ปฏิเสธกันไม่ได้เลยว่าภาพยนตร์อิโรติกที่สร้างปรากฏการณ์อย่างถล่มทลายอยู่ในขณะนี้ ก็คือ “Fifty Shades of Grey” ที่สร้างมาจากนิยาย Best seller เขียนโดย E. L. James หรือชื่อจริงว่า เอริก้า ลีโอนาร์ด (Erika Leonard) นักประพันธ์ชาวอังกฤษ ที่เข้าฉายไปเมื่อช่วงวันแห่งความรักที่ผ่านมา และสร้างสถิติขึ้นอันดับ 1 Box Office 2 สัปดาห์ซ้อน (12 กุมภาพันธ์ - 18 กุมภาพันธ์ 2558 และ19 กุมภาพันธ์ - 25 กุมภาพันธ์ 2558)
ไม่บ่อยครั้งนัก หรือถ้าจะพูดให้ถูก ก็คืออาจจะไม่เคยมีภาพยนตร์แนวอิโรติกเรื่องใด ที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับโลกภาพยนตร์ได้เทียบเท่า Fifty Shades of Grey ที่กลายเป็น Talk of The Town ทันทีที่เข้าฉาย และสร้างกระแส “บอกต่อ” ในหมู่คนดูมากขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญคนดูส่วนใหญ่นั้น กลับเป็นผู้หญิง ที่แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยมีจิตพิศวาสที่จะดูหนังในลักษณะนี้มาก่อน แต่
Fifty Shades of Grey กลับทำให้ฉากเลิฟซีนเร่าร้อน และเรื่องกามวิตถาร กลายเป็นเรื่องที่ผู้หญิงทั่วโลกคลั่งไคล้ ถึงขนาดมีข่าวในเว็บไซต์ข่าวของอังกฤษ รายงานว่า ที่ประเทศเม็กซิโกมีการจับกุมสุภาพสตรีคนหนึ่ง ที่ไฟราคะลุกโชน จนห้ามใจตัวเองไม่อยู่ ถึงขนาดลุกขึ้นมาสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองในโรงภาพยนตร์ ขณะกำลังนั่งชมภาพยนตร์เรื่องนี้ พร้อมกับถูกตั้งข้อหากระทำอนาจารในที่สาธารณะ
ในอีกมุมหนึ่ง หนังเรื่องนี้ยังมีอิทธิพลที่ทำให้วัยรุ่นชายในประเทศสหรัฐอเมริกาวัย 19 ปี ถูกจับในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศหญิงสาวในหอพักในลักษณะเซ็กซ์ซาดิสต์ โดยการผูกข้อมือไว้กับเตียง ปิดตามัดปากใช้เข็มขัดฟาด ก่อนขืนใจซ้ำ หลังหญิงสาวดิ้นหลุดจากพันธนาการ ซึ่งถูกระบุว่าเลียนแบบพฤติกรรมของตัวละครในเรื่อง Fifty Shades Of Grey นั่นเอง
ด้วยเนื้อหาและฉากพิศวาสอันเร่าร้อน ซึ่งตีแผ่อารมณ์เซ็กซ์ในด้านมืด ส่งผลให้บางประเทศถึงกับมีคำสั่งห้ามฉายภาพยนตร์เรื่องนี้กันเลยทีเดียว โดยเฉพาะในประเทศที่เคร่งครัดในเรื่องของศาสนา อย่างจีน และมาเลเซีย ส่วนประเทศไทยนั้นหนังเรื่องนี้เข้าฉายด้วยเรต “ฉ. 20” กระนั้นก็มีคนมาเขียนแสดงความคิดเห็นในเว็บไซต์ www.pantip.com ว่า น่าจะอยู่แค่เรต “ฉ 18” ก็พอแล้ว ขณะเดียวกันก็มีเยาวชนที่มีอายุไม่ถึง 18 ออกมาแสดงตั้งกระทู้ในทำนองว่า อายุไม่ถึงเกณฑ์ แต่ก็อยากชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ถึงขนาดวางแผนจะแอบตบตาพนักงานหน้าโรงเข้าไป เพราะรู้ดีว่าถ้ารออดูจากหนังแผ่น อาจจะไม่ได้อรรถรสเท่ากับชมในโรง
และด้วยอานิสงส์ของภาพยนตร์อิโรติกสุดอื้อฉาวที่ร้อนแรงแห่งปี อย่าง Fifty Shades of Grey นี่เอง ที่ส่งผลให้นักแสดงนำหญิงอย่าง “ดาโกต้า จอห์นสัน” (Dakota Johnson) ในวัย 26 ปี ที่รับบทเป็น “อนาสตาเซีย สตีล” (Anastasia Steele) แจ้งเกิดเป็นดาวจรัสแสงในโลกเซลลูลอยด์ขึ้นมาทันตาเห็น
ดาโกต้า เป็นลูกสาวของ “โดนัลด์ เวย์น “ดอน” จอห์นสัน” (Donald Wayne “Don” Johnson) กับ “เมลานี่ กริฟฟิ” (Melanie Griffith) แต่พ่อกับแม่ของเธอ ก็แยกทางกันในเวลาต่อมา
ว่าไปแล้วดาโกต้าก็อาจจะได้รับพรสวรรค์ที่ถ่ายทอดมาทางสายเลือดจากทั้งพ่อและแม่ก็ว่าได้ เพราะพ่อของเธอ เป็นทั้งนักแสดง นักร้อง นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ และผู้กำกับที่มีชื่อเสียง และมีรางวัลการันตีความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นรางวัลลูกโลกทองคำ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากบทบาทในซีรีส์เรื่อง Miami Vice รวมถึงรางวัล APBA Offshore World Cup ทั้งยังได้รับการจารึกชื่อไว้ที่ดวงดาว ที่ปรากฏอยู่บน Hollywood Walk of Fame เทียบเคียงกับนักแสดง และบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการมายา จาก 5 วงการ ทั้งวงการภาพยนตร์, วงการโทรทัศน์, วงการดนตรี, วงการวิทยุ, วงการละครเวที ซึ่งถือเป็นเกียรติยศสูงสุดสำหรับบุคคลในวงการบันเทิง
ขณะที่แม่ของเธอ ก็เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงเช่นเดียวกัน โดยเคยถูกเสนอชื่อในงาน Academy Award และได้รางวัล Golden Globe นักแสดงยอดเยี่ยมจากเรื่อง Working Girl ในปี 1988
นอกจากจะเป็นนักเต้นตัวยงประจำโรงเรียนแล้ว ความโดดเด่นที่ฉายแววตั้งแต่ดาโกต้ามีอายุเพียง 12 ปี ยังไปกระทบตาบรรดาโมเดลลิ่งอย่างจัง ภายหลังที่เธอปรากฏโฉมบนหน้าปกนิตยสาร Teen Vogue ที่ถ่ายร่วมกับนักแสดงวัยรุ่นอีกหลายคน และเมื่อจบไฮสกูล เธอก็ไม่รีรอที่จะสานต่อความฝันที่อยากจะเข้าวงการของตัวเอง ด้วยการเซ็นสัญญากับ The William Morris Agency ซึ่งนับเป็นก้าวแรกในวงการแสดงของเธอ จากนั้นก็สั่งสมชั่วโมงบิน และประสบการณ์จากงานแสดงมามากมาย ทั้งภาพยนตร์และ ซีรีส์โทรทัศน์หลายต่อหลายเรื่อง นับเนื่องตั้งแต่ปี 1999 จนปัจจุบัน
ในส่วนของภาพยนตร์ ก็อย่างเช่น Crazy in Alabama (1999) , Social Network (2010) , Beastly (2011) , For Ellen (2012) , Goats (2012) , The Five-Year Engagement (2012) , 21 Jump Street (2012) , Gay Dude (2012) , Theo (2013) , Date and Switch (2014) , Need for Speed (2014)
ส่วนผลงานทางโทรทัศน์ ก็อย่างเช่น ซีรีส์ Ben and Kate รับบทเป็น Kate (2012–2013 ) , ซีรีส์ The Office (2013)
กระนั้นชื่อเสียงของดาโกต้า ก็ยังไม่เจิดจรัสเท่าที่ควรจะเป็น กระทั่งได้รับเลือกให้มารับบท “อนาสตาเซีย สตีล” (Anastasia Steele) ในหนังรักอิโรติก อย่าง Fifty Shades of Grey ที่ทำรายได้ถล่มทลาย ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนาหู ทั้งในแง่บวก และแง่ลบ ก็ส่งผลให้ชื่อของดาโกต้า ติดทำเนียบดาวดวงเด่น และถูกจับตามองขึ้นมาทันที
สำหรับการที่เธอได้รับการคัดเลือกให้มารับบท “อนาสตาเซีย สตีล” ในภาคของภาพยนตร์ Fifty Shades of Grey นั้น ได้รับการเปิดเผยจากผู้กำกับหญิง “เทย์เลอร์ จอห์นสัน” ว่ากว่าจะได้ผู้มาสวมบทนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องผ่านการคัดเลือกนักแสดงมาหลายต่อหลายคน ก่อนจะมาลงตัวที่ดาโกต้า ที่มีลักษณะภายนอกคล้ายอนาสตาเซีย สตีลในหนังสือมาก นั่นคือเป็นสาวผิวขาวซีด ตาสีฟ้า ปากอวบอิ่ม ขณะที่คาแร็กเตอร์ภายใน ที่มีทั้งความอ่อนหวานและอ่อนไหว แต่แข็งแกร่งอยู่ในที ก็ตรงตามที่ผู้เขียนได้บรรยายไว้
ความโด่งดังที่ได้มาเพียงชั่วข้ามคืนนั้น ในด้านหนึ่งก็ถือว่าดาโกต้าได้เดินทางมาถึงจุดหมายปลายฝันของเธอที่ปรารถนาที่จะเข้าวงการมาตั้งแต่เยาว์วัย ทว่ากลับต้องแลกมาด้วยความล้มเหลวในชีวิตรัก ของเธอกับแฟนหนุ่มนักดนตรีชาวเวลส์ วัย 26 ปี “แม็ทธิว ฮิตต์” ที่ต้องปิดฉากลงด้วยสาเหตุสุดคลาสสิกว่า ...ระหว่างเราไปกันไม่ได้.....
เรื่องร้ายๆ ที่มาพร้อมกับชื่อเสียงที่พุ่งทะยานของดาโกต้ายังไม่หมดอยู่แค่นั้น ทว่าล่าสุดเธอยังตกเป็นจำเลยของสังคมที่ถูกนำมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ภายหลังที่เธอไปเป็นแขกรับเชิญของรายการ Saturday Night Live และมีโอกาสได้เข้าไปมีส่วนในการเล่นมุกตลกล้อเลียนเกี่ยวกับกลุ่ม ISIS จนถูกวิจารณ์อย่างรุนแรง
โดยที่ฉากดังกล่าวนั้น เป็นการร่ำลากันระหว่างพ่อกับลูกสาว ที่จะเข้าร่วมกับกลุ่ม ISIS (รัฐอิสลามอิรักและ เลแวนต์) กลุ่มกบฏอิสลามซึ่งควบคุมดินแดนในประเทศอิรักและซีเรีย ที่กำลังสร้างปัญหาอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเป็นฉากล้อเลียนโฆษณารถยนต์ Toyota Camry ในชุด ''My Bold Dad'' (มาย โบลด์ แด๊ดดี้) ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคุณพ่อที่ต้องไปส่งลูกสาววัยรุ่นที่สนามบิน เพื่อไปเข้าร่วมกับกองทัพ แต่ต่างกันในช่วงท้ายตรงที่ในเวอร์ชันล้อเลียนของรายการ Saturday Night Live นั้น เมื่อพ่อขับรถมาถึงสนามบิน ก็ออกปากถามดาโกต้า ซึ่งรับบทเป็นลูกสาว ด้วยความอาลัยอาวรณ์ว่า ''แน่ใจนะว่าไม่อยากเรียนไฮสกูลต่ออีกสักปี''
และจังหวะที่ลูกสาวสะพายกระเป๋าลงจากรถไป ก็มีรถกระบะสีขาวคันหนึ่งที่บรรทุกกลุ่มชายติดอาวุธขับเข้ามาพร้อมกับโบกธงสีดำของกลุ่ม ISIS ก่อนที่ตัวละครพ่อจะพูดสั่งเสียว่า ''ดูแลตัวเองดีๆ นะตอนอยู่ที่นั่น''
ฝ่ายลูกสาวก็ตอบกลับไปว่า ''พ่อ นี่แค่ ISIS เอง''
จากนั้นก็ขึ้นรถของ ISIS เดินทางออกไป พร้อมกับเสียงปืนของเหล่านักรบหัวรุนแรง
และนั่นนำมาซึ่งความไม่พอใจให้ผู้คนเป็นอย่างมาก เพราะเหตุที่ฉากดังกล่าว ถูกนำไปเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่ 3 วัยรุ่นสาวชาวอังกฤษ ที่หนีออกจากบ้าน โดยถูกคาดเดาว่าจะเดินทางไปยังซีเรียเพื่อไปเป็นเจ้าสาวของนักรบ ISIS ซึ่งทำให้รัฐบาลของหลายชาติวิตกว่าจะมีวัยรุ่นเดินทางไปร่วมขบวนการกับกลุ่ม ISIS เพิ่มขึ้นอีก ซึ่งทุกคนก็ตีความกันว่า นั่นอาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับทีมเขียนบทของรายการคิดมุกตลกล้อเลียนโฆษณานี้ขึ้นมา
ภายหลังที่รายการออกอากาศ มุกตลกในรายการก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงว่า “ไร้รสนิยมอย่างสิ้นเชิง” เพราะหลายคนมองว่าเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะหยิบขึ้นมา “ล้อเล่น” บางคนถึงขนาดระบุว่าเป็นมุกที่ฝืดที่สุดเท่าที่เคยมีมาของรายการ Saturday Night Live เลยทีเดียว
แต่สำหรับดาโกต้าแล้ว การมาร่วมรายการ Saturday Night Live ครั้งนี้ สร้างความประทับใจให้เธอได้ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะทั้งพ่อ และที่แยกทางกันไปนานแล้ว ได้มานั่งชมการแสดงของเธออยู่ด้วยกันในกลุ่มคนดู พร้อมกับมีส่วนร่วมกับมุกตลกอีกด้วย
ล้อมกรอบ
สำหรับนวนิยาย Fifty Shades of Grey ที่เป็นจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์สุดอื้อฉาวเรื่องนี้ เป็นนวนิยายเล่มแรกจากทั้งหมด 3 เล่มในนวนิยายชุด “Fifty Shades” ซึ่งประกอบไปด้วย Fifty Shades of Grey , Fifty Shades Darker และ Fifty Shades Freed ซึ่งเล่าถึงการเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างบัณฑิตจบใหม่อย่าง “อนาสตาเซีย สตีล” และนักธุรกิจหนุ่ม “คริสเตียน เกรย์” นักธุรกิจหนุ่ม
โดยในภาคของนวนิยายนั้น ได้รับการกล่าวขวัญถึงในวงกว้างในแง่ของการนำเสนอความสัมพันธ์ทางเพศที่นิยมความรุนแรง ที่เรียกว่า BDSM (บีดีเอสเอ็ม) คือ Bondage , Discipline , Dominance , Submission , Sadism และ Masochism หรือเรียกกันง่ายๆ ว่าเป็นการประกอบกิจกรรมทางเพศในลักษณะของ “นาย” กับ “ทาส” เพื่อช่วงชิงอำนาจของเซ็กซ์ โดยการสื่อผ่านอุปกรณ์พันธนาการประเภทโซ่ , แส้ ,กุญแจมือ ที่นำมาเป็นเครื่องกระตุ้นอารมณ์เสน่หาในด้านมืดของตัวละครหลักอย่างพระเอกในเรื่อง ที่ภาพภายนอกนั้นสวยหรู ออกแนวรูปหล่อ พ่อรวย แบบเพอร์เฟกชั่นนิสต์ทุกกระเบียดนิ้ว ในขณะที่เส้นเรื่องรอง ก็คือเรื่องราวชวนฝันหวานในลักษณะของรักต่างชนชั้นของชายหนุ่ม-หญิงสาว เหมือนกับนวนิยายประโลมโลกย์ทั่วไป
