียด มากกว่าจะยกเครื่องเรื่อง ไซอิ๋ว ใหม่เหมือนหนังในยุคเดียวกันหลายๆ เรื่อง
ซึ่งหนังน่าชมเชยตรงนี้ครับ เพราะแม้จะมาในโครงสร้างเดิมๆ The Monkey King 2 กลับแสดงออกให้เห็นถึงความพยายามจะอธิบายอะไรบางสิ่งบางอย่างให้ชัดเจนมากขึ้น เพื่อขยายความจากต้นฉบับ ไม่ได้ถึงขั้นสร้างทฤษฎีอะไรใหม่ ถือว่าเป็นการขยายความเนื้อหาเดิมๆ ให้ชัดเจน และมีแง่มุมที่ลึกซึ้งขึ้นมากกว่า
หนังมีการใส่รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องราวเบื้องหลังในอดีตที่น่าเห็นใจ ให้กับตัวละครปีศาจกระดูกขาวของ กงลี่ จนดูมีมิติให้จับต้องได้บ้าง ไม่ได้เป็นแค่ปีศาจที่อยากจะได้ความเป็นอมตะจากเนื้อของพระถังฯ แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเหมือนในอดีต ซึ่งก็ต้องชม กงลี่ เป็นหลักเลยที่ทำให้ตัวละครดูมี “อะไร” ขึ้นมาได้เยอะ ทั้งๆ ที่ตัวบทเอง ก็ไม่ได้เอื้ออำนวยขนาดนั้น พูดให้ชัดๆ ตัวละครตัวนี้ไม่ได้ถูกยกระดับขึ้นมาแบบเดียวกับ “เมลิฟิเซนต์” ของ แอนเจลีนา โจลี (แบบที่มักจะถูกนำมาเปรียบเทียบกันบ่อยๆ) ที่กลับข้างกลายเป็นนางเอกในหนัง The Maleficent แต่เพราะฝีมือ และบารมีส่วนตัวของ กงลี่ แท้ๆ ที่ทำให้ตัวละครมีความโดดเดนในระดับนั้นได้
เช่นเดียวกับตัวละครเอกอย่าง พระถังฯ และ ซุนหงอคง ที่ถึงจะมากันแบบบุคลิกเดิมๆ แต่หนังก็แสดงออกให้เห็นว่า ได้พยายามแล้วที่จะให้รายละเอียดเพิ่มเติม หนังให้ความสำคัญในการวาดภาพความสัมพันธ์ของศิษย์อาจารย์คู่นี้เป็นพิเศษ ให้ดูเป็นคู่หูที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง แต่สุดท้ายกลับมาเติมเต็มซึ่งกันและกัน
โดยเฉพาะเรื่องราวในช่วงท้าย ที่นำไปสู่บทสรุปอันน่าสนใจ แสดงให้เห็นว่าความมุ่งมั่นแบบเกินธรรมดา ที่ทำให้คงมีแต่พระหนุ่มอ่อนโลกแบบ พระถังซัมจั๋ง เท่านั้น ที่จะทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่และยากมากแบบนี้ได้ นอกจากนั้นความหนักแน่นเชื่อมั่นต่ออุดมคติของตัวเองชนิด “ยอมหักไม่ยอมงอ” นี่แหละ ที่เอาชนะใจลูกศิษย์ซึ่งพื้นเพเดิมล้วนเป็นปีศาจที่พูดได้ว่ามีพฤติกรรมอยู่ฝั่ง “อธรรม” กันทั้งแก๊ง ให้ยอมเดินทางร่วมหัวจมท้ายกันไปถึงที่จุดหมายแบบยินยอมพร้อมใจ ไม่ใช่เพราะการบีบบังคับด้วยบทสวด และมงคลรัดศีรษะแต่อย่างใด
The Monkey King 2 เป็นผลงานการกำกับของผู้กำกับชาวฮ่องกง เจิ้งป๋อไช่ ถือว่าเป็นหนังจีนแผ่นดินใหญ่ที่สร้างโดยคนฮ่องกง งานสร้างจึงยิ่งใหญ่อลังการแบบหนังจีนแผ่นดินใหญ่แท้ๆ ที่ต้องชมกันเป็นพิเศษก็คืองานด้านเทคนิคพิเศษ ที่ดูเหนือกว่าหนังจีนร่วมยุคร่วมสมัยเดียวกันเรื่องอื่นอย่างชัดเจน และยัง “เนียน” กว่าหนังภาคแรกแบบเห็นได้ชัดด้วย ทั้งๆ ที่ใช้ทุนสร้างไปแค่ 60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (2,121 ล้านบาท) น้อยกว่า 82 ล้านเหรียญฯ (2,900 ล้านบาท) ของภาคแรกอยู่พอสมควร
อาจจะเพราะได้ลองถูกลองผิดกันในหนังภาคแรกมาแล้ว เมื่อถึงภาค 2 กำหนดการทำงานต่างๆ จึงเป็นไปตามแผน ตั้งแต่เปิดกล้องกันในปลายปี 2014 จนได้เข้าฉายในวันแรกของปีลิงอย่างที่ประกาศเอาไว้ตอนแรกแบบสบายๆ ไม่เหมือนหนังภาค 1 ที่ถ่ายทำกันนานมาก เปิดกล้องในปี 2010 แต่กว่าจะได้ดูก็ตรุษจีน 2014 นั่นเลย
ซึ่งสุดท้ายว่ากันว่าความล่าช้านี่แหละ ที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ ดอนนี เยน โบกมือลาโปรเจ็คนี้ไป เพราะเข็ดกับการทำงานที่ไม่เสร็จซะทีจนกระทบงานอื่นไปหมด แม้หนังภาคแรกจะทำกำไรไม่น้อยก็ตาม
หนังยังมี หงจินเป่า รับหน้าที่กำกับคิวบู๊เหมือนเดิม แต่คอบู๊อย่าไปคาดหวังอะไรเลย เพราะหนังแนวเน้นอภินิหารฉากเหาะเหินเดินอากาศแบบนี้ คงจะไปถามหาแอ็กชั่นมันๆ ไม่ได้อย่างแน่นอน ลีลาของหนังยังค่อนข้างจะเชย การเล่าเรื่องแทบจะเป็นเส้นตรง การแสดง, ตรรกะเหตุผล และภาษาหนังถือว่าเป็นสไตล์ “จีนแบบแท้ๆ” ใครคาดหวังความสนุกแบบเป็นสากลสไตล์หนังฮอลลีวูดก็คงไม่ค่อยถูกใจนัก
7.5/10 ในยุคที่มีหนัง "ไซอิ๋ว" แบบ ตื้อโป้ยก่าย สุดหล่อ, หงอคง มีความรัก, พระถังฯ มีแฟน, แม้แต่ม้าก็ยังมีหัวใจ และอีกมากมายที่ส่วนใหญ่จะเน้น “สร้างสรรค์” กันไปไกลจนหาเค้าเดิมของ “ไซอิ๋ว” แทบไม่เจอ การดูได้ The Monkey King 2 ที่เล่าเรื่องแบบยึดโครงสร้างเดิมกว่าใคร ก็ถือว่าสนุกไม่น้อยเลยจริงๆ
ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม