จุดเด่นที่มักจะพบเห็นได้ในหนังของ “เดนิส วิลเลเนิฟ” นอกเหนือไปจากการผูกเรื่องเล่าเรื่องซึ่งปลุกเร้าความอยากรู้และร่วมเดินทางไปกับหนังแบบไม่วางสายตา อันเปรียบเสมือนเคล็ดวิชาของหนังเชิงสืบสวนสอบสวนที่เดนิสทำได้สำเร็จ อีกสิ่งหนึ่งซึ่งทรงพลังอย่างแรงในหนังของผู้กำกับคนนี้คือการมาพร้อมกับบทสรุปอันได้แก่ “ความจริง” ที่เฆี่ยนตีความรู้สึกอย่างบาดลึกและร้าวราน...
ผลงานก่อนหน้านี้ ถ้าไม่นับรวม “เอนีมี่” (Enemy) ที่ค่อนข้างยากในการทำความเข้าใจ หนังอย่าง “พริซันเนอร์ส” (Prisoners) ก็กล่าวได้ว่าทรมาทรกรรมความรู้สึกของคนดูอย่างรุนแรงด้วยบทสรุปเกี่ยวกับประเด็นของ “คนบาป” ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนเคลื่อนไหวหลายริคเตอร์ไปถึงบรรดาคนทั้งหลายซึ่ง “คิด” และ “เข้าใจ” ว่าตนเองนั้นเป็น “คนดี” ว่าโดยเนื้อแท้แล้ว ดีจริงหรือไม่? นี่คือพลังทางเนื้อหาที่ส่งให้หนังของเดนิส วิลเลเนิฟ มีความเข้มข้นและตึงเครียด พร้อมกับเบียดแทรกด้วยการสร้างสถานการณ์ของเรื่องที่เล่นกับความรู้สึกกดดันบีบคั้นของคนดูได้อย่างอยู่หมัด
อันที่จริง เดนิส วิลเลอเนิฟ ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวแคนาดาคนนี้เคยมีผลงานที่ไปไกลในระดับได้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมมาแล้ว จากเรื่อง “อินเซ็นดี้ส์” (Inecendies) เมื่อปี 2010 โดยส่วนตัว ผมเห็นว่าเดนิส วิลเลเนิฟ เป็นคนทำหนังที่ซีเรียสจริงจังกับผลงานของตัวเองมาก ผลงานสี่เรื่องในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมา กล่าวได้ว่าไม่มีเรื่องไหนที่ไม่ส่งผลลัพธ์เป็นความสะเทือนใจแก่คนดูผู้ชม หรือถ้าจะพูดให้ได้ใจความแบบสั้นๆ ก็คือ ทุกเรื่องล้วนแล้วเป็นหนังดี เช่นเดียวกับผลงานชิ้นใหม่นี้อย่าง “ซิการิโอ” (Sicario) ซึ่งชื่อหนังเป็นภาษาสเปน มีความหมายถึง “นักฆ่า” (Hitman)
“ซิการิโอ” พาเราเดินทางเข้าไปในโลกแห่งการค้ายาเสพติดซึ่งมีอาชญากรรมและความรุนแรงเป็นส่วนประกอบ ส่วนที่ดีมากๆ ของหนังเรื่องนี้อยู่ที่การอำพรางเป้าหมายแห่งภารกิจที่เราจะไม่มีทางเดาออกได้ว่ามันจะไปจบลงตรงจุดใด หรือต่อให้รู้เป้าหมาย ก็จะเดาใจตัวละครไม่ออก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สองตัวละครซึ่งเป็นเสาหลักของภารกิจ ทั้ง “จอช โบรลิน” ในบท “แม็ท” และ “เบนิชิโอ เดล โตโร” ในบทอดีตอัยการที่เบนเข็มทิศสู่การเป็นทหารรับจ้าง ด้วยเหตุดังนี้ เราจึงพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า เสน่ห์อันล้นเหลือของหนังเรื่องนี้ คือตัวละคร...
“จอช โบรลิน” นั้นนับเป็นหัวโจกของภารกิจและหนังก็จะไม่ค่อยเผยความคิดที่แท้จริงของเขาให้เรารู้ เช่นเดียวกับการปรากฏตัวขึ้นมาของ “เบนิชิโอ เดล โตโร” ซึ่งชวนให้สงสัยตั้งแต่ตอนแรก ขณะที่มุมกล้องตอนจับจ้องเดล โตโร หลายต่อหลายครั้ง ก็เป็นมุมกล้องลักษณะที่ว่า ถ้าไม่สว่างครึ่งหน้า (ซ้ายมืด ขวาสว่าง ซ้ายสว่าง ขวามืด) ก็มักจะเป็นมุมกล้องแบบที่มองเขาจากด้านหลัง (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่เขาสนทนากับใครสักคนตรงถังกดน้ำดื่ม) ซึ่งการถ่ายภาพตัวละครแบบนี้ มีความหมายในการสื่อถึงความคลุมเครืออย่างเด่นชัดของตัวตนของตัวละครนั้นๆ
ขณะที่อีกหนึ่งตัวละครซึ่งรับบทโดยเอมิลี่ บลันท์ น่าจะกล่าวได้ว่าเป็นบทที่คลีนและเคลียร์ที่สุดตั้งแต่ภาพโปสเตอร์ซึ่งเราจะเห็นเธอชัดเจนเด่นกว่าใครเพื่อน (อย่างน้อยๆ ก็เรื่องไซส์ของภาพที่มีขนาดใหญ่กว่าคนอื่นๆ) อีกทั้งการจัดวางชื่อของเธอไว้ในระหว่างนักแสดงชายทั้งสองคน “เบนิชิโอ เดล โตโร” กับ “จอช โบรลิน” ก็เหมือนจะมีความหมายบ่งบอกเป็นนัยๆ ถึงอะไรบางอย่าง เหมือนถูกกักขวางให้อยู่กรอบ และสิ่งนี้ก็ส่งไปถึงหนังจริงๆ เพราะเมื่อดูหนังไปเรื่อยๆ เราก็จะพบว่า ตัวละครของเอมิลี่ บลันท์ นั้น เหมือนถูกผลักให้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์แบบ “ไดเลมม่า” (Dilemma) คือจะไปขวาก็ไม่ได้ จะไปซ้ายก็ไม่รอด ต้องจอดค้างอยู่ระหว่างสองความคิด
เอมิลี่ บลันท์ กับบท “เคท มาร์ซี่” เธอคือพนักงานเอฟบีไอที่ถูกดึงเข้าไปร่วมในภารกิจสืบสวนไล่ล่าเจ้าพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ของเม็กซิโก กล่าวได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ “ไฟแรงเฟร่อ” คนหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้น สถานการณ์กลับดูไม่ราบรื่นเหมือนอย่างที่คิด เพราะยิ่งเข้าไปอยู่ในภารกิจนานเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งกลับพบว่าตนเองแทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับภารกิจนี้ พอๆ กับที่คนดูผู้ชมอย่างเราๆ ท่านๆ ที่ยากจะคาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในลำดับถัดไป บรรยากาศของหนังนั้นโอบล้อมไว้ด้วยปริศนาความน่าเคลือบแคลงสงสัย ไม่เพียงแค่ตัวละครฝั่งถูกล่าที่ไม่เปิดเผยโฉมหน้า แม้แต่ฝั่งของผู้ล่า ก็ดูเหมือนว่าเราจะยังไม่ได้เห็น “โฉมหน้า” ที่แท้จริง
เป็นความจริงครับว่า “ซิการิโอ” นั้นเป็นหนังที่ดูสนุกมากๆ เรื่องหนึ่ง หลายคนดูหน้าหนังหรือตัวอย่างแล้วก็คงคาดหวังในเรื่องแอ็กชั่นการต่อสู้ (ด้วยปืน) ซึ่งผมเห็นว่าหนังทำออกมาได้ดีมาก และดูสมจริง ปกติ หนังยิงกันมักจะ “เล่นใหญ่” แบบที่เราดูก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องแต่งหรือเรื่องโม้ แต่ซิการิโอทำฉากเหล่านั้นออกมาแบบดูสมจริงและระทึกใจมาก ไม่ว่าจะฉากบนถนน (ดังที่เห็นในตัวอย่างบางส่วน) ฉากในถ้ำ ไปจนกระทั่งฉากบนถนนอีกครั้งตอนที่เผชิญหน้ากับตัวร้ายระดับรอง และเหนืออื่นใด ฉากสุดท้ายที่เจอเจ้าพ่อตัวเอ้ ฉากนี้ควรกล่าวได้ว่าเป็นอีกหนึ่งฉากซึ่งจะเป็นที่จดจำไปอีกนานสำหรับนักแสดงผู้อยู่ในฉากดังกล่าว
เหมือนอย่างที่เกริ่นกล่าวเล่าไว้ในตอนต้น ผลงานของผู้กำกับเดนิส วิลเลเนิฟ นั้นมักจะมีจุดที่โบยตีความรู้สึกของคนดูได้แบบเจ็บปวดร้าวลึกเสมอๆ และในซิการิโอนี้ก็เช่นกัน หนังพูดถึงยาเสพติดและพยายามล้วงลึกเข้าไปในโลกแห่งการปราบปรามการค้ายา โดยมีพี่บิ๊กอย่างอเมริกาเป็นหัวหอกสำคัญ เนื่องจากหากมองตามสถานการณ์ในหนัง จะพบว่าปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งของอเมริกา ของมึนเมาเหล่านั้นไหลหลั่งเข้าไปในอเมริกาผ่านช่องทางต่างๆ อย่างน้อยสองช่องทางที่หนังอ้างถึงคือจากโคลัมเบียและเม็กซิโก ซึ่งในเม็กซิโก มีสองเมืองที่หนังเอ่ยถึงคือ “แอลพาโซ” และ “ฮัวเรซ” ที่เปรียบเสมือนเมืองหลวงแห่งหนึ่งของยาเสพติดที่ซิการิโอจะเข้าไปทลายทะลวง
...หลังจากพูดเรื่อง “คนบาป” ในเรื่อง “พริซันเนอร์ส” เดนิส วิลเลเนิฟ ดูจะพลิกขั้วเปลี่ยนข้างกลับมาพูดเรื่องของคนดีๆ...คนดีๆ ที่อยากจะเห็นสังคมดีงาม และพยายามเหลือเกินที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปในแบบแผนที่ถูกที่ควร หรืออย่างน้อยที่สุดก็เป็นไปตามกฎหมายและศีลธรรมของคนดี แต่ความจริงที่หนังหยิบมานำเสนอ มันกลับมีแง่มุมที่สลับซับซ้อนเกินกว่านั้น และเสมือนว่าโลกใบนี้ไม่ได้เหมาะกับคนซึ่งคิดว่าควรยึดหลักความถูกต้องตามแบบแผนความดีร้อยเปอร์เซ็นต์อีกต่อไปแล้ว
มันคือวันที่ความดีมีจุดด่างดำ
เหมือนวันที่จำต้องยอมต่อความชั่วร้ายเพื่อการดำรงอยู่ได้ของความดีบางอย่าง
ด้วยเหตุนี้ เมื่อหนังเดินไปถึงจุดที่คลี่คลายเงื่อนปมปริศนา พลังของความสะเทือนอารมณ์จึงรุนแรงและร้าวลึกกับความจริงที่ประจักษ์ และมีบางคนต้องใจสลาย กับชัยชนะบนความพ่ายแพ้...
สรุปสุดท้าย ซิการิโอ เป็นหนังที่ควรค่าแก่การรับชมอย่างยิ่งครับ เรื่องราวนั้นถูกคิดประดิดประดอยมาอย่างดี การเล่าเรื่องที่ทรงพลัง การแสดงที่ทรงพลัง หรือจะมองในเชิงหนังแอ็กชั่น ก็มีฉากลุ้นระทึกกดดันและระห่ำในความรู้สึก เหนืออื่นใด คือโลกที่หนังสร้างขึ้น มันก็ไม่ใช่โลกอื่นโลกไกล แต่ใกล้ๆ เคียงๆ กับโลกความจริงที่เราสังกัดอยู่ และก็คงจะเหมือนกับที่ใครสักคนในเรื่องพูดว่า เดี๋ยวถึงตอนจบ คุณก็จะเข้าใจเองแหละ...ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น คุณจะอยู่ร่วมอย่างเข้าใจหรือขมขื่นสะอื้นไห้ มันก็เรื่องของคุณ เพราะโลกมันก็เป็นอยู่เช่นนี้
คือจะเป็นพ่อพระแม่พระในเมืองแห่งจิ้งจอก
หรือจะเลือกไปอยู่บ้านนอกเมืองเล็กๆ ที่ทุกอย่างยังดีงาม (ซึ่งน่าจะหาได้ยาก)
หรือจะอยู่ในเมืองจิ้งจอก
แล้วสวมใส่วิญญาณแบบสุนัขจิ้งจอกเฉกเช่นคนอื่นๆ?
ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม