ถ้าถามใจของคนที่ลงสนามแข่งขัน หรือขึ้นเวทีประกวดทุกประเภท ร้อยทั้งร้อย เป็นต้องตอบว่าความใฝ่ฝันคือ
“อยากชนะ”
แต่เอาเข้าจริงๆ ยอมรับกันมั้ยล่ะว่า การขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ชนะ ได้ถ้วย ได้เหรียญทอง ได้มงกุฎ หรือสายสะพาย ก็ไม่ใช่
เครื่องการันตีว่าคนคนนั้น จะประสบความสำเร็จกับหนทางที่จะเดินต่อ
“บี้-สุกฤษณ์ วิเศษแก้ว” ก็ไม่ได้เป็นแชมป์ “เดอะ สตาร์” คว้าได้เพียงตำแหน่งรอง แต่สุดท้าย กลับโด่งดังยิ่งกว่า
“อาร์-อาณัตพล ศิริชุมแสง” ผู้ชนะเลิศในปีเดียวกัน และพูดก็พูดเถอะ ว่าบี้ถือว่าดังที่สุดในบรรดาเดอะ สตาร์ทั้งหมดด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะในปีนี้ที่กระแสของรายการประเภทเรียลิตี้ ชิงดำกันด้วยการสร้างปมดรามาเพื่อปั่นเรตติ้ง แม้ว่าผู้จัด ผู้ผลิตทุกคน จะ (พยายาม) ออกมายืนยันว่า ทุกเรื่อง ทุกซีนในรายการ ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจริง ไม่มีการอิงสคริปท์ แต่เรื่องราวดรามาเหล่านั้น นอกจากจะกระตุ้นในรายการมีกระแสขึ้นมาแล้ว อานิสงส์อีกอย่างที่ตามมาก็คือ บรรดาผู้เข้าประกวด ที่ร่วมเดินอยู่ในเกมการตลาดของแต่ละรายการ จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตามแต่ ก็พลอยมีกระแสขึ้นมาด้วย
แต่ก่อนเราอาจจะเห็นการตีโพยตีพายว่าเวทีนั้นเวทีนี้ล็อกผู้ชนะ ทว่าเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป เป็นไปได้มั้ยว่า ตอนนี้ทุกรายการเปลี่ยนเกมเป็นการล็อกผู้แพ้ เพื่อให้เกิดกระแสการต่อต้านในโลกโซเชียล ยิ่งต่อต้านหนัก เรตติ้งก็ยิ่งพุ่ง
ดังจะเห็นได้จากปรากฏการณ์จากความพ่ายแพ้ของ “น้ำหวาน-รักษ์ณภัค วงศ์ธนทัศน์” จากรายการ The Face 2 หนึ่งในลูกทีมของเมนเทอร์ “คริส หอวัง” ที่ถูกส่งไปเข้าห้องดำ ร่วมกับลูกทีมของเมนเทอร์ “ลูกเกด-เมทินี” เพื่อให้เมนเทอร์ “บี-น้ำทิพย์” ซึ่งเป็นทีมชนะในแคมเปญประจำสัปดาห์ตัดสินว่าจะเชือดใครออก และจะเก็บใครไว้ ซึ่งการที่คริสตั้งใจส่งน้ำหวานเข้าไป เพราะมั่นใจว่ายังไงก็ต้องกลับมา ซึ่งถ้าเทียบฟอร์มต่อฟอร์มแล้ว น้ำหวานดูมีภาษีเหนือกว่า “ตีญ่า” ลูกทีมของลูกเกดจริงๆ แต่สุดท้ายกลับโดน เมนเทอร์บี “เล่มเกม” ตลบหลังกลับ โดยการเขี่ยตัวเกร็งออก เสมือนตั้งใจจะตัดแขน ตัดขาทีมคริส
ทว่า อานิสงส์ของการถูกเขี่ยให้พ้นทาง กลับส่งให้น้ำหวานโดดเด่น เป็นที่จดจำ และถูกพูดถึงกันสนั่นโลกออนไลน์ โดยส่วนใหญ่จะพุ่งน้ำหนักไปที่การไม่เห็นด้วยที่เธอถูกเขี่ยให้ตกรอบ จากการตัดสินที่ไม่เป็นธรรมของบี ซึ่งค้านสายตาของคนดูมหันต์
ถึงวันนี้น้ำหวานอาจจะต้องขอบคุณบีด้วยซ้ำ (ถ้าเป็นการตัดสินของบีจริงๆ โดยไม่มีสคริปท์) ที่ทำให้เธอแจ้งเกิด จากนางแบบโนเนมกลายเป็นดาวจรัสแสงเพียงชั่วข้ามคืน มีคนให้ความสนใจ ติดตามชีวิตและให้กำลังใจกันอย่างล้นหลาม จนยอดฟอลโลในไอจีพุ่งขึ้นจาก 5,000 คนเป็น 335,000 คน จากที่เคยรับงานเอง ประเภทเดินแบบ โชว์ตัวก๊อกๆ แก๊กๆ ตอนนี้ก็มีผู้จัดการที่เข้ามาช่วยสกรีนงานให้ แถมยังป็นผู้จัดการคนเดียวกับดาราระดับหัวแถว อย่างชมพู่-อารยา , คริส หอวัง ,ไอซ์-อภิษฎา งานที่ไหลมาเทมาตอนนี้ จึง อัปเกรดขึ้นเป็นงานพรีเซ็นเตอร์ , รีวิวสินค้า , งานมิวสิกวิดีโอ และที่แน่ๆ ก็คืองานละคร ทั้งของกันตนา และของช่อง 3 ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ก็น่าจะประเดิมด้วยละครรีเมกเรื่อง”ปะการังสีดำ” ในบทของผีปะการัง
