หากจะมองหาคนบันเทิงสักคนหนึ่งที่จัดอยู่ในนิยาม "ยิ่งแก่ยิ่งมัน ยิ่งแก่ยิ่งฮอต" หนึ่งในนั้นคงจะต้องมีชื่อของนักร้องเจ้าพ่อเพลงแดนซ์ "เจเจตริน วรรธนะสิน" อยู่ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะกว่า 20 ปีที่โลดแล่นอยู่ในวงการจนถึงวันนี้ในวัย 44 นอกจากผลงานงานเพลงของเขาจะไม่เคยตกยุคแล้ว เจ้าตัวก็ยังไม่คลายความฮอตของตนเองมีคิวงานแสดงแทบทุกวัน สร้างฐานแฟนคลับรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกมากมายต่างหาก
"เฮ้ย! ผมฮอตตลอดนะ (หัวเราะ) จริงๆ ก็ไม่มีอะไรเลย หลักๆ ก็คือทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ช่วงอัลบั้ม 1, 2, 3, 4, 5 ผมก็ทัวร์คอนเสิร์ตเยอะแล้วนะ ตอนนี้ก็ยังทัวร์คอนเสิร์ตเหมือนอัลบั้มเด็กๆ ไม่ได้อะไร มันขึ้นอยู่ที่เรามากกว่า คอนเสิร์ต 50 คน 100 คน 1000 คน หรือ 10,000 คน เราก็เล่นเท่ากัน จ้างร้อยเล่นล้านเลย ก็เป็นสไตล์ของผมแบบนี้อยู่แล้ว"
"ก็เลยไม่รู้สึกว่าฮอตหรืออะไร แก่แล้วนี่ ก็ 44 แล้ว ก็ทำให้ดีที่สุดแหละครับ แต่ที่สำคัญเราคิดว่าเราดูแลตัวเองด้วย เหล้าไม่ดื่ม บุหรี่ไม่สูบ ยาไม่เล่น และก็เล่นกีฬา วันๆ ดูกล้ามหน้าท้อง ก็เข้ายิมอย่างเดียว ดูแขนใครใหญ่กว่า (ยิ้ม) อาหารดี ที่บ้านก็กินดี นอนให้เพียงพอ และที่สำคัญจิตใจเราสุขภาพจิตดีมันก็เลยทำให้เราเป็นตัวเอง ฮอตไม่ฮอตไม่รู้แต่ทำให้ดีที่สุด"
"จริงๆ ก็ทัวร์คอนเสิร์ตตลอดชีวิต ก็มีงานเข้ามาเรื่อยๆ นะครับ ติดต่อไปงานอีเว้นท์บ้าง คิวงานเยอะขนาดไหนเหรอ ก็เยอะนะ คือเดือนหนึ่งมีประมาน 30 วัน ช่วงหน้าเทศกาลเราก็ขึ้นประมาณ 2 -3 เวที"
แม้จะมีคิวงานที่แน่นเอี้ยดแต่นั่นก็ไม่สามารถทำให้ภาพความเป็นแฟมิลี่แมนของเจ้าตัวในฐานะสามีที่ดีของภรรยา "ปิ่น เก็จมณี" พ่อที่ดีของลูกชายทั้งสาม "เจ้านาย - เจ้าขุน - เจ้าสมุทร" รวมถึงลูกสาวหนึ่งเดียว "เจด้า" ลดหายลงไป จนหลายคนแอบสงสัยกันว่าเจ้าตัวเอาเวลามาจากไหนกันนักกันหนา
"มีสิครับ อย่างคอนเสิร์ตผมจะแสดงตอนสี่ทุ่มขึ้นไป บางที่ก็เที่ยงคืน บางที่ก็ทุ่มหนึ่ง เพราะฉะนั้นเรามีเวลากลางวันเหลืออีกตั้งเยอะ ก็อยู่กับลูกกับทางภรรยาได้ ถ้าอันไหนที่เราต้องไปเล่นคอนเสิร์ตที่ต่างจังหวัดน่ารักๆ ก็จะพากันไปหมดทั้งครอบครัวเลยครับ แต่วันสำคัญคุณปิ่นเขาก็จะสบายๆ แมนๆ อยู่แล้ว ถ้าวันสำคัญที่มีงาน ถ้างานเสร็จก็ค่อยมาเจอหรือไม่ก็เลื่อนไปเลี้ยงอีกวันหนึ่งก็ได้"
"คือครอบครัวที่บ้านของเราสบายๆ อย่างสมมติเป็นวันสำคัญของทุกปี ถ้าเรามีงาน เราก็จัดเวลาให้อยู่ปาร์ตี้กับลูกก่อนแล้วค่อยไปงาน หรือไม่ก็ไปงานก่อนแล้วค่อยกลับมาปาร์ตี้กับลูก คุยกันรู้เรื่องไม่เยอะ เป็นครอบครัวที่คุยกันได้"
ร้องเพลงแดนซ์ ทำงานกลางคืนในผับ-บาร์ อยู่กับบรรยากาศของเหล้ายาแสงสีเสียงและผู้หญิง แต่เรื่องที่น่าทึ่งก็คือเจ้าตัวไม่เคยมีข่าวฉาวเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ออกมาเลย..."คือผมเป็นคนที่เล่นคอนเสิร์ตเสร็จแล้วก็กลับบ้าน...คือเราไม่ได้เป็นคนที่กินเหล้า ถ้าเป็นเพื่อนนักดนตรีเล่นเสร็จแล้วก็ตั้งวงข้างหลังเวที หรือก่อนขึ้นดื่ม"
"แต่ในชีวิตผมที่อยู่วงการมาไม่เคยดื่มเหล้าแล้วขึ้นไปร้องเพลง ไม่เคยเลย แล้วไม่ดื่มด้วย บางคนบิ้วท์อารมณ์ก่อน แต่คือเราไม่มีตรงนั้น เราเล่นคอนเสิร์ตเสร็จ เอ้าสวัสดีพี่ คือแบบเสร็จคอนเสิร์ตจะไม่เห็นหน้ากันเลย เราแยกตัวออกไป มันก็เลยทำให้เราไม่มีปัญหาเรื่องนี้ด้วย"
"แต่ถึงอยู่ต่อก็ไม่มีปัญหา คือเราคุยกับปิ่นตลอด ก็เจอมาทุกรูปแบบ ไนท์คลับ ผับบาร์ โคโยตี้ ผมรับหมดทุกที่ เพราะฉะนั้นมันเป็นการทำงานแบบโปรเฟสชันนอล ลูกๆ เขาก็รู้ มันไม่ได้เรียกว่าชินหรอก เรียกว่าเป็นการทำงานก็ไม่ได้รู้สึกอะไร"
ออกปากยอมรับใจหายหลังเตรียมส่ง 2 ลูกชาย "เจ้านาย-เจ้าขุน" ไปเรียนต่อเมืองนอก
"ก็ห่วงเป็นปกติ อยู่ได้ไหม เรียนดีไหม โรงเรียนเป็นยังไง ส่วนลูกของเราซึ่งเรามีความมั่นใจว่าเขาเป็นเด็กที่ถึงเวลานั้นเขาก็ต้องตั้งใจเรียน กลัวใช้ชีวิตแบบฝรั่งไหมเหรอ ไม่ครับเพราะเราไปอยู่โรงเรียนประจำที่ค่อนข้างมีขอบข่าย ก็มีกฏระเบียบที่ชัดเจน เรียกได้ว่ามีมาตราฐานที่ดี ผมคิดว่ามันอาจจะดีกว่าที่อยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ"
"เดินทางก็ช่วงประมานเดือนกันยายนครับ ก็ต้องคิดถึงกันเป็นธรรมดาครับ แต่ว่าสมัยนี้มันมีเทคโนโลยีที่โลกเชียลเน็ตเวิร์คมันค่อนข้างดี ผมว่าคงได้คุยกันทุกวันแน่ ตอนเรียนครึ่งปีกลับมาบ้านทีนึงผมโอเคแล้วนะ เด็กผู้ชายต้องใช้ชีวิตแบบนี้แหละผมว่า"
ลั่นไม่เคยวางแผนชีวิตให้ลูก แต่พร้อมจะเป็นป๋าดัน
"ก็ให้เขาเลือกทางเอง ตอนเรียนเขาก็เลือกเอง ก็แล้วแต่เขาคือตอนนี้มันตอบไม่ได้เลยว่าเขาจะไปทางไหน แต่ถ้าไปถึงตรงนั้นถ้าเขาชอบทางไหนแล้วคิดว่าเป็นตัวตนเขาเราก็จะเต็มที่ ตรงนั้นจะเป็นป๋าดันให้เลย แต่ตอนนี้ยังดันไม่ได้ ถ้าดันแล้วไม่ใช่สิ่งที่เขาเป็นมันก็ไม่ดี"