ถือเป็นผู้ชายในฝันของสาวๆ เลยก็ว่าได้ สำหรับพระเอกหนุ่ม "ฌอห์ณ จินดาโชติ" ที่หลายคนคงทราบกันดีว่าหนุ่มคนนี้เป็นคนที่ให้เกียรติผู้หญิง แถมยังมีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่ในตัวอีกต่างหาก จนหลายคนขนานนามให้เป็น "สามีแห่งชาติ" เพราะความหล่อจากภายในสู่ภายนอก ที่แสนอบอุ่นไปด้วยความรัก ทำให้หลายคนต้องคิดมโนไปไกล
และถ้าเกิดจะพูดถึงวัยรุ่นไทยหลายๆคนก็จะดูถูก แล้วก็มองว่าวัยรุ่นไทยไม่ค่อยจะทำอะไรจริงจังซักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็จะทำไปตามกระแสนิยม เขาว่าฮิตอะไรก็ตามไปด้วย บางครั้งก็แทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย ซึ่งวันนี้เราจะพาไปรู้จักกับผู้ชายที่มีความคิดเป็นของตัวเอง เข้าใจผู้หญิง รวมถึงได้ทำในสิ่งที่เขาเชื่อว่า อันนี้แหล่ะมันเป็นทางที่เขาเลือกแล้ว เป็นทางที่ถูกแล้วก็ทำอย่างเต็มที่ ซึ่งต้องบอกเลยว่าส่วนหนึ่งน่าจะได้จากการเลี้ยงดูจากครอบครัวที่ดีด้วย วันนี้เราจะมาพูดคุยกับ "ณอห์ณ จินดาโชติ" ผู้ชายในฝันของชะนี เก้ง กวาง
จะว่าไปก็มีคนในวงการบันเทิงหลายคนที่ทางต้นสังกัดเห็นแววเลยช่วยกันดันไปให้ถึงฝั่ง แต่ดันแล้วดันเล่าคนเหล่านั้นก็ยังไม่ดังซะที ทำให้บางคนกลายไปเป็นพระรอง นางรอง ตัวประกอบ หรือหายเข้ากลีบเมฆไปเลย และนับว่าหนุ่ม "ฌอห์ณ จินดาโชติ" เกือบเป็นนักแสดงหนึ่งในนั้นที่เข้าขั้น เพราะเจ้าตัวก็โลดแล่นในวงการบันเทิงมาแล้วไม่น้อยกว่า 9 ปี แต่เห็นทีความฮอตและกลับมาดังเปรี้ยงอีกครั้ง เป็นเพราะผู้ใหญ่เปิดโอกาสที่ดีๆเข้ามาให้
"ประมาณ 8-9 ปีครับ ซึ่งตอนแรกเลยผมไม่ได้ตั้งใจจะเข้าวงการบันเทิง ตัวผมเองอยากจะทำงานเกี่ยวกับด้านรัฐศาสตร์การเมืองหรือการทูต เพราะว่าผมเรียนสายนั้นมา แล้วผมเห็นพี่สาวทำงานแล้ว และผมรู้เลยว่ามันเหนื่อยมันหนัก ซึ่งมันต้องแบกทั้งชีวิตในเรื่องส่วนตัว ทั้งชีวิตการศึกษาในช่วงวัยเรียน และอีกหนึ่งสิ่งก็คือเรื่องการงาน หลายคนบอกว่ามันเป็นโอกาสที่ดี แต่คือคนนอกจะไม่รู้เลยว่ามันวางตัวยากมากนะ"
"คุณลองคิดดูนะว่าคุณเป็นเด็กนักเรียนที่วันจันทร์ถึงวันศุกร์คุณต้องเรียนแปดโมงเช้าถึงบ่ายสามโมงเย็น นั้นคือหน้าที่ที่เราต้องรับผิดชอบ หลังจากบ่ายสามโมงเย็นยันเที่ยงคืนคือหน้าที่นักแสดง เราต้องทำสองอย่างควบคู่กัน ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แล้วผมก็เห็นพี่สาวผมเหนื่อยแล้ว ผมมองว่าเราอาจจะไม่เหมาะหรือเปล่า แต่พอจับทางมาเรื่อยๆ อยู่ดีๆ ดวงมันก็มาครับ เป็นช่วงจังหวะที่ผู้ใหญ่ยื่นโอกาส แล้วเรารู้สึกว่าปล่อยให้ผู้หญิงในบ้านทำงานคนเดียวไม่ได้หรอก เพราะเราอยู่กันสามคน มีคุณแม่ คุณพลอย แล้วก็ตัวผมเอง"
"ซึ่งถ้าปล่อยให้ผู้หญิงในบ้านทำงานอย่างเดียว โดยที่ผมมีหน้าที่แค่เรียนหนังสือ ผมรู้สึกว่าผมกินแรงเขาเกินไป ก็เลยเปิดโอกาสให้ตัวเองลองมาทำ พอทำไปเรื่อยๆ เลยรู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่อาชีพ มันไม่ใช่ดาราครับ มันคืออาชีพนักแสดงที่ทำเพื่อหาเลี้ยงชีพตัวเอง และอยากทำให้มันดีก็เลยเริ่มชัดเจนไปเรื่อยๆครับ (ยิ้ม)"
และการกลับมาดังเปรี้ยงอีกครั้ง มันคืออุบัติเหตุที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย แต่ทว่าสิ่งที่ตามมาก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียปะป่นอยู่ สิ่งนั้นคือช่วงเวลาในการดำเนินชีวิตจะห่างหายไป พร้อมกับมีกรอบสี่เหลี่ยมแคบๆ เกิดขึ้นลายล้อมรอบตัวเต็มไปหมด
"ใช่ครับตอนแรกไม่ดังเลย ถ้าถามว่าตอนนี้ผมกลับมาดังรู้สึกยังไง ผมว่าความดังของผมมันคืออุบัติเหตุนะครับ มันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย และมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นทุกคน เกิดขึ้นแล้วทุกคนจะคิดว่ามันจะมีผลที่ตามมา ใช่ครับมันมีทั้งผลดีและผมเสีย จากกิจวัตรที่เราทำจากปกติ มันก็จะกลายเป็นกิจวัตรส่วนร่วมไปแล้ว ทุกคนจะจับตามองทั้งความคิด การกระทำแล้วคำพูดถึงอดีตที่เราเคยทำ"
"ฉะนั้นผมรู้สึกว่ากรอบสี่เหลี่ยมของผมมันแคบมากขึ้น จะทำอะไรมันต้องมีการคิดไตร่ตรองมากขึ้นไปอีก แต่ข้อดีคือการได้รับโอกาสจากสังคมมากขึ้น เราไม่ต้องเหมือนเด็กที่เพิ่งเรียนจบแล้วต้องวิ่งหางาน มันจะมีคนที่เสนอโอกาสดีๆมาให้กับเรา ซึ่งเรามีโอกาสที่จะเลือก แล้วเราก็มีโอกาสที่จะได้รู้จักคนอื่นมากขึ้นครับ มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย"
เพราะวันนี้...ดีที่สุดแล้ว!!
ผมไม่ได้คาดหวังความโด่งดัง แค่ทำเพราะรู้สึกว่า ทุกงานที่ทำต้องให้คนที่ว่าจ้างเราไม่สามารถมาว่าเราลับหลังได้ หลายอย่างมันสะสมประกอบกันพอดี มันก็เลยทำให้มีวันนี้ขึ้นได้
"แม่ผมไม่เคยสอนว่าเล่นละครเรื่องนี้ต้องดัง ถ้าเราทำอย่างนั้นแสดงว่าเราทำแล้วหวังผลประโยชน์ อย่างเราขับรถไปแล้วเราคิดว่าจะต้องดังให้ได้ ซึ่งความกดดันตรงนี้มันจะส่งผลให้งานออกมาไม่เป็นธรรมชาติ เพราะคนสมัยนี้เสพความจริงและงานธรรมชาติสูงว่าคนสมัยก่อน และการคาดหวังเกินไปมันทำให้รายละเอียดบางอย่างทำให้ความสนุกมันหายไป ฉะนั้นการที่ผมเล่นละครเรื่องหนึ่ง และบทบาทที่ผมได้รับมา ผมก็พยายามจะทำให้ออกมาดีสุด ให้สมกับที่ผู้ใหญ่ยืนโอกาสมาให้ (ยิ้ม)"
"และการที่เล่นละครเรื่องหนึ่งจะดังได้นั้น ผมมองว่ามันไม่ใช่แค่พระเอกนางเอก มันคือจังหวะออนแอร์ช่วงนั้นมันติดอะไรไหม ติดการบ้านการเมืองหรือเปล่า มันถูกแบนไหมอะไรแบบนี้ครับ ช่วงนั้นอาจจะไปชนกับละครเรื่องใหญ่ของอีกช่องหนึ่ง คนอาจจะเลือกดูช่องนั้นไม่ดูช่องเรา ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่จังหวะและโอกาส และสิ่งแวดล้อมมันต้องเกื้อหนุนกันด้วย เพราะฉะนั้นผมก็รู้สึกว่าทำให้ดีก็พอ ให้ปัจจัยแวดล้อมมันทำหน้าที่ของมันดีกว่าครับ"
หนังสือที่ทำให้ผมเป็นนักเขียน?
พระเอกหนุ่มรูปหล่อหน้าคมเข้ม โด่งดังเป็นพลุแตก นอกจากบทบาทในการเป็นนักแสดง พิธีกรที่สาวน้อย สาวใหญ่กรี๊ดสลบแล้ว "หนุ่มฌอห์ณ" ยังเป็นนักเขียนที่ไม่ธรรมดาเลย และการก้าวเข้ามาสู่ในวงการงานนักเขียนได้ เพราะความชอบที่รักในการอ่านหนังสือนั้นเอง
"นักเขียนเริ่มมาจากการที่ผมรักในการอ่าน คือผมอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก มันเป็นกิจวัตรประจำวัน แล้วผมชอบไปงานสัปดาห์หนังสือทุกปีตั้งแต่เด็กๆ คุณพ่อมีอยู่ไม่กี่อย่างที่ทำร่วมกับผม คือเขาจะพาผมไปงานสัปดาห์หนังสือ ซึ่งช่วงแรกคุณพ่อเขาก็บังคับให้ผมอ่านทุกชนิด เพราะเขาจะสอนว่าคนเราเลือกในสิ่งที่ตัวเองชอบเสมอไปไม่ได้ เราต้องหัดเปิดใจกับสิ่งที่เราไม่ชอบ ให้เราได้รู้ว่าเราชอบจริงหรือไม่ชอบจริง"
"หลังจากนั้นผมก็ได้เรียนรู้ว่าผมอ่านหนังสือได้หลายแบบ เดือนหนึ่งผมอ่านหนังสือ 3 เล่ม ปัชญา ศาสนา พุทธศาสนา หรือนวนิยาย วรรณกรรมแปล ประวัติศาสตร์ ก็อ่านหมด เพื่อที่เราจะได้เอามาปรับใช้ และเข้าถึงคนอื่นได้มากขึ้น พออ่านไปเรื่อยๆ เราจะเริ่มจับจุด แล้วมีสำนวนของเราเอง แล้วอินสตาแกรมของผมจะเน้นถ่ายรูป กับเขียนข้อความยาวๆ แล้วก็เจอพี่ "โหน่ง วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์" ของนิตยสารอะเดย์ เขาบอกว่าผมมีคาแรคเตอร์ที่แตกต่างมาก สิ่งตรงนี้มันดีไม่อยากให้ทิ้ง ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็ลองมานำเสนองานตัวเองดู แต่ตอนนั้นผมรู้สึกว่าผมยังเด็กเกินไปครับ"
"ตอนผมอายุแค่ 22-23 ผมรู้สึกว่าวุฒิภาวะผมยังเด็กเกินไปที่จะทำให้ผู้ใหญ่อายุ 30-40 ปี ซื้อหนังสือเล่มหนึ่ง ก็เลยไปบวชก่อน สุดท้ายเราก็เลยได้แกร่นมาว่า หนังสือก็คือหนังสือครับ เราทำด้วยเจตนาที่ดี ต้องการสร้างประโยชน์ให้แก่คนอ่าน ส่วนเขาจะได้หรือไม่ได้ก็เรื่องของเขา เจตนาดีตั้งแต่ต้นก็พอ แล้วผมก็เริ่มไปคุยได้มาโอเพ้นเพอร์เฟ็ค หนังสือของผมก็เขียนรวบรวมเรื่องทั้งหมดจาก 500 กว่าเรื่อง มาตัดเหลือ 60 เรื่อง แล้วก็เอามาวางขาย"
ระหว่างงานเขียน กับงานแสดง ไม่มาสามารถแยกจากกันได้ เพราะทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อตัวผม
"คืองานแสดงเป็นสิ่งที่ผมรักนะครับ แต่ก็จะเคียงคู่ไปกับงานเขียน ตอนนี้ผมก็ยังเป็นนักแสดงอิสระอยู่ครับ ถามว่าช่องอื่นมาจีบไหม ก็มีครับ...แต่คือผมจะให้เกียรติกับคนที่ให้โอกาสเราอย่างทางช่อง ONE และทางแกรมมี่ รวมถึงช่อง 3 ที่เคยให้โอกาส ฉะนั้นผมก็เล่นอยู่ไม่ได้ไกลเกินไปกว่านี้มากครับ"
"โอโห้! มันแยกจากกันไม่ได้นะครับ คือไม่ใช่ว่าเราหลายใจ แต่ทุกอย่างที่ทำไป มันมีประโยชน์ต่อตัวผม แล้วมันก็เป็นตัวตนของผมที่สุดแล้ว ฉะนั้นงานแสดงที่ทำให้ผมมีวันนี้ ซึ่งมันก็ทำให้ตัวตนผมชัดเจนขึ้นเลย ก็ไม่อยากทิ้งมันทั้งคู่ครับ (ยิ้ม)"
พระเอกนักออกแบบชีวิต....
เท่าที่ลองสังเกตคนที่โลกส่วนตัวสูงมักจะมีอารมณ์ติสท์ๆ หรือรสนิยมที่ค่อนข้างไปในทางอินดี้มากกว่าทางเมนสตรีมอยู่พอสมควร ซึ่งหนุ่ม "ฌอห์ณ" รับว่าเมื่อก่อนเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงอยู่พอสมควร แต่เมื่อได้เข้าวงการมาทุกอย่างก็ถูกปรับเปลี่ยนไปตามสังคม