“ไข่มุก-รุ่งรัตน์ เหม็งพานิช' จากรายการ The Voice ซีซัน 4 ก็ดูเหมือนจะเดินตามรอย และมีความเป็นไปได้ว่า อาจจะใช้เกมการตลาดเดียวกับน้ำหวาน ด้วยการวางหมากให้เธอพ่ายแพ้ในรอบ Live Performance
น้ำเสียงและสไตล์การร้องของไข่มุกโดดเด่นมาตั้งแต่รอบ Blind Auditions ที่เธอมาในเพลงลูกทุ่ง “เรารอเขาลืม” ก่อนที่จะผ่านเข้ารอบ และเลือกที่จะอยู่ทีมโค้ช “โจอี้บอย” ซึ่งกดปุ่มให้เธอตั้งแต่ร้องจบท่อนแรก
จนมาถึงรอบน็อกเอ้าท์ ไข่มุกก็ยิ่งโดดเด่นมากขึ้น เมื่อเธอเลือกร้องเพลง “ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน” มาเอาชนะคู่ต่อสู้ ท่ามกลางเสียงปรบมือชื่นชมเกรียวกราว และมียอดผู้ชมในยูทูบกว่า 4.7 ล้านคน ซึ่งทุกคนต่างก็คาดหมายว่าเธอจะต้องลอยลำผ่านเข้าไปเป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันในรอบสุดท้ายแน่นอน
แต่เมื่อเกมดำเนินไป กลับกลายเป็นไข่มุกที่เป็นฝ่ายต้องพ่ายแพ้ โดยคนส่วนใหญ่พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาดของโค้ชโจอี้บอย ที่เลือกเพลงผิดให้เธอ แทนที่จะเลือกเพลงลูกทุ่งที่เธอถนัด และทำได้ดีในทุกรอบ กลับเลือกเพลงสากล “Loving You” มาให้ร้อง ทำให้ไข่มุกต้องตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย ร้อนถึงทางโค้ชโจอี้ต้องออกมาโพสต์ข้อความขอโทษ (ตามฟอร์ม) น้อมรับในความผิดพลาดโดยสุจริต ถึงขนาดขอพิจารณาการเป็นโค้ชของตัวเองใหม่ ก่อนจะทิ้งท้ายว่าขอแก้ตัวด้วยซิงเกิ้ลผลงานดีๆ ในชีวิตจริงของน้องๆ ในทีม ซึ่งทำให้เกิดการคาดเดากันต่อไปอีกว่า มีการเตรียมการไว้รอท่าแล้ว
อย่างไรก็ตาม ไข่มุกก็ได้รับอานิสงส์ผลพวงจากความพ่ายแพ้ที่พลิกชีวิตเธอไม่ต่างจากกรณีของน้ำหวาน ไม่มีสื่อสำนักไหน ที่จะไม่หยิบยกเรื่องราวของเธอมานำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นแง่มุมในเรื่องความสามารถ หรือแง่มุมของการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ด้วยการเป็นอาสากู้ภัย ยังไม่นับเรื่องหน้าตา ที่หลายคนมองว่าประพิมพ์ประพายคล้ายกับนางเอกญาญ่า-อุรัสยา
พูดง่ายๆ ว่าตอนนี้ไข่มุกดังเกรียวกราวยิ่งกว่าผู้เข้าประกวดทุกคนในรุ่นเดียวกัน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ชนะ เผลอๆ ดีไม่ดี สุดท้ายปลายทางผู้ชนะอาจจะดังไม่เท่าไข่มุกด้วยซ้ำ
ไม่ว่าทั้งน้ำหวาน และไข่มุก จะพ่ายแพ้เพราะเกมการแข่งขันจริงๆ หรือเป็นเพียงกลไกของการตลาด ที่วางให้ทั้งคู่เป็นหมากตัวหนึ่ง บางทีการที่ทั้งคู่ถูกวางให้พ่ายแพ้ อาจจะไม่ใช่การ “ตัดอนาคตเด็ก” เหมือนที่ทั้งเมนเบอร์บี และโค้ชโจอี้ถูกกระแสโจมตีสนั่นเมือง ตรงกันข้าม อาจจะเป็นการสร้างโอกาส เพิ่มมูลค่าทางการตลาด และต่อยอดให้เธอโลดแล่นในวงการบันเทิงได้อย่างงดงาม เป็นชัยชนะที่มาจากความพ่ายแพ้จริงๆ
...ขอบคุณที่ทิ้งกัน...
อาจจะเป็นคำทิ้งท้ายที่ทั้งน้ำหวาน และไข่มุก อยากจะบอกไปถึงเมนเบอร์บี และโค้ชโจอี้
ที่มานิตยสาร ASTV สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 318 28 12-18 ธันวาคม 2558