xs
xsm
sm
md
lg

เปิดหลักฐานคุยกับทนาย "เสี่ยเจียง" สัญญาทาสจริงหรือ?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แม้ภาพยนตร์ Fast and Furious 7 จะเข้าฉายในเมืองไทยมาได้ร่วมสัปดาห์แล้ว แต่คดีความระหว่าง “เสี่ยเจียง-สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ” กับพระเอกลูกหม้ออย่าง “จา-พนม ยีรัมย์” ยังไม่มีท่าทีว่าจะจบลงง่ายๆ

ฉบับที่แล้ว "Astv. ผู้จัดการสุดสัปดาห์" วิเคราะห์ถึงที่มาที่ไปของเหตุแห่งความบาดหมางครั้งนี้ในเบื้องต้นไปแล้ว ฉบับนี้ขอมอบพื้นที่ให้ทาง "ทนายสุวัฒน์ อภัยภักดิ์" หัวหน้าทีมที่ปรึกษาทางด้านกฎหมายของเสี่ยเจียง ออกมาเผยหลักฐานพร้อมชี้แจงและตอบโต้ข้อกล่าวหาทั้งหมดทั้งมวลอีกครั้ง เพราะยังมีอีกหลายข้อมูล และหลายแง่มุมที่คนอาจจะไม่รู้ หรือรู้แบบคลาดเคลื่อน

ลองไปฟังดูว่าทนายสุวัฒน์จะพูดถึงเรื่องนี้อย่างไรบ้าง
Q : เข้ามาเป็นทนายตรงนี้ได้อย่างไร
A : ก่อนอื่นผมขอชี้แจงเรื่องที่มาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมายของเสี่ยเจียงก่อน คือเดิมผมไม่ได้เป็นทนายให้กับเสี่ย ทางเสี่ยมีทนายของเขาอยู่แล้ว แต่ผมได้รับการร้องขอจากทางผู้ใหญ่ให้มาช่วยดูแลคดีนี้ให้กับเสี่ยเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งเมื่อผมเข้ามารับหน้าที่ตรงนี้ ก็มีโอกาสได้เห็นข้อมูลหลายๆ อย่าง ที่บางคนยังไม่รู้ ซึ่งผมก็พร้อมจะชี้แจงให้ฟังเป็นข้อๆ ไปครับ

Q : เรื่องสัญญา ที่มีการต่ออายุ 10 ปีโดยอัตโนมัติ หลายคนมองว่าเป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรม
A : คือในสัญญาฉบับแรกที่ทางเสี่ยกับจาเซ็นกันไปฉบับแรก เมื่อปี 2546 บอกไว้แบบนั้น คือถ้าถึงกำหนดที่สัญญาจะสิ้นสุด ทางบริษัทจะมีการบอกกล่าว ทำจดหมายแจ้งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 2 เดือน ถ้าทางบริษัทมีการแจ้งกล่าวกันแล้ว ก็ถือว่าเป็นการต่อสัญญาโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นเรื่องที่รับทราบกันดีทั้ง 2 ฝ่ายตั้งแต่เซ็นสัญญา

Q : เซ็นสัญญาครั้งละ 10 ปี ยาวนานไปมั้ย
A : 10 ปี เพราะว่าทางบริษัทลงทุนไปเยอะ ปั้นมาจากควาญช้าง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะดังหรือเปล่า ถ้าปั้นดังแล้ว จู่ๆ คนอื่นมาเอาไป มันก็ไม่แฟร์ เมื่อเป็นการลงทุน จะมองว่าเป็น “สัญญาทาส” ไม่ได้ แต่เป็นความสมัครใจ ที่จะลงนามในสัญญานั้น ตอนเซ็นคุณอ่านแล้ว คุณรับได้ แต่พอดังแล้ว กลับมาบอกว่าสัญญาทาส คนเราต้องเคารพในสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจแล้ว เราดังแล้ว เราก็ต้องแบ่งผลประโยชน์กลับบริษัท มันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เสี่ยลงทุนกับจามากกว่าพ่ออีก พ่อจริงๆ ยังไม่ส่งเรียนภาษาแบบนี้

Q : แล้วที่หลายคนมองว่าทางสหมงคลฟิล์ม “จงใจ” ส่งเอกสารไปที่บ้านที่จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งจาไม่ได้พักอาศัยอยู่ที่นั่น เพราะมีเจตนาที่จะไม่ให้เห็นจดหมายฉบับนั้น
A : ขออธิบายก่อนว่า ก่อนจะสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 24 ก.ค. 2556 ทางจาก็ไม่ได้ติดต่อกับทางบริษัท คือหายไปแบบติดต่อไม่ได้อย่างที่ทุกคนคงทราบจากข่าวอยู่แล้ว ในช่วงที่ทำองค์บาก 2 ก็มาบ้าง หายไปบ้าง เกเรบ้างอยู่แล้ว พอสัญญาจะสิ้นสุดจริงๆ ทางบริษัทก็มีการส่งจดหมายแจ้งไปล่วงหน้า (ลงวันที่ 14 พ.ค. 2556) โดยส่งไปที่ภูมิลำเนาที่จังหวัดสุรินทร์ .ซึ่งเป็นภูมิลำเนาตามบัตรประชาชนจริงๆ ว่าจะมีการต่อสัญญาโดยอัตโนมัตินะ ตรงนี้ต้องมาทำความเข้าใจกันว่าจาเป็นคนดื้อ แบบดื้อตาใส คือไม่ว่าจะส่งจดหมายไปที่ไหน ทั้งบ้านสุรินทร์ ทั้งบ้านที่ปทุมธานี ก็เจตนาไม่ยอมรับรู้อะไรเลย

หลังจากนั้นจาก็ส่งจดหมายกลับมาที่บริษัทเรื่องที่ว่าจะไม่ต่อสัญญา (31 ก.ค.) ซึ่งว่ากันตามตรงก็คือเลยวันที่สัญญาฉบับแรกสิ้นสุด และทางบริษัทได้ต่อโดยอัตโนมัติไปแล้ว ทางบริษัทก็มีหนังสือชี้แจงตามไป (6 ส.ค. 2556) พร้อมกับแนบใบเซ็นรับ ที่พี่สาวของจาเป็นคนเซ็นรับเอกสารไว้

คนที่มองว่าสัญญาดูไม่เป็นธรรม คือยังมีข้อมูลบางอย่างที่หลายคนไม่รู้ ก่อนที่จาจะมาเซ็นสัญญากับสหมงคลฟิล์ม ทางเสี่ยเจียงได้มีการจ่ายเงินซื้อสัญญาของจาจากแกรมมี่ เป็นเงิน 4 แสนกว่าบาท ตั้งแต่สมัยที่จายังไม่โด่งดัง แต่แกรมมี่ก็ไม่ได้ทำอะไร สัญญาก็คาอยู่แบบนั้น หลังจากนั้นเสี่ยก็ต้องมาจ่ายเงินในส่วนของการปรับบุคลิกภาพ ค่าเรียนภาษาไปอีก 1 ล้าน 3 แสน 7 หมื่นกว่าบาท โดยไม่นำมาหักจากรายรับที่จาจะได้รับจากทางบริษัท ซึ่งถือว่าเสี่ยลงทุนกับจาไปเยอะ โดยที่ก็ไม่รู้ว่าทำหนังองค์บาก ต้มยำกุ้งแล้วจะประสบความสำเร็จหรือเปล่า

Q : ทางแม่ยายของจามีการเปิดเผยถึงผลประโยชน์ที่จาได้รับต่อเดือน คือ 50.000 บาท ถือว่าน้อยไปมั้ยสำหรับดาราระดับจา และถ้าต่อสัญญาโดยอัตโนมัติจะได้รับเงื่อนไขเหมือนเดิมหรือไม่
A : คือเงินเดือนของจา 50.000 บาท แล้วยังมีของปรัชญา กับพันนาอีกคนละ 50.000 บาท รวมแล้วเสี่ยต้องจ่ายเดือนละ 150,000 บาท ซึ่งก็จ่ายแบบนี้มาตลอด ถามว่าเมื่อต่อสัญญาอัตโนมัติแล้วเงื่อนไขเหมือนเดิมมั้ย คือจาไม่ยอมเข้ามาคุย ถ้ามีการเข้ามาพูดคุยกัน ก็อาจจะมีการตกลงกันเรื่องเงื่อนไขใหม่ แต่ไม่มาคุยเอง

Q : รวมๆ แล้ว จาได้รับเงินจากสหมงคลฟิล์มเป็นเงินประมาณเท่าไหร่ จากค่าอะไรบ้าง
A : ก็เงินเดือน 50,000 บาทอย่างที่บอก จ่ายมาตลอดตั้งแต่ ก.ค. 46 - ก.พ. 58 รวมแล้วก็ 7 ล้านกว่าบาท ค่าปรับบุคลิกภาพทั้งหลาย ค่าใช้จ่ายส่วนตัวซื้อบ้าน ซื้อรถยนต์ ซื้อตึกแถว พอทำหนังองค์บาก ต้มยำกุ้ง ก็ได้รับทั้งค่าตัว ค่าส่วนแบ่ง แล้วก็ได้ค่าตัวจากการถ่ายโฆษณารถยนต์อีก 7 ล้านบาท รวมๆ แล้วก็ประมาณ 87 ล้านบาท เกือบๆ จะ 100 ล้าน

Q : เหตุใดถึงเลือกที่จะมาฟ้องร้องตอนภาพยนตร์จะฉาย
A : เรื่องนี้ขออธิบายว่า กรณีนี้จาเป็นผู้ผิดสัญญา ส่วนทางยูนิเวอร์แซลเป็นผู้ละเมิด ที่ผ่านมาตั้งแต่รู้ระแคะระคายว่าจาจะไปแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ เราก็ได้อีเมลล์ชี้แจงไปแล้วว่าจาติดสัญญาอยู่ หลังจากนั้นพอมีข่าวว่า “พอล วอล์คเกอร์” เสียชีวิต เราก็เข้าใจว่าทางยูนิเวอร์แซลจะถือโอกาสนี้ตัดบทของจาออกไป เพราะเราไม่เคยเห็นตัวอย่างหนังมาก่อนเลย จนมาเห็นโฆษณาว่าหนังจะเข้าฉาย เท่ากับว่าเรามารู้ชัดๆ ก็ตอนเห็นโฆษณา คือในทางกฎหมาย ถ้าแค่เตรียมการจะละเมิดเราฟ้องไม่ได้ เพราะยังไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ ตามมารยาท ทางยูนิเวอร์แซล จะต้องตัดฉากจาออก พอมาเห็นโฆษณาถึงได้เพิ่งมั่นใจว่าละเมิดแน่ๆ คือถ้าฟ้องก่อนหน้านี้ยังไงศาลก็ยกฟ้อง

Q : ทำไมพอมีกระแสสังคมต่อต้าน ทำนองไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่สหมงคลฟิล์มทำ ทางเสี่ยเจียงถึงไม่ออกมาอธิบาย
A : ทางเสี่ยให้ผมเป็นคนออกมาชี้แจง ซึ่งก็ได้ชี้แจงไปก่อนหน้านี้แล้ว เสี่ยไม่อยากพูดเอง เพราะเห็นว่าเป็นข้อกฏหมาย ให้ทางทนายพูดจะเหมาะกว่า

Q : มีข่าวว่าทางสหมงคลฟิล์ม จะมีการตกลงเรื่องของขายสัญญาของจา
A : ไม่มีครับ ไม่มีการตกลงหรือพูดคุยเรื่องซื้อขายใดๆ ทั้งสิ้น ทางยูนิเวอร์แซลก็ไม่มีการมาเจรจา นอกจากการว่างจ้างให้แสดงเป็นเรื่องๆ ไป คือทางนั้นก็คงมองแล้วว่านักแสดงบู๊ ก็คงดังได้ไม่นานอยู่แล้ว ส่วนจาตอนนี้ก็หายเงียบไป กับ “ไมเคิล เซลบี้” เอเยนซีคนใหม่ จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการเข้ามาพูดคุยกัน

Q : แล้วทางสหมงคลฟิล์มจะดำเนินการอย่างไรต่อไป กับภาพยนตร์ Fast and Furious 7
A : ก็มีการขออายัติรายได้จากการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ในประเทศ ไม่ให้มีการนำออกนอกประเทศ ก็รอให้ทั้งยูนิเวอร์แซลและจาเข้ามาพูดคุย คนเราเมื่อมีปัญหาก็ต้องเข้ามาคุยกัน ไม่ใช่หนีปัญหา

Q : หลังจากนี้ยังจะมีผลงานต่างประเทศของจาอย่างน้อย 2 เรื่อง จะดำเนินการอย่างไร
A : ก็ดำเนินการเหมือนกัน ฉายกี่เรื่องก็ฟ้องทุกเรื่อง ถ้าไม่ฟ้องจะให้ทำยังไง เสี่ยเจียงก็เพียงแค่ใช้สิทธิทางศาล ไม่ได้ใช้อิทธิพลมืด จ้างมือปืนไปขู่ หรือไปอุ้มอะไรเลย

Q : มีคนสงสัยว่าทำไมถึงไม่นำเฉินหลงโมเดลมาใช้กับกรณีของจา คือสามารถแสดงหนังในประเทศได้ด้วย แล้วก็รับหนังของต่างประเทศได้ด้วย
A : กรณีเฉินหลงคือมีการพูดคุยตกลงกับต้นสังกัด แต่จาไม่มาคุย

Q : จาให้สัมภาษณ์ว่าเสียความรู้สึกกับเสี่ยเจียง ที่ปฏิสธหนังฮอลลีวูดไปหลายเรื่อง โดยที่เขาไม่รู้เรื่อง เจตนาของเสี่ยเจียงคืออะไร
A : ที่ผ่านมาปฏิเสธก็เพราะเขาจะเอาจาไปเล่นเป็นผู้ร้าย แต่เสี่ยปั้นจามาเพื่อเป็นพระเอก คือถ้าไปเล่นเป็นผู้ร้ายปุ๊บ คุณค่าของจาจะลดลงทันที จะเป็นการตัดอนาคตในเมืองไทย คือกลับมาเป็นพระเอกอีกไม่ได้แล้ว อย่างเรื่องนี้ก็เป็นผู้ร้าย แทบจะไม่มีอนาคตอยู่แล้ว ก็มาคอยดูว่าจะจะกลับมาเป็นพระเอกได้อีกมั้ย ทางนั้นเองก็ไม่ได้เห็นคุณค่าของจาเท่าไหร่ ดูอย่างโปสเตอร์บางแบบ ไม่มีรูปจาด้วยซ้ำ

Q : แล้วที่มีข่าวว่าเสี่ยเจียงอยากจะไปร่วมทุนกับฮลลลีวูด แต่ทางนั้นปฏิเสธ
A : ไม่มีเลย ไม่มีการพูดคุยเรื่องร่วมทุนอะไรเลย แค่อยากได้จาไปแสดงก็เท่านั้น

Q : เรื่องเงิน 26 ล้านที่จาเบิกไปทำภาพยนตร์เรื่อง “ไอ้หนุ่มกังนัม” ดูเหมือนคนจะกรณีกับเรื่องนี้ ทำไมถึงโยงให้มาเกี่ยวกัน
A : คนละกรณีกันจริง แต่แค่จะชี้ให้เห็นว่าจากะล่อนยังไง บอกว่าสัญญาสิ้นสุด แต่หลังจากนั้นยังเข้ามาหาเสี่ยที่บริษัท มาบอกเสี่ยว่าจะไม่ไปไหน (15 ส.ค. 56) มาขอเงินไปทำหนัง คือเจตนาจะมาโกหกเขา มาโกงเขา พอเสี่ยถามถึงเรื่องที่ส่งจดหมายมาว่าไม่ยินยอมต่อสัญญา ก็บอกว่าไม่ได้ติดใจอะไร ซึ่งทั้งเรื่องต้มยำกุ้ง แล้วก็กังนัม จาขอเป็นผู้ควบคุมงานสร้าง แต่ก็เกิดข้อผิดพลาด เพราะมีการทำสลิงมาใช้ ซึ่งเสี่ยก็บอกไปแล้วว่าศิลปะมวยไทย พวกเตะ ศอก เข่า จะใช้สลิงแบบกำลังภายในไม่ได้

กังนัมก็เบิกเงินไป 26 ล้าน แต่ว่าไม่ได้ทำอะไรเลยจนถึงวันนี้ พอเสี่ยทวงถามก็หายหน้าไป คือถ้าไม่อยากอยู่ ก็มาเคลียร์ทั้งหมดกัน แต่มาถึงวันนี้ก็ยังไม่เข้ามาพูดจากัน ได้แต่ส่งทนายเข้ามาสู้คดี แล้วก็ไปพูดว่าเป็นสัญญาทาส ทาสตรงไหน ได้เงินจากเขาไปตั้งเยอะ

เสี่ยก็ขอให้เข้ามาเจรจาตั้งนานแล้ว เสี่ยก็รู้ว่าไม่อยากอยู่ แต่แค่ขอให้เข้ามาพูดคุยกัน เหมือนผัวเมีย ถ้าอยู่ด้วยกันไม่ได้ ก็แยกกันไป หนี้สินอะไรก็มาตกลงกัน

Q : เรียนถามตรงๆ ว่า ถ้าจาอยากเป็นไทจากสหมงคลฟิล์มต้องทำยังไง
A : มาคุยกันซิ เข้ามาคุย มาเคลียร์เงินของกังนัม แล้วก็มาว่ากันเรื่องสัญญาว่าจะเอายังไง ที่ต่อสัญญาก็เพราะยังมีเรื่องเก่าคาราคาซังกันอยู่ จริงๆ เสี่ยก็เบื่อแล้ว เหมือนเมียไม่รักกันแล้ว เราก็ไม่อยากเอา แต่ต้องเคลียร์ เมื่อไม่อยากอยู่ ใครจะไปเอาปืนจี้หัวได้ที่ไหน ของแบบนี้มันต้องสมัครใจทั้ง 2 ฝ่าย ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอก

Q : ทางคุณปรัชญา ปิ่นแก้ว ที่ถือว่าร่วมกันปลุกปั้นจาขึ้นมา พูดถึงเรื่องนี้อย่างไรบ้าง
A : ปรัชญาก็เข้าใจเสี่ย รู้ว่าเสี่ยไม่ได้ทำผิดอะไร ก็ด่าจาเหมือนกัน เพราะเขาเป็นคนลากจาเข้ามาหาเสี่ยเล่นเรื่ององค์บาก ก็ผิดหวังในตัวจา เพราะปรัชญาก็ถือว่าเป็นคนลงทุนกับจาคนหนึ่งเหมือนกัน คือคนไทยมีวัฒนธรรมในเรื่องการไปลามาไหว้ ถ้าไม่ลา ไม่ไหว้ ก็ไม่ใช่คนไทย ไม่อยากอยู่ ก็มาคุยกัน ไม่ใช่มาหลอกเอาเงินไปแบบนี้ ยังไงสัตว์โลกเป็นไปตามกรรมอยู่แล้ว เรื่องนี้เขาเป็นคนทำเอง ไม่มีใครทำด้วย