"ผมว่ามันไม่ได้สูงขนาดนั้น ผมรู้จักที่จะปรับตัว ความเป็นตัวผมยังเหมือนเดิม เพราะว่าพ่อแม่ผมเลี้ยงมาแบบนี้ ผมไม่ใช่ว่าเข้าวงการแล้วมาเปลี่ยนตัวเองให้สังคมรู้สึกว่าจะแตะต้องได้ทุกอย่าง ความเป็นตัวเราที่คนยังชอบเราอยู่มันก็ยังมี แต่บางอย่างในบางพื้นที่ก็เปิดกว้างมากขึ้น ผมคิดเสมอว่าชีวิตเรามันเป็นวงกลม มันมีหลายเซ็กชั่น คือคุณแม่ผมอยู่เป็นแกนโลก เป็นแกนที่อยู่ตรงกลาง คือสัมผัสผมได้ทุกอย่าง คือเหมือนว่าผมมีปัญหาอะไรก็จะปรึกษาคุณแม่ตลอดครับ"
"ถนัดมาเซ็กชั่นของคนรอบตัว มิตรสหายที่ผูกพันกันมา ต่อมาก็คือเซ็กชั่นของเพื่อนร่วทงาน ถนัดมาหน่อยก็คือผู้พบปะ ฉะนั้นทุกคนเข้ามาในพื้นที่ผมได้หมด แต่ตัวคุณจะอยู่ในเซ็กชั่นมันขึ้นอยู่ที่ตัวผมกับตัวคุณว่ามันจะเข้ากันได้มากแค่ไหน อันนั้นผมไม่ปิดเพราะผมเปิดให้ทุกคนอยู่แล้ว มันขึ้นอยู่ที่ว่าจะเข้าได้แค่ไหนเท่านั้นเองครับ"
ส่วนเรื่องที่หลายคนบอกว่าคนที่มีโลกส่วนตัวสูงนั้นจะมีวิธีจัดการกับอารมณ์อย่างไร สำหรับตัวผมเองเป็นคนที่ใช้อารมณ์นะ แต่ยิ่งโตก็ทำให้เราได้เรียนรู้จากการวางตัว การที่เราใช้อารมณ์เป็นกลางมันค่อนข้างจะเซฟสุดแล้ว แต่เรื่องความโกรธมันมีบ้างอยู่แล้วแหละ แต่สุดท้ายแล้วสติจะเป็นเรื่องที่ทำให้เราอยู่รอดได้ คือผมรู้แล้วว่าวันนี้ไปทำงาน คือผมจะรู้ว่ามันไม่มีสิ่งที่ผมจะโกรธเลย หรือว่าผมจะหงุดหงิด เพราะนั้นคืองานที่ผมรับ และเป็นสิ่งที่ผมต้องรับผิดชอบ ซึ่งมันมีผลต่อเราแล้วมันจะมีผลต่อคนอื่น ฉะนั้นความใจเย็นและการรับฟังผู้อื่นจะสามารถช่วยแก้ปัญหาดับวุฒิภาวะทางอารมณ์ได้ (ยิ้ม)"
ชีวิตที่เขียนเอง!!
เป็นดาราหนุ่มที่เริ่มเข้าวงการตั้งแต่อายุ 17 ปี ถือว่าเด็กแต่เจ๋งมาก เมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน เริ่มต้นอาชีพการเป็นนักแสดง ด้วยบุคลิกและท่าทาง หน้าตาหล่อ พูดจาเก่ง มีเสน่ห์ หลังจากนั้น "ฌอห์ณ จินดาโชติ" ก็ได้มีผลงานมากมาย เป็นโอกาสที่ดีที่เขาได้มีการแสดง รวมไปถึงการเป็นพิธีกร นายแบบ ออกงานโชว์ต่างๆ ทำให้หนุ่มคนนี้มีรายได้จากการทำงานตั้งแต่เด็ก และเมื่อถามย้อนกลับไปถึงเรื่องของอนาคต เจ้าตัวบอกผมอยากมีครอบครัว และอยากมีลูกให้โตทันไปพร้อมกับตน
"สิ่งที่ภูมิใจมากที่สุดในชีวิตคือ การที่คุณแม่ผมเขาพูดว่า เขาภูมิใจที่ผมเป็นคนแบบนี้ เพราะผมสามารถเลี้ยงดูครอบครัวผมได้โดยที่ผมไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากใคร ผมว่าสิ่งนี้แหละคือสิ่งที่ผมภาคภูมิใจที่สุดแล้วครับ"
"ถ้าถามถึงเรื่องของอนาคต ผมมีแพลนตามอายุแล้ว ตอนนี้ผมมีธุรกิจเสริม ทั้งอสังหา รวมถึงการลงทุนผมทำไว้หมด แต่ที่มองก็คือเรื่องของอนาคต เพราะผมอยากมีครอบครัว ตอนนี้วัยผมอาจจะ 27 ปี แต่ผมก็มองไว้ 3-4 ปีข้างหน้า ผมก็อายุ 30 กว่าละ ผมก็ต้องมีครอบครัวของตัวเอง ผมก็อยากโตทันลูกผมด้วย แล้วเรื่องพวกนี้ผมจะไม่ค่อยบ่ายเบี่ยงที่จะมีครอบครัวเลยนะ ผมรู้สึกว่ามันดีซะอีกที่เราจะโตไปพร้อมลูกๆ เราไม่อยากแก่เกินไปในยุคเด็ก 2000 เดี๋ยวไม่ทันพวกเขา"
บอกตอนนี้ก็มีโอกาสไปเยี่ยมหลายทุกอาทิตย์อยู่แล้ว ส่วนเรื่องที่กลัวว่าหลานไม่รักนั้น ผมมองว่าเรื่องความรักเป็นเรื่องของเขา แต่ตนอยากอยู่ในทุกๆช่วงเวลาของเขาให้มากที่สุด
"ก็ไปหาทุกอาทิตย์เลยครับ เห็นว่ากลัวหลานจะไม่รักหรอ ผมว่ารักไม่รักมันเป็นเรื่องของเขานะครับ พ่อแม่เลี้ยงมากับมือเขายังไม่รักพ่อแม่เลยก็มี ฉะนั้นผมแค่อยากอยู่ในทุกช่วงเวลาของเขาให้มากที่สุดเพราะเด็กโตไวมาก อย่างรองเท้า 2-3 เดือนต้องเปลี่ยนไซต์แล้ว ผมแค่อยากให้เขารู้ว่าช่วงเวลาเด็กมันเป็นช่วงเวลาที่เก็บเกี่ยวความทรงจำ อยากให้เรามีภาพอยู่ในหัวของเขาบ้าง ว่าเห้ยเราพาเขาไปเรียนนะ ไปว่ายน้ำ เตะบอล คือผมอยากอยู่ในทุกเวลาตรงนั้น เพราะพอเขาเป็นหนุ่ม เขามีแฟน เขาจะได้จำว่าน้าก็เคยอยู่กับเราตรงนี้นะ"
มิตรภาพกับความรัก
ก้าวขึ้นมาอยู่ทำเนียบพระเอกเต็มตัว แถมยังมีข่าวคราวกุ๊กกิ๊กนอกจอชวนแฟนคลับจิ้น “เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา” อยู่บ่อยครั้ง งานนี้เลยขอนัดแนะหนุ่ม “ฌอห์ณ” มานั่งพูดคุยถึงเรื่องหัวใจ รับรองว่าจะยิ่งหลงรักผู้ชายคนนี้แน่นอน
"ความรักของผมเป็นเรื่องของมิตรภาพล้วนๆเลยครับ เพราะผมไม่ได้มีใคร มีเขาเข้ามาในชีวิตแล้วผมก็พยายามเก็บเขาให้อยู่ในชีวิตผมให้ได้ เพราะยิ่งโตอายุยิ่งมากเพื่อนยิ่งน้อยลงเป็นปัจจัยที่สวนทางกันอันนี้เป็นเรื่องจริง และผมจะไม่เสียคนที่ดีไปแน่นอน รอบตัวคนเขาเข้ามาหาผมก็จริง แต่คนที่เข้ามาก็มักจะพาผลประโยชน์กับเรามันก็มาก ฉะนั้นผมรู้สึกว่าความรักของผมมีแต่มิตรภาพจากเพื่อน และครอบครัวครับ (ยิ้มหวาน)"
"ส่วนกับเอสเธอร์ อันนั้นมันเป็นเรื่องของคู่จิ้นมากกว่าครับ แล้วน้องก็ยังเด็ก ผมไม่ได้มองเรื่องความรักแบบนั้น ทุกวันนี้เข้ากองมองหน้าเขาก็ทำงานออกมาให้ดี รักษามาตราฐานของเราที่ทำไว้ด้วยกัน และผมยอมรับว่าที่ผมประสบความสำเร็จส่วนหนึ่งก็มาจากเด็กคนนี้ ไม่เคยพูดแล้วก็ไม่เคยเตือนตัวเองเลยว่าผมมาด้วยตัวของผมเอง มาด้วยกันฉะนั้นให้เกียรติเขาที่เคยร่วมงานจากศูนย์มาด้วยกัน แต่เรื่องของความรักผมไม่ได้มอง เพราะผมว่าอยู่ดีๆ จะมาโฟกัสเรื่องนี้กับเด็กผู้หญิงที่อายุแค่นี้มันไม่ใช่ แล้วเรื่องผู้หญิงผมเป็นคนที่ไม่มีสเปคครับ (หัวเราะ) อย่างคนอื่นมาคุยกับผมถูกใจ ผมก็จะจีบเลยแหละ"
"กับประเด็นที่บอกว่าแม่ของน้องไม่ปลื้มเรานั้น ผมกับคุณแม่ของน้องไม่เคยคุยกันเป็นการส่วนตัว มากที่สุดก็คือสวัสดีครับ และก็บ๊ายบาย แล้วถามว่าคุณแม่สบายดีไหมแค่นั้นเอง และเราเองก็ไม่ได้เข้าไปล้ำเส้นเขา จริงๆผมรู้สึกว่ามันเป็นสิทธิที่จะชอบหรือไม่ชอบก็แล้วแต่ ตัวผมรู้ทุกการกระทำของตัวเอง ผมไม่เคยล่วงเกินไม่เคยอะไรเลย และทุกครั้ง ขณะที่ผมอยู่กับใครที่ไหนสักแห่งหนึ่ง ผมก็ยังพูดให้เกียรติเขาเลยว่า ส่วนหนึ่งที่ผมประสบความสำเร็จได้ก็เพราะน้องเขา ฉะนั้นเราห้ามความคิดคนไม่ได้ ถ้าเกิดเป็นเรื่องจริง ผมก็ไม่เป็นไร ผมก็ยังต้องเดินหน้าต่อไป แต่ถ้าเรื่องมันไม่จริงผมก็ไม่ค่อยซีเรียสเท่าไหร่ครับ (ยิ้ม)"
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงความรักได้ นอกจากคนสองคนเท่านั้นที่เปลี่ยนมันได้
"เรื่องของมือที่สามยิปซี กับ เจษ อันนั้นก็ไม่ใช่เรื่องจริงครับ หนึ่งผมบวชมาแล้ว ผมรู้จักศิล 5 ดีว่ามันเป็นอย่างไร แล้วเรื่องที่สองคือก่อนหน้านี้เป็นเรื่องตลกครับ ผมกับเขาลงรูปกันปกติมาโดยตลอดสามคน ฉะนั้น 52- 54 สัปดาห์ ทุกคนคุ้นเคยกับภาพนี้เป็นอย่างดี แต่วันหนึ่งเมื่อชีวิตที่ประสบความสำเร็จขึ้นทุกคนพยายามที่จะหารู หรือหาข้อบกพร่องต่างๆ เพื่อเอามาเป็นข้อเปรียบเทียบกัน ซึ่งการที่ผมลงรูปผู้หญิงมันไม่ได้แปลว่าจะไปคิดอะไรเกินเลย แต่ว่าผมให้เกียรติเขาต่างหาก"
"คือผมไปเที่ยวกับเขาแล้วทำไมผมต้องปิดปังทุกคน ในเมื่อผมนั่งกินข้าวไม่ได้จับไม้จับมือ เขามีแฟนของเขาผมให้เกียรติตรงนั้น ซึ่งสิ่งที่ผมทำได้ก็คือเปิดเผย ไปกับผู้ชายบางคนก็อยากให้เเกียรติมากและต้องการความชัดเจน ผมรู้สึกว่าเนี่ยคุณเป็นเพื่อนเรา ซึ่งเราก็ให้เกียรติในแบบเพื่อน เจษก็เหมือนกัน แต่อันนี้เป็นเรื่องของเขาสองคน เขาจะจบลงแบบไหนก็เป็นเรื่องของเขา ในฐานะของความเป็นเพื่อนมีอะไรปรึกษาผมครับ ฉะนั้นไม่อยากให้เอาผมเข้าไปโยงตรงนั้น ไม่นั้นผู้หญิงก็จะดูไม่ดี มันไม่ใช่"
ผู้ชายอบอุ่นในทัศนะคติของหนุ่ม "ฌอห์ณ" เป็นแบบไหน?