นั่นจึงเป็นที่มาของชื่อเรื่อง Fifty Shades ที่ผู้เขียนตั้งใจจะส่งสารไปยังคนอ่านว่า ขณะที่นัยน์ตาของมนุษย์รับรู้เฉดของสีได้ในระดับหนึ่ง แต่ยังมีเฉดของสีที่เกินกว่าที่จะรับรู้ได้ด้วยตาเปล่า หรือถ้าจะพูดอย่างสำนวนไทยๆ ก็คือ
..... อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น .....
เพราะแม้แต่เหรียญยังมี 2 ด้าน แล้วแต่ว่าเราจะเลือกมองจากด้านไหน ?
จุดเริ่มต้นของนวนิยายเรื่องนี้ เกิดจากการที่ผู้เขียนอย่าง E. L. James เขียนลงบนเว็บไซต์แฟนคลับของ Vampire Twilight ภายใต้นามแฝง Snowqueen’s Icedragon ซึ่งนักวิชาการจากมหาวิทยาลัย Anglia Ruskin มีการตีความคำว่า Vampire ว่าเป็นคำเปรียบเปรยถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การเสพติด การเบี่ยงเบนทางเพศ และการเหยียดผิว
เมื่อครั้งที่นวนิยายเรื่องนี้ได้รับการตีพิมพ์ใหม่ๆ บรรดานักอ่านจึงแบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจน ระหว่าง “ยี้” เพราะรับไม่ได้กับฉากรักอันรุนแรง และแฝงความโหดร้าย ขณะที่อีกกลุ่ม ก็หลงใหลนวนิยายเรื่องนี้จับจิตจับใจ
อย่างไรก็ตามนวนิยาย Fifty Shades Of Grey ได้รับการแปลมากกว่า 50 ภาษา และทำยอดขายได้กว่า 100 ล้านเล่ม เรียกว่าสูงกว่าที่หนังสือชุด Harry Potter เคยตั้งเป้าไว้ กระทั่งโรงแรม Damson Dene ในประเทศอังกฤษ ถึงขนาดนำหนังสือเรื่องนี้วางแทนที่คัมภีร์ไบเบิลในทุกห้องพักเลยทีเดียว
ในภาคของภาพยนตร์นั้น Fifty Shades of Grey ดำเนินงานสร้างโดย Universal Pictures ซึ่งซื้อลิขสิทธิ์นวนิยายเรื่องนี้มาในราคาเพียง 5 ล้านเหรียญสหรัฐ เล่าเรื่องราวการพบกันครั้งแรกระหว่าง“อนาสตาเซีย สตีล” กับนักธุรกิจที่มีบาดแผลในใจอย่าง ”คริสเตียน เกรย์” ที่ร่วมกันก่อเชื้อไฟที่ทำให้เกิดสัมพันธ์รักซึ่งเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนทั้งสองไปอย่างไม่อาจหวนคืน
แอนารู้ดีเสมอว่าการรักคริสเตียนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันจะทำให้เกิดความยุ่งยากในแบบที่เขาและเธอไม่คาดคิด เธอต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตร่ำรวยตามอย่างเขา โดยไม่ทำให้ความเชื่อและอิสระของเธอถูกบั่นทอนไป ส่วนเกรย์ก็ต้องละซึ่งความอยากที่จะเข้าควบคุม และข้ามพ้นอดีตที่ยังหลอกหลอนเขาให้ได้
ในที่สุดทั้งสองก็ได้อยู่ด้วยกันท่ามกลางความรักอันลึกซึ้ง แต่ขณะที่ดูเหมือนว่าทุกอย่างดูจะลงเอยด้วยดี เคราะห์และโชคชะตากลับเล่นตลก ด้วยการทำให้ฝันร้ายที่สุดของแอนากลายเป็นความจริง !!??