Q : เรื่องคดีทางนี้มีความมั่นใจขนาดไหน
A : โดยรูปคดีมั่นใจว่าเราชนะแน่ เพราะเอกสารเราครบ ถ้าไม่มั่นใจคงไม่ฟ้อง ผมเองก็รู้สึกเหมือนเสี่ยถูกรังแก คนอื่นอาจจะมองว่าผู้ใหญ่รังแกเด็ก แต่ในเมื่อเด็กเกเร ถ้าลูกเราเกเกร เราก็ต้องตี ตอนนี้ก็เดินหน้าฟ้องอย่างเดียว ใช้สิทธิทางศาล เพราะการละเมิด มีอายุความแค่ปีเดียว ถ้าไม่ฟ้องตอนนี้ เดี๋ยวก็หมดอายุความ

ที่ฟ้องไป 1,600 ล้าน ศาลก็คงไม่ได้ให้ตามนั้นอยู่แล้ว ก็ต้องมาดูกันว่าจะจบลงตรงไหน เงินจำนวนนั้นคือทั้งจา ทั้งยูนิเวอร์แซล และยูไอพี ต้องร่วมกันรับผิดชอบ ก็ต้องมาดูกันว่า ศาลจะสรุปที่ตัวเลขเท่าไหร่ พอหนังเรื่องใหม่เข้า ก็ดำเนินการเหมือนกัน เราก็จะพิจารณาจากพื้นฐานว่ารายได้ของหนัง และผลประโยชน์ที่หนังแต่ละเรื่องได้รับจะเป็นเงินประมาณเท่าไหร่

Q : แล้วตอนนี้ขั้นตอนการฟ้อง ถึงไหนแล้ว
A : ศาลก็จะนัดชี้ 2 สถาน กำหนดประเด็นในวันที่ 15 มิ.ย. แล้วก็พูดคุยกันว่าใครเป็นคนผิดสัญญา โจทก์เสียหายจริงหรือไม่ เป็นเงินเท่าไหร่ ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายก็ต้องมาเผชิญหน้ากัน แต่ตัวจาอาจจะไม่มา น่าจะส่งทนายมาเจรจามากกว่า เขาเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงการพูดคุยตลอด มีปัญหาไม่มาเจอ ไม่มาคุย แต่เวลารับเงินมา แล้วก็ไปพูดให้ตัวเองดูดี ว่ารักและเคารพเสี่ย แต่ในทางปฏิบัติตรงข้ามกัน คือส่งผู้ใหญ่มาเจรจาก็ได้ ที่ผ่านมาก็มีที่ให้ผู้ใหญ่มาช่วยเจรจา แต่ครั้งนี้กลับเพิกเฉยเลย

Q : ทางยูนิเวอร์แซลกับยูไอพี ก็ไม่เข้ามาเจรจาเหมือนกัน
A : ไม่มาเหมือนกัน เพราะเขาก็ถือว่าเขามีสัญญากับจา ยังไงจาก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบ ถ้าสัญญาซ้อน เขาเป็นบริษัทต่างประเทศ ที่ปรึกษากฎหมายต้องแน่นหนาอยู่แล้ว

Q : ทางเสี่ยเจียงมองเรื่องกระแสการถูกแอนตี้จากแฟนหนังอย่างไร
A : เรื่องแอนตี้ก็ยอมรับได้ เพราะเราก็แค่ใช้สิทธิทางศาล กระแสจะเป็นยังไงก็ต้องน้อมรับ บางคนมองว่าเสี่ยสร้างกระแสโปรโมตนเรศวรด้วยซ้ำ เสี่ยจะไปทำแบบนั้นทำไม นเรศวรเป็นหนังของพร้อมมิตร เสี่ยแค่จัดจำหน่ายให้ แล้วกลุ่มคนดูก็คนละกลุ่มอยู่แล้ว

ที่มา นิตยสารASTV สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 11-17 เมษายน 2558


นายสุวัฒน์ อภัยภักดิ์

สัญญาข้อ 3 ที่หลายคนมองว่าไม่ยุติธรรมกับตัวนักแสดง


เลิกสัญญากับแกรมมี่

ค่าตัวทั้งหมด
การจ่ายเงินเดือน
ภาพจากคลิปวันที่ จา พนม พร้อมภรรยา เข้าไปที่สหมงคลฟิล์มฯ



กำลังโหลดความคิดเห็น