"มันมีอยู่ไม่กี่ข้อครับ 1. การดูแลครอบครัวที่ดี 2.การให้เกียรติกับผู้หญิง 3.คิดเผื่อคนอื่นให้มาก ผมว่าความอบอุ่นมันไม่ได้วัดจากคำพูดนะ คุณอาจจะรู้สึกว่าไอนี่มันตอแหลหรือเปล่า แต่คุณดูที่การกระทำของเขาได้ ว่าสิ่งที่เขาทำจุดประสงค์เขาคืออะไร การที่ผู้ชายบางคนเปิดประตูให้ผู้หญิงก็ไม่ได้แปลว่าเขาสุภาพบุรุษเสมอไป ข้างในรถเขาอาจไปลวนลามกันก็ได้ ฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือการดูกันระยะยาว ซึ่งผู้หญิงจะมีบางอย่างบอกว่าผู้ชายคนนี้เขามาเพื่อจุดประสงค์อะไร อันนั้นจะเป็นตัวบอกคุณได้ว่าสุภาพบุรุษคือแบบไหน"
มีแฟนคลับหลายคนถามมาว่า อยากเห็นฌอห์ณถ่าบแบบเซ็กซี่บ้าง?
"ผมว่ามันค่อนข้างจะยาก เพราะหนึ่งตั้งแต่ที่ผมก้าวขาเข้ามาผมชัดเจนอยู่แล้วว่าตัวผมเองเป็นคนอย่างไร ผมเขียนหนังสือให้คนอ่าน ผมหาเหตุผมหลักความคิดที่สร้างสรรค์ให้คน สองผมไม่ได้มาขายสรีระ แค่ทำให้ตัวเองดูกระชับ แล้วไม่ดูน่าเกียรติก็พอ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือครอบครัวผม เส้นทางในการวางครอบครัวมันเป็นแบบนี้ เราก็อยากที่จะคงเส้นให้เป็นอย่างนี้"
อยากฝากบอกอะไรถึงแฟนคลับมั้ย?
"ขอบคุณแฟนคลับทุกคนมากนะครับ คือจริงๆ แม่ผมบอกได้ดีก็เพราะมาจากพวกคุณทุกคน พวกเขาคือผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการ ทุกอย่างที่ผมใช้ ทุกอย่างที่ผมทำ ทุกอย่างที่ผมมี มาจากแรงซัพพอต ก็ขอบคุณมากครับ ปีนี้เป็นปีที่ดี ตั้งแต่ปี 58 ยันมาปี 59 สิ่งที่ผมทำอะไรดีก็ฝากต่อไป และสิ่งที่ไม่ดีก็แยกแยะกันไปทีละเรื่อง แต่ยังไงก็ขอบคุณมาก ยังมีผลงานที่เราต้องเจอกันแล้วก็ฝากติดตามผมไปเรื่อยๆ แล้วกันครับ"