เด็กสาววัยรุ่นหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง ประกอบกิจกรรมเข้าจังหวะกับชายหนุ่มที่เพิ่งออกเดทกันเป็นครั้งแรกที่เบาะหลังรถ ในสถานที่ลับตาคน และหลังจากตักตวงห้วงอารมณ์แห่งความสุขสมจากกันและกันจนเสร็จสิ้น แฟนหนุ่มของเธอเดินไปที่กระบะหลังรถ ขณะเด็กสาวนอนคว่ำไปตามความยาวของเบาะ นัยน์ตาชวนฝันของเธอ เหม่อมองไปที่ดอกไม้ดอกเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ประตูรถที่เปิดอ้า เธอเอื้อมมือไปลูบไล้ดอกไม้นั้นพลางรำพึงกึ่งเพ้อฝันถึงอิสระเสรีแห่งชีวิต เธอคิดถึงภาพที่เคยมโนแห่งการได้กุมมือชายหนุ่มรูปหล่อแล้วขับรถไปบนถนนที่สวยงามบางสาย ไร้พันธนาการ ถ้อยคำของเธอ บวกกับแสงไฟเรืองละมุนจากตึกหลังนั้น รวมกันเป็นภาพที่ชวนฝันเสียนี่กระไร แต่ทันใดนั้น แฟนหนุ่มของเธอกลับมาจากหลังรถ เข้ามาทางด้านหลังของเธอ เขาโอบกอดราวกับจะพลอดรักอีกครั้งครา ทว่าผิดคาด เขาใช้ผ้าผืนเล็กปิดปากปิดหน้าของเธอ และเธอก็สลบไป ก่อนจะตื่นมาอีกครั้งบนเก้าอี้ที่ตัวเธอถูกผูกมัดไว้แน่นหนา รอบกายคือภายในตึกร้างสักแห่ง ความสุขสมที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน กำลังนำไปสู่ประสบการณ์หลอนชนิดคาดไม่ถึง
นั่นคือจุดเริ่มต้นโดยคร่าวๆ ของหนังผีสยองขวัญที่ถึงจุดนี้ กลายเป็นผีที่ได้รับคำชมถล่มทลายมากในต่างประเทศ ความเห็นของคนดูผู้ชมนั้นค่อนข้างเป็นเอกฉันท์ว่านี่เป็นหนังสยองขวัญที่ดีมากๆ เรื่องหนึ่ง แต่ที่ต้องบอกว่า “ค่อนข้างเป็นเอกฉันท์” เพราะมันยังมีฝั่งของคนดูอีกฝั่งหนึ่งซึ่งไม่ค่อยปลื้มกับหนังเรื่องนี้เท่าไรนัก ซึ่งนี่ก็นับเป็นสัจจะของหนังแทบทุกเรื่องในโลกนี้ ที่ย่อมจะมีทั้งคนชอบและไม่ชอบประกอบกันไป เป็นความหลากหลายในการชมภาพยนตร์ โดยภาพรวม “อิท ฟอลโลว์ส” (หรือในชื่อภาษาไทย “อย่าให้มันตามมา”) ไม่ใช่หนังผีที่มุ่งเน้นความหวีดที่จะทำให้คนกรี๊ดด้วยความกลัว แม้จะต้องยอมรับว่ามีหลายฉากที่หนังใช้จังหวะปล่อยผีแบบสร้างความตกใจให้แก่คนดู แต่สิ่งที่เป็นความสุดยอดของงานชิ้นนี้จริงๆ อยู่ที่ความสามารถในการสร้างบรรยากาศอันนำไปสู่ความน่าสะพรึงและชวนรู้สึกหลอน บวกกับท่าทีบทบาทของตัวละครเอกในเรื่องที่ชวนให้กังวลใจแทน