โดยที่ในระหว่างที่ภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในขั้นตอนการถ่ายทำนั้น ตัว E. L. James ผู้เขียน ได้ลงไปมีส่วนร่วมในแทบจะทุกขั้นตอน แถมขู่ว่าจะถอนตัวทันที หากบทถูกดัดแปลงไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม ต่างจากนักประพันธ์ของไทย ที่ขายลิขสิทธิ์ไปแล้วก็แล้วกัน บ่อยครั้งจึงเห็นผู้จัด , คนเขียนบทโทรทัศน์ นำบทประพันธ์ “ดั้งเดิม” ไปปู้ยี่ปู้ยำจนแทบจะไม่หลงเหลือเค้าความเดิม โดยมักจะอ้างว่าเป็นการ “ตีความใหม่”
ภาพยนตร์เรื่อง Fifty Shades Of Grey ได้รับการต้อนรับจากคนดูอย่างล้นหลาม ส่งผลให้สามารถคว้าแชมป์รายได้เปิดตัวอันดับ 1 ใน 56 ประเทศทั่วโลก เฉพาะที่สหรัฐอเมริกา สามารถโกยรายได้มากกว่า 85 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการฉายเพียงสัปดาห์แรก ใน 3,646 โรงภาพยนตร์ และกวาดรายได้จากประเทศอื่นๆ ทั่วโลกประมาณ 158 ล้านเหรียญสหรัฐ เรียกว่าสามารถสร้างสถิติใหม่ให้กับภาพยนตร์เรต R ที่มีรายได้เปิดตัวสูงสุด และเป็นรายได้เปิดตัวสูงสุดของภาพยนตร์ โดยผู้กำกับหญิง ขณะที่ผู้ชมส่วนใหญ่ของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผู้หญิงถึง 68 เปอร์เซ็นต์
สำหรับโครงการที่เตรียมจะทำ “ภาคต่อ” ของ Fifty Shades Of Grey คือ Fifty Shades Darker และ Fifty Shades Freed ให้สมบูรณ์แบบในลักษณะของภาพยนตร์ไตรภาค มีแนวโน้มว่าอาจต้องมีการเปลี่ยนตัวพระเอก ที่ขอถอนตัวไม่ยอมกลับมารับบท ”คริสเตียน เกรย์” เนื่องจากเกรงใจภรรยา ที่จะต้องแสดงฉากเลิฟซีนแบบโจ๋งครึ่ม แต่ก็ไม่วายมีข่าวเล็ดลอดออกมาว่าสาเหตุจริงๆ แล้ว อาจจะเป็นเพราะ “เคมี” ที่ไม่ตรงกัน ระหว่างพระเอก “เจมี ดอร์แนน” กับดาโกต้า ก็เป็นได้
ก่อนหน้านี้ผู้กำกับ เทเลอร์ จอห์นสัน เอง ก็มีข่าวว่าจะถอนตัวออกเช่นเดียวกัน เนื่องจากมีความเห็นไม่ลงรอยกับ E. L. James เจ้าของบทประพันธ์ ที่อยากให้เพิ่มฉากพิศวาสเร่าร้อนในหนังมากกว่านี้ รวมถึงยังมีแนวโน้มว่าเจ้าของบทประพันธ์อาจจะกระโดดลงไปเขียนบทหนังภาคต่อเองอีกด้วย
แต่ล่าสุดได้รับการยืนยันจากเจมี ดอร์แนน ว่าข่าวที่จะถอนตัวจากหนังภาคต่อของ Fifty Shades Of Grey นั้น ไม่เป็นความจริง ถ้ามีการสร้างภาคต่อจริง เขาก็ยินดีที่จะรับบทเดิมแน่นอน
งานนี้ก็ต้องจับตามองกันต่อไปว่าหนังภาคต่อนั้น จะยังคงร้อนแรงเหมือน Fifty Shades Of Grey หรือเปล่า ?
ล้อมกรอบ 2
ไม่ใช่เฉพาะ ดาโกต้า จอห์นสัน เท่านั้น ที่แจ้งเกิดจากภาพยนตร์อิโรติกยอดนิยมแห่งปีอย่าง Fifty Shades Of Grey แต่พระเอกหนุ่มสุดหล่ออย่าง เจมี ดอร์แนน ที่รับบทเป็นมหาเศรษฐีหนุ่ม “คริสเตียน เกรย์” ก็ทำเอาสตรีเพศทั่วโลกคลั่งไคล้ใหลหลง อยากถูกเขาพันธนาการด้วยโซ่ แส้ กุญแจมือให้สาสมใจ ในลักษณาการเดียวกับที่ อนาสตาเซีย สตีล โดนกระทำในเรื่อง
เจมี ดอร์แนน นักแสดงชาวไอร์แลนด์เหนือคนนี้ เริ่มเป็นที่คุ้นเคยของบรรดาคนดู จากบทบทฆาตกรต่อเนื่องเลือดเย็นในดรามาอาชญากรรมทางบีบีซีเรื่อง “The Fall” ซิรี่ส์เรื่องดังที่เปิดตัวในปี 2013 และสร้างเรตติ้งสูงสุดในรอบ 8 ปีให้กับทางสถานี และยังส่งผลให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบาฟตา เทเลวิชัน อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม , รางวัลไอริช ฟิล์ม แอนด์ เทเลวิชัน อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมประเภทโทรทัศน์ , รางวัลดาราดาวรุ่งของสมาพันธ์ภาพยนตร์ไอริชและรางวัลแจ้งเกิดจากสมาพันธ์สื่อมวลชนบรอดคาสติ้ง
ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา ก็คือภาพยนตร์อีพิคอิงประวัติศาสตร์ เรื่อง Marie Antoinette ที่ได้รับรางวัลออสการ์ปี 2006 โดยเขารับบทเคานท์แอ็กเซล เฟอร์สัน คนรักของมารี อังตัวเน็ตต์
ว่ากันว่าชีวิตจริงของ เจมี่ ดอร์แนน นั้น ต่างจากบทของ “คริสเตียน เกรย์” ใน Fifty Shades Of Grey แบบสุดขั้ว เขาแต่งงานแล้วกับ “เอมิเลีย วอร์เนอร์" และมีลูกสาวด้วยกัน 1 คน ชื่อว่า "ดัลซี่" และก็เป็นแฟมิลี่แมนที่รักภรรยาและลูกมาก และนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเสียงเล่าลือว่าว่าเขาจะถอนตัวจากการเล่นภาคต่อของภาพยนตร์ Fifty Shades Of Grey ด้วยไม่อยากทำให้ภรรยาไม่สบายใจ เพราะแม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้หญิงค่อนโลก แต่ดูเหมือนจะมีผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ไม่ปรารถนาจะชมภาพยนตร์เรื่องนี้ นั่นก็คือภรรยาของเขา ที่ไม่อยากเห็นฉากเลิฟซีนอันเร่าร้อนของสามีนั่นเอง
ที่มา นิตยสารASTV สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 279 7-13 มีนาคม 2558