อันที่จริง ในรอบหลายปีมานี้ หรือนับจริงๆ ก็ตั้งแต่หนังอย่าง Paranormal Activity ภาคแรกออกฉาย เราจะพบว่า มันมีหนังอารมณ์นี้ออกมาอยู่เรื่อยๆ ส่วนใหญ่เป็นหนังทุนน้อย เพียงแต่ใช้สอยองค์ประกอบความเป็นหนังตลาดออกมาเล่นกับคนดู และหนังแนวๆ นี้ก็มักจะมาจากผู้กำกับสายอินดี้ (หรือบางคนอาจจะเรียกว่า “สายติสต์” ก็แล้วแต่) ดังนั้น อย่างน้อยที่สุด หนังกลุ่มนี้มักจะมาพร้อมเทคนิค สไตล์ ไปจนถึงประเด็นเนื้อหาที่แทรกแฝงไว้ต่างๆ กันไป การหยิบจับองค์ประกอบความเป็นหนังตลาดมาเล่น เท่าที่นึกออกก็อย่างเช่น Under the Skin (สการ์เล็ต โจแฮนสัน) ซึ่งมีเอเลี่ยนเป็นตัวขับเคลื่อน (เอเลี่ยนกับคอหนังตลาด น่าจะเข้ากัน) Enemy (เจค จิลเลนฮาล) ที่ใช้ทางของหนังสืบสวนมาดึงคนดู, The Babadook ที่เอาความเป็นหนังผีมาใช้สอย หรือเมื่อเร็วๆ นี้ ไม่ว่าจะเป็น Unfriended ก็เอาความสยองขวัญมาขาย หรือแม้แต่ The Voices ที่ใช้ความเป็นหนังตลกมาเรียกตลาด...กล่าวสำหรับค่ายหนัง นี่คือทางเลือกหนึ่งซึ่งเป็นไปได้ นอกเหนือจากหนังทุนหนาฟอร์มใหญ่ที่ต้องใช้เงินเยอะๆ แต่หนังทั้งหมดที่กล่าวมา กลับเป็นหนังทุนน้อย ลงทุนเพียงไม่กี่ล้าน แต่หากได้รับความนิยมขึ้นมา ทำเงินเป็นหลายสิบล้านหรือร้อยล้าน (เช่น Paranormal Activity) ก็ถือว่าฟลุค และได้เงินไปต่อยอดทำเรื่องอื่นๆ
เช่นเดียวกันนั้น สำหรับงานชิ้นนี้ “อิท ฟอลโลว์ส” หนังตั้งทุนมาเพียงสองล้านเหรียญ แต่เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เก็บไปได้สิบกว่าล้าน (ยังไม่นับรายได้ทั่วโลก) ซึ่งเพียงเท่านี้ค่ายหนังก็น่าจะยิ้มออก นั่นยังไม่นับรวมคำวิจารณ์ที่เป็นไปในทาวงบวกมากกว่าลบอีกนะครับ ซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่แว่วๆ มาว่า หนังเรื่องนี้จะมีภาคต่อออกมาอีก
ปัญหาในหนังของอิท ฟอลโลว์ส นั้นออกสตาร์ทจริงๆ ก็ต่อเมื่อหญิงสาวของเราได้สูญเสียความบริสุทธิ์ให้แก่ชายผู้เป็นที่รักแล้ว เมื่อ “เจย์” สาวน้อยผู้เคลิ้มฝันในรักหวานซึ้ง ถูกดึงเข้าสู่สถานการณ์สุดประหลาด เพราะชายหนุ่มที่เพิ่งมีสัมพันธ์สวาทไม่กี่นาทีก่อน ได้ใช้ยาสลบมอมเธอและพาสถานที่แห่งหนึ่ง เธอตื่นมาพร้อมกับแขนขาที่ถูกตรึงไว้กับเก้าอี้ แล้วชายหนุ่มก็พูดสิ่งที่ประหลาดพิกล ก่อนเธอจะเห็นสาวเปลือยคนหนึ่งเดินเข้ามาหาราวกับว่ามุ่งหมายจะเอาชีวิต ชายหนุ่มพาเธอออกมาได้ ก่อนที่เขาจะหายตัวไปอย่างลึกลับ พร้อมกับ “คำสาป” ที่ว่า เธอต้องส่งต่อ “มัน” ให้กับผู้อื่น ถ้าหากเธออยากหลุดพ้นจาก “มัน” และวิธีการก็คือ เธอต้องมีอะไรกับคนอีกคน เพื่อจะหลุดพ้นจากคำสาปนั้น...
คำว่า “อิท” (It) ในชื่อเรื่อง ซึ่งหมายถึง “มัน” กลายเป็นมีนัยยะสำคัญขึ้นมาทันที (และเป็นคำที่หลายคนสนุกนึกในการตีความว่ามันหมายถึงอะไร) ซึ่งตลอดทั้งเรื่อง เราก็จะเห็นสาวน้อยของเรา ถูก “มัน” ไล่ล่าไม่ลดละ เซ็กซ์ครั้งแรกกับชายที่กลายเป็น “คนแปลกหน้า” เพราะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย นำมาซึ่งความหลอนในแบบที่เธอคาดไม่ถึง กระนั้นก็ดี คำว่า “มัน” ในที่นี้ อาจหมายถึง “ผี” หรืออะไรอื่นๆ ได้อีกหลายอย่างตามธรรมดาของหนังประมาณนี้ที่มักจะสอดแทรก “ความหมายซ้อน” ไว้ให้คิดเสมอๆ เช่นเดียวกับ “เอเลี่ยน” ในเรื่อง Under the Skin ที่ในบางความหมาย อาจไม่ได้หมายถึงเฉพาะแค่ “เอเลี่ยน” ที่เราเข้าใจว่าเป็นสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก
เซ็ตติ้งหรือแบกกราวน์ฉากหลังของหนังเรื่องนี้ น่าจะอยู่ในช่วงราวๆ ยุค 80’s ...พูดถึงยุคนี้แล้ว กลายเป็นสิ่งที่กำลังกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งหนึ่งอย่างน่าแปลกใจ นับแต่ Evil Dead มาทำใหม่ หรือแม้กระทั่งเจ้าพ่อหนังสยองขวัญยุคนั้นอย่าง “จอห์น คาร์เพ็นเตอร์” ก็ยังกลับมาทำหนังอีกครั้งในเรื่อง The Ward นอกจากนั้น เร็วๆ นี้ยังมีหนังที่เล่นโดยจา พนม เรื่อง Skin Trade ที่ดึงเอาอารมณ์หนังยุค 80’s กลับมาอีกรอบ แต่ที่ฮิตถล่มทลายแถมได้รับเสียงชมอุ่นหนาฝาคั่ง ก็คงจะเป็นหนัง 30 นาที เรื่อง Kung Fury ที่จัดเต็มอารมณ์ยุค 80’s ในไสตล์ไซไฟกังฟู...ในทำนองเดียวกัน หนังเรื่องนี้ก็พาคนดูกลับไปสู่บรรยากาศการดูหนังยุคนั้นอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะถ้าเอาไปจับเทียบเคียงกับงานเรื่อง Halloween ของจอห์น คาร์เพ็นเตอร์ เราจะเห็นองค์ประกอบหลายอย่างในหนังที่คล้ายคลึง ไล่ตั้งแต่ตัวละครวัยรุ่น สภาพบ้านเรือนที่เหมือนปกคลุมไปด้วยต้นไม้ (เวลาภาพมุมกว้าง จะเห็นความเวิ้งว้างและลึกลับแฝงเร้น บรรยากาศความสยองขวัญก็มุ่งเน้นความเร้นลับน่าสะพรึงมากกว่าความสยองแบบโฉ่งฉ่างที่ผ่านการกระทำโดยซาวด์เอฟเฟคต์
หากยังจำได้ ยุคนั้นถือกันว่ายุคแห่งความตื่นตระหนกเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อันเกิดจากเซ็กซ์ที่ไม่ป้องกัน ซึ่งก็คือโรคเอดส์ อันเป็นปฐมเหตุที่ทำให้เรื่องการมีเซ็กซ์ต้องมีถุงยางอนามัยเข้ามาเกี่ยวข้อง หนังเรื่องนี้หยิบเอามาเป็นจิ๊กซอว์ต่อเติมเรื่องและเล่าผ่านมุมมองของคำสาปหรือความเป็นหนังผีสยองขวัญ ผีที่ไล่ล่าหลอกหลอนให้ตัวละครขวัญกระเจิงก็ดูไม่ต่างอะไรกับอาการหวั่นวิตกของคนกลัวโรคติดต่ออันเนื่องมาจากการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน อิท ฟอลโลว์ส ในหนึ่งด้าน จึงเหมือนหนังโฆษณาประชาสัมพันธ์ไปด้วยในตัวว่า มีเซ็กซ์ครั้งต่อไป ควรใส่ถุงยาง และควรรู้หัวนอนปลายเท้าของคนที่เราจะมีอะไรด้วยเป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้น “ผีโรคติดต่อ” ก็อาจจะตามหลอกหลอนเช่นเดียวกับตัวละครในเรื่อง
แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าตีความเพียงแค่ว่า หนังนำเสนอแค่เรื่องผีโรคเอดส์แบบเพียวๆ ก็ดูจะไม่เป็นธรรมนัก เพราะนอกเหนือจากนั้น ยังมีแง่มุมของความเป็นวัยรุ่นกรุ่นความรู้สึกนึกฝัน การอยู่ในวัยช่วงเติบโต ด้วยฮอร์โมนส์ด้วยอะไรต่างๆ นำมาซึ่งความสับสนได้เสมอๆ โดยเฉพาะวัยรุ่นหญิงที่เหมือนหนังจะนำเสนอไปในทิศทางที่เขามักพูดกันว่าผู้หญิงมักจะใช้เซ็กซ์เพื่อแลกรัก “เจย์” นางเอกวัยรุ่นของเรา เธอเปี่ยมด้วยฝันหวานในเรื่องรัก และคิดว่าชายที่หมายปองจะให้เธอ “กุมมือ” และประครองเธอท่องไปบนถนนแห่งความสุขเสรี ยุคนั้นเป็นช่วงปลาย 70’s ที่กลิ่นอายชีวิตอิสระจากวิถีของบุปผาชนยังมีอิทธิพลต่อความนึกคิดของหนุ่มสาวอยู่ประปราย การที่เจย์ฝันถึงเสรีแห่งการใช้ชีวิตแบบ... “ขับรถไปเรื่อยๆ บนถนนที่สวยงามบางสาย เปิดเพลงวิทยุฟัง บางทีอาจขับขึ้นเหนือ และต้นไม้เริ่มผลัดใบเปลี่ยนสี...ฉันคิดว่าคงมีอิสระเสรี” เป็นคำที่ชวนฝันและเป็นหนึ่งในความคิดแบบคนหนุ่มสาวยุคนั้นและก่อนหน้านั้น เราจะเห็นวิถีความคิดแบบนี้ชัดเจนในหนังแบบ Into the Wild หรือแม้กระทั่ง Wild ที่รีธ วิทเธอร์สปูน เล่น และได้ชิงออสการ์ครั้งล่าสุด แต่ชีวิตอิสระก็มักจะต้องแลกมาด้วยอะไรบางอย่าง เซ็กซ์เสรีก็คงจะเช่นกัน
อิท ฟอลโลว์ส เป็นหนังที่พูดได้ว่าทำได้ดีเกินหน้าเกินตาสถานะความเป็นหนังทุนน้อยของตัวเองอย่างปฏิเสธได้ยาก มีฉากระทึกขวัญที่ชวนขนลุกและตกใจอยู่หลายฉาก ซึ่งใครที่คิดว่าหนังผีอินดี้เรื่องนี้จะไม่มีอะไรแบบ...ตุ้งแช่หรือผ่างๆ นั้นถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะมีหลายฉากเลยทีเดียวที่หนังหยิบเอาทักษะแบบหนังตลาดมาใช้อย่างได้ผล และที่สำคัญ ฉากท้ายๆ ตอนอยู่ในสระน้ำ นับเป็นความสยองล้ำช่างคิดอีกฉากหนึ่ง ดีเท่าที่หนังผีเรื่องหนึ่งจะทำได้
ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ 7